Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 8 การแผนงานที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด และจัดสรรทรัพยากร, นายสิปปกร…
บทที่ 8 การแผนงานที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด และจัดสรรทรัพยากร
บททั่วไป
บทนี้จะกล่าวถึง แผนงานที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด และการจัดสรรทรัพยากร
ประกอบด้วย
แผนงานที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด
การจัดสรรทรัพยากร
(วัสดุ แรงงาน เครื่องจักรกล อุปกรณ์ เงินทุนและอื่นๆ)
การปรับปรุงแผนงาน
การควบคุมงาน ติดตามงาน ตรวจสอบ การประเมิน เพื่อให้งานแล้วเสร็จตามกำหนดหรอตามสัญญา
บทสรุป
บทนี้กล่าวถึงโดยสรุปคือแผนงานที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุดและการจัดสรรทรัพยากร ซึ่งรวมไปถึงการตรวจสอบ การติดตาม การปรับปรุงแผนงาน การหาบีบลดเวลาทำงาน และเวลาทำงานที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด
แผนงานที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด และการบีบลดเวลาทำงาน
จัดเป็นแผนงานที่พึงปรารถนาของทั้งผู้ว่าจ้าง และผู้รับจ้าง หากพิจารณาผิวเผิน อาจเข้าใจว่า แผนงานที่มีระยะเวลาสั้นที่สุด จะมีค่าใช้จ่ายต่ำสุด
แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ค่าใช้จ่ายต่ำสุด อาจเกิดจากการบีบลดเวลหรือขยายเวลา
เวลาและค่าใช้จ่ายสัมพันธ์กัน และต่างก็เป็นองคาพยพตามหลักเศรษฐศาสตร์ของโครงการ หากเวลาไม่ได้มีนัยสำคัญ ย่อมสามารถจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดแม้ต้องหยุดพักบางงาน เพื่อไปอีกงาน หรืออีกกิจกรรมหนึ่งชั่วขณะ
Least-Cost Scheduling เป็นกระบวนหาดุลยภาพ โดยที่การลดเวลาของกิจกรรมหรืองานใดๆที่จะทำให้โครงการแล้วเสร็จไวขึ้น
สิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับกาารบีบลดเวลาแล้วเสร็จของโครงการ (Basic requirement for schedule compression)
1 แต่ละกิจกรรม ต้องทราบค่าใช้จ่ายตรง ที่จะแล้วเสร็จกิจกรรมนั้นในระยะเวลาปกติและค่าใช้จ่ายปกติ
2 เวลาต่ำสุด (น้อยกว่าเวลาปกติ) สำหรับทุกกิจกรรม เรียก Crash Duratu = ion เวลาที่ถูกบีบลด
3 ค่าใช้จ่ายตรงของแต่ละกิจกรรม (สูงกว่าค่าใช้จ่ายปกติ) ที่สามารถจะแล้วเสร็จกิจกรรมนั้นๆ ภายในระยะเวลาต่ำสุด และค่าใช้จ่ายนี้ สอดคล้องกับ เวลาที่ถูกบีบลด
การหาแผนงานที่มีค่าใช้จ่ายสุดสุด มีสมมุติฐานเบื่องต้น คือ
1 เวลาตามแผนงานของแต่ละกิจกรรม จะอยู่ระหว่าง เวลาปกติและเวลาที่ถูกบีบลด
2 ค่าใช้จ่ายตรงของแต่ละกิจกรรม ผันแปรตรงระหว่างค่าใช้จ่ายตรงปกติกับค่าใช้จ่ายตรงกรณีบีบลด ซึ่งในทางปฏิบัติมักไม่จริง
3 ระหว่างดำเนินโครงการ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ จะผันแปรตรงต่อเวลา
การเร่งรัดแผนงาน (Crushing the Schedule)
1 หาสายงานวิกฤติ (Critical path)
ไม่พิจารณา (Delete) กิจกรรม หรืองานที่ไม่สามารถจะลดเวลาทํางาน
เลือกกิจกรรมวิกฤติที่มีความลาดชัน ต่ำสุด (Critical activity with minimum
slope) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ําสุด
4 คํานวณหาระยะเวลาใหม่ของโครงการ ค่าใช้จ่ายท้ังหมด
(ค่าใช้จ่ายตรง +ค่าใช้จ่ายทางอ้อม)
5 ดำเนินการซ้ำ จนกระทั่งได้ค่าใช้จ่ายที่สมดุล (Optimum cost)
ทรัพยากร และการจัดสรรทรัพยากร
สมมติฐานเบื้องต้น
1 แรงงานทุกคน สาทารถทํางานได้ทุกอย่าง (Any worker can do any activity)
ทั้งที่ตามจริงแล้ว เป็นเช่นนี้ได้ยาก
2 จํานวนแรงงาน – วัน ที่จะทํากิจกรรม หรืองานให้แล้วเสร็จ จะคงที่หรือไม่
เปลี่ยนแปลง (The number of worker-days needed to complete an activity is fixed)
3 กิจกรรมหรืองานใด เมื่อเริ่มทำแล้ว จะต้องทำต่อไปจนแล้วเสร็จ ในความเป็นจริง อาจไม่เป็นเช่นสันนิษฐาน บางกิจกรรมอาจจำเป็น หรือเป็นได้ที่ทำ และหยุดเป็นช่วงๆ
การจัดสรรทรัพยากร อาจเป็นได้ทั้งการจัดสรรทรัพยากรที่มีไม่จำกัด (Allocation of unlimited resources) มีทรัพยากรเพียงพอสำหรับทุกกิจกรรม แต่ควรพยายามปรับระดับการใช้ทรัพยากร ให้สมดุล หรืออัตราการใช้ทรัพยากรสม่ำเสมอ โดยปรับกิจกรรมที่ยืดหยุ่นได้ในแผนงาน
ประโยชน์ของการจัดสรรทรัพยากร (Benefit of resource leveling) มีดังนี้
1 ขนาดของกลุ่มแรงงาน (หรือชุดทีมงาน) จะคงที่ (Fixed crew size) ซึ่งหลีกเลี่ยงปัญหาความ
ต้องการแรงงานมากกว่าที่มี หรือปล่อยให้แรงงานบางส่วนว่างงาน
มีการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ ดัง Learning Curve ที่ได้อธิบายในบทที่ผ่านมา ดังนั้น จึงควรรักษาฝีมือแรงงานไว้มากกว่าที่จะสรรหาใหม่โดยไม่จําเป็น เพราะช่วงเวลาที่เรียนรู้ของแรงงาน จะทํางานไม่ได้ผลิตภาพตามเป้าหมาย
3 เข้าใจปัญหาการเริ่มต้นทำงาน หรือโครงการ ซึ่งหัวหน้างาน จะมีภาระมาก กำกับดูแลแรงงานไม่ทั่วถึง ทำงานไม่เต็มกำลัง หรือแม้กระทั่งว่างงาน จึงควรวางแผนเริ่มต้นด้วยจำนวนแรงงานเท่าที่จำเป็น แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นโดยลำดับ
4 ได้วางแผนแก้ไขปัญหาติดขัดในช่วงที่งานจะแล้วเสร็จ หรืออาจเรียกว่า ปัญหาคอขวด (Completion congestion) ทั้งนี้ เนื่องจากปริมาณงาน และพื้นที่ทํางานเหลือน้อยลง ดังนั้น ช่วงที่งานใกล้จะแล้วเสร็จ จํานวนแรงงานควรค่อย ๆ ลดลง
การจัดสรรทรัพยากรมีหลายวิธี หากแต่การลองผิดลองถูก ซึ่งย่อมขึ้นกับประสบการณ์เป็นวิธีที่นิยม
1 ยังคงตรรกของวิธีวิถีวิกฤติ – CPM คือ กิจกรรม หรืองานที่ทําก่อนหน้า จะต้องแล้ว
เสร็จ ก่อนที่จะเริ่มกิจกรรม หรืองานในลําดับถัดมา
2 กิจกรรม หรืองานบนวิถีวิกฤติ จะต้องใช้แรงงาน (หรือทรัพยากรอื่น) ตามจํานวน
หรือขนาดปกติ เพื่อให้กิจกรรม หรืองาน แล้วเสร็จทันเวลาตามแผน
3 แรงงาน (หรือทรัพยากรอื่น) ที่ได้วางแผนไว้ จะต้องอยู่ระหว่าง (และรวมถึง) จํานวนต่ำสุดและจำนวนปกติ
อาจใช้ Algorithm ในการจัดสรรทรัพยากร และใช้ Heuristic ที่จะงดเว้นขั้นตอนที่เล็งเห็นว่า ไม่สามารถให้คําตอบที่น่าพอใจ หรืออาจใช้การแสดงผลเป็น Histogram ในกระบวนวางแผนจัดสรรทรัพยากร ซึ่งแสดงให้เห็นภาพที่เข้าใจง่ายกว่าวิธีอื่นใด
การติดตาม ตรวจสอบ รายงาน ประเมินและปรับปรุง
ระหว่างก่อสร้าง งานก่อสร้างก็จะต้องทํางานตามแผน การบริหารจัดการงานก่อสร้าง จะต้องติดตาม ตรวจสอบว่ากระบวนทํางาน เป็นไปตามสัญญา และแผน กล่าวคือ แล้วเสร็จ หรือมีความคืบหน้าตามแบบรูป และแผน มีคุณภาพตามรายการก่อสร้าง ดังที่ได้กล่าวแล้วในบทที่ผ่านมา
ผู้ก่อสร้างจะต้องขออนุญาตก่อนที่จะทํางาน เพื่อให้ผู้ว่าจ้าง หรือตัวแทน ผู้ควบคุม
ก่อสร้าง ได้ตรวจสอบ (แบบรูป และรายการก่อสร้าง) โยเฉพาะก่อนทคอนกรีต ซึ่งถือเป็นงาน
ระบบคุณภาพ (Quality system i.e. Quality Control – QC or Quality Assurance - QA)
ระหว่างการทำงาน ต้องมีระบบจัดการก่อสร้าง ประกอบด้วย การติดตาม หรือเฝ้าดู การตรวจสอบ (ปัจจัย กระบวน ผลลัพท์)
สิ่งที่ตรวจสอบคือ สถานภาพของงาน และการทำงานปัจจุบันเทียบกับแผนงาน (ทั้งปริมาณงาน และคุณภาพในการทำงาน และคุณภาพผลงาน)
S – Curve ของงานที่แล้วเสร็จ และเบิกจ่าย เปรียบเทียบกับ S – Curve ตามแผนงาน บอกว่างานคืบหน้าไปมากกว่าแผน หรือล่าช้า บ่งบอกว่า จําต้องปรับปรุงแผนงานซึ่งหมายถึง S - curve ก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย
นายสิปปกร พิริยะอนันตกุล รหัสนิสิต 60365086 คณะวิศวกรรศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา