Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ - Coggle Diagram
การดูแลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
กล่องเสียงและหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน
เกิดจาก
การติดเชื้อของทางเดินหายใจ
ไวรัส
ได้แก่
influenza A influenza A และ B
Respiratory syncytial virus (RSV)
parainfluenza viruses พบ 50 -75 %
เชื้อแบคทีเรีย
พบได้น้อย
Mycoplasma paeumoniae มักพบในเด็กโต อาการไม่รุนแรง
viral croup
Acute laryngotracheobronchitis
พยาธิสภาพ
มีการอักเสบและบวมของกล่องเสียง หลอดคอ และหลอดลม
โดยเฉพาะที่ตำแหน่ง ใต้กล่องเสียง (Subglottic region )
ส่งผลทำให้เกิดภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบนแบบเฉียบพลัน
อาการ
ไข้ เจ็บคอ หายใจลาบาก Dyspnea
ไอเสียงก้อง (barking cough)
เสียงแหบ (hoarseness), hoarseness)
หายใจได้ยินเสียง stridor ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรงและหายได้เอง
บางรายมีอาการรุนแรงจนเกิดภาวะพร่องออกซิเจนเฉียบพลัน
มักจะไม่ตอบสนองต่อการพ่นยาทั่วไป ส่วนใหญ่จะพ่น Adrenaline Adrenaline
ต้องใส่ Endotracheal tube
Tonsilitis / Pharyngitis
สาเหตุ
การติดเชื้อแบคที่เรีย ไวรัสเช่น Beta Hemolytic streptococcus gr. A
อาการ
รายที่มีตุ่มใสหรือแผลตื้นที่คอหอย หรือเพดานปาก
สาเหตุจะเกิดจาก Coxsackie Virus
เรียกว่า Herpangina
ให้กินยา Antibiotic Antibiotic Antibiotic ให้ครบ 10 วัน เพื่อป้องกัน ไข้รูห์มาติคและหัวใจรูห์มาติคหรือ กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน AGN
ไข้ ปวดศีรษะ ไอ เจ็บคอ
การผ่าตัดต่อมทอนซิล
(tonsillectomy)
ข้อบ่งชี้
เป็นๆหายๆ (recurrent acute recurrent acute tonsillitis)
การติดเชื้อเรื้อรัง(chronic tonsillitis)
มีอาการจนรบกวนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
มีการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้เกิดอาการนอนกรน
หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ(obstructive sleep apnea)
ในรายที่สงสัยว่าเป็นมะเร็งของต่อมทอนซิล(carcinoma of tonsils)
การดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัด
สังเกตอาการและการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะระยะแรกหลังผ่าตัด ถ้าชีพจร 120 ครั้ง/นาที เป็นเวลาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเด็กเงียบ ซีด และมีการกลืนติดต่อกันเป็นข้อบ่งชี้ว่ามีเลือดออก โดยทั่วไปจะเกิดภายใน 6-8ชั่วโมงแรก
เมื่อรู้สึกตัวดี จัดให้อยู่ในท่านั่ง 1-2 ชม. อมน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ในรายที่ปวดแผลผ่าตัดให้ใช้กระเป๋าน้ำแข็งวางรอบคอ ถ้าปวดมากให้ยาแก้ปวด
หลังผ่าตัดให้นอนตะแคงด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อการระบายเสมหะ น้ำลายหรือโลหิตอาจมีคั่งอยู่ในปากและในคอ
หลังผ่าตัด 24-48 ชม.สามารถกลับบ้านได้ สามารถทานน้ำและอาหารได้ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน
แนะนำให้รับประทานอาหารอ่อนที่ค่อนข้างเย็น เช่น ไอศกรีมข้นๆ เนื่องจากผจะมีแผลที่ผนังในคอ บางรายยังมีอาการเจ็บคอกลืนอาหารหรือน้ำลายลาบากจากแผลผ่าตัดทาให้รับประทานไม่ค่อยสะดวก อาจทาให้น้ำหนักลดได้ ไม่ควรทานอาหารที่แข็ง ร้อน รสจัดเกินไป ควรกลั้วคอ ทำความสะอาดบ่อยๆแปรงฟันทุกครั้งหลังทานอาหาร
ควรนอนศีรษะสูง โดยใช้หมอนหนุน เพราะ หลังการผ่าตัด 1-2 วันแรก เพดานอ่อน หรือผนังในคออาจบวมมากขึ้นได้ ทำให้หายใจอึดอัด
ในช่วงสัปดาห์แรกให้อมและประคบน้ำแข็งบ่อยๆ เพื่อลดอาการบวมบริเวณที่ผ่าตัด
ประคบหรืออมน้าแข็งควรประคบหรืออมสลับกับพักประมาณ 10 นาที แล้วจึงเอาออกประมาณ10 นาที แล้วค่อยทำใหม่ ถ้าเลือดออกไม่หยุดหรือออกมากผิดปกติ ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาแพทย์ทันที
ไซนัสอักเสบ(Sinusitis)
เกิดจากการติดเชื้อ เชื้อไวรัสแบคทีเรีย เชื้อรา
เมื่อเกิดการติดเชื้อจะเกิดการบวมของเยื้อบุในโพรงอากาศ ส่งผลให้เกิดภาวะอุดตันช่องระบายของโพรงอากาศข้างจมูก(osteomeatal complex )ทำให้เกิดการคั่งของสารคัดหลั่ง
ทำให้ความดันโพรงอากาศเป็นลบ เมื่อมีอาการจาม สูดหรือสั่งน้ำมูกจะทำให้เชื้อแบคทีเรียที่บริเวณ nasopharynx มีโอกาสเข้าไปในโพรงอากาศข้างจมูกได้ง่าย
การติดเชื้อทาให้การทางานของ cilia cilia ผิดปกติ ร่วมกับมีสารคัดหลั่งออกมามาก และมีความหนืดมากขึ้น
ระยะของโรค
Chronic sinusitis อาการจะต่อเนื่องเกิน 12 สัปดาห์
Acute sinusitis ระยะของโรคไม่เกิน 12 สัปดาห์
อาการ
มีไข้สูงมากกว่า 39
ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว
มีน้ามูกไหล ไอ
ในรายที่ติดเชื้อแบคทีเรีย
มีอาการรุนแรง
มีน้ามูกใสหรือข้นเขียวเป็นหนอง ร่วมกับอาการไอ
ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
อาการมักจะนานมากกว่า 10 วัน
ปวดบริเวณหน้าผาก และหัวคิ้วมาก
อาการ Acute จะรุนแรงกว่า Chronic
การดูแลรักษา
ให้ยาSteroid Steroid เพื่อลดอาการบวม การคั่งของเลือดที่จมูก ทำให้รูเปิดของโพรงไซนัสระบายสารคัดหลั่งได้ดีขึ้น
ให้ยาแก้แพ้ ในรายที่ไซนัสอักเสบเรื้อรังที่มีสาเหตุชักนำมาจากโรคภูมิแพ้ แต่ไม่แนะนำให้ใช้ยาแก้แพ้ในผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบแบบเฉียบพลัน เพราะจะทำให้จมูกและไซนัสแห้ง
การล้างจมูก
ล้างจมูกก่อนใช้ยาพ่นจมูก จะทาให้ยาพ่นจมูกมีประสิทธิภาพดีขึ้น
ล้างจมูกวันละ 2 ครั้งตามแผนการรักษาของแพทย์
ป้องกันการลุกลามของเชื้อโรคจากจมูกและไซนัสไปสู่ปอด ช่วยลดจำนวนเชื้อโรค และเพิ่มความชุ่มชื้น บรรเทาอาการคัดแน่นจมูก ทำให้หายใจโล่งขึ้น บรรเทาอาการระคายเคืองในจมูก
ใช้น้ำเกลือความเข้มข้น 0.9% NSS ล้าง เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยลดความเหนียวของน้ามูกและทาให้เชื้อโรคไม่เจริญเติบโต
ให้ยา paracetamal เพื่อลดไข้ และบรรเทาอาการปวดศีรษะ
ให้ยา antibiotic antibiotic ตามแผนการรักษา
หอบหืด Asthma
เป็นภาวะที่มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม
(Chronic airway inflammation)
การอักเสบของหลอดลมมีผลทำให้เยื่อบุผนังหลอดลม มีปฏิกริยาตอบสนองต่อสารภูมิแพ้มากกว่าปกติ Bronchial hyper reactivity
การมีความไวต่อสิ่งกระตุ้น ทำให้เกิดพยาธิสภาพ
ทำให้หลอดลมตีบแคบลง (Stenosis Stenosis)
เยื่อบุภายในหลอดลมบวม
มีการสร้างเมือกเหนียวจานวนมาก (Hypersecretion ) ทำให้ช่องทางเดินอากาศในหลอดลมแคบลง
ทำให้หลอดลมหดเกร็งตัว(Brochospasm )
การดูแล
ได้ยาลดอาการบวม เช่น Dexa ซึ่งเป็นยา Steroid
ในรายที่มีเสมหะ จะไม่ใช้วิธีการเคาะปอด เพราะจะทำให้หลอดลมเกิดการหดเกร็งมากขึ้น
ให้ผู้ป่วยได้รับยาขยายหลอดลม ได้รับออกซิเจน ให้พักเพื่อลด activity
ในเด็กอายุ 1 -2 ปี มักเกิดตามหลังอาการการติดเชื้อไวรัส
ในเด็กวัยเรียน หอบหืดมักจะเกิดจากการมีประวัติภูมิแพ้
อาการ
บางครั้งการเกร็งตัวของหลอดลมเกิดขึ้นไม่มากนัก ผู้ป่วยจะมีอาการไม่มาก แต่ก็เป็นอยู่เรื่อยๆ
ผู้ป่วยเด็กบางคนจะมีอาการไออย่างเดียว และมักจะมีอาการอาเจียนร่วมด้วย อาการไอจะดีขึ้น หลังจากที่เด็กได้อาเจียนเอาเสมหะเหนียวๆ ออกมา
มักเริ่มต้นด้วย หวัด ไอ มีเสมหะ ถ้าไอมากขึ้นเรื่อยๆ ก็มักจะมีเสียง Wheezing ในช่วงหายใจออก เมื่อร่างกายขาดออกซิเจนมากขึ้น ก็เกิดอาการหอบมาก ปากซีดเขียว ใจสั่น
ยาขยายหลอดลม (Relievers)
ชนิดรับประทาน
ชนิดพ่น
จะให้ผลได้เร็ว
ช่วยให้หายใจโล่งขึ้น
เพราะไปขยายกล้ามเนื้อเล็กๆ ซึ่งอยู่ภายในหลอดลมที่หดเกร็ง จะใช้เมื่อปรากฏอาการหอบ ได้แก่ ventolin
ยาพ่นกลุ่ม Corticosteroids
ได้แก่ Flixotide Evohaler (Fluticasone propionate 250 microgram) Serotide
ต้องดูแลให้บ้วนปากหลังพ่นยาทุกครั้งเพื่อป้องกันเชื้อราในปาก
ยาลดการบวม
และการอักเสบของหลอดลม (Steroid )
เพื่อการรักษา และป้องกันไม่ให้โรครุนแรงขึ้น
การใช้ยาระยะสั้นจะไม่มีผลข้างเคียงในเด็ก
ควรใช้ เพียงระยะสั้นๆ คือ 3 -5 วัน
ได้แก่ Dexa Dexa, Hydrocortisone ,
ต้องให้ภายใต้แผนการรักษาของแพทย์เท่านั้น
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
ไม่ควรมีตุ๊กตาที่มีขนในห้องนอน ไม่ใชี้รมในห้องนอน ควรเช็ดฝุ่นทุกวัน
หมอน ซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน 1ครั้ง/สัปดาห์ ใช้ที่นอนจากใยสังเคราะห์ หรือฟองน้ำ
ตัวไรฝุ่น มักอาศัยอยู่ที่เตียงนอน หมอน พรม จึงควรนำไปตาก หรือผึ่งแดดบ่อยๆ
ไม่นำสัตว์เลี้ยงเข้าห้องนอน
ควันบุหรี่ อันตรายต่อปอดที่กำลังเจริญเติบโตของเด็ก และเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดหอบหืดได้
อากาศเย็นเด็กบางคนกระทบอากาศเย็น มักจะไอ หรือหายใจมีเสียงวี้ด Wheezing จึงควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากอากาศเย็นจะมีผลต่อการพัดโบกของ Cilia
การออกกำลังกาย ถ้าผู้ป่วยควบคุมโรคหอบหืดได้ดี จะไม่มีปัญหาในการออกกาลังกาย หรือวิ่งเล่น ยกเว้นในรายที่ควบคุมอาการของโรคไม่ได้ ต้องงดการออกกาลังกายที่ทาให้เหนื่อยมาก
การใช้ baby haler
ให้พ่นยาทิ้ง 1ครั้งก่อนใช้ เพื่อให้ยาจับผนังของ Spacer ก่อน
เพื่อให้การพ่นครั้งต่อๆไป ยาก็จะเข้าผู้ป่วยทั้งหมด
หลังล้างทำความสะอาด ต้องสอนผู้ป่วย
ต้องล้างทeความสะอาดบ่อยๆ ล้างด้วยน้ำยาล้างจานตากให้แห้ง ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดถู เพราะจะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตที่ผนังของ Spacer เวลาพ่นยา ยาจะไปเกาะกับผนังของ Spacer ส่งผลให้ยาจะเข้าผู้ป่วยน้อยลง
หลอดลมอักเสบ( Bronchitis ) หลอดลมฝอยอักเสบ(Bronchiolitis )
เกิดจากมีการอักเสบและอุดกลั้นของหลอดลม
เชื้อที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด Respiratory syncytial virus : RSV
เด็กที่ไม่กินนมแม่จะพบได้ค่อนข้างสูงกว่า
พบในเด็กเล็กอายุประมาณ 6เดือน มากกว่าเด็กโต และอาการจะรุนแรงกว่าเด็กโต
กลไกการเกิด
มีการคั่งของเสมหะ เกิดการอุดกั้นของหลอดลมฝอย
เชื้อไวรัสทำลายเนื้อเยื่อของหลอดลมฝอยทำให้เกิดอาการอักเสบ บวม
ทำให้เกิด Atelectasis ตามมา
อาการ
ต่อมาเริ่มไอเป็นชุดๆ ร้องกวน หายใจเร็ว หอบ หายใจมีปีกจมูกบาน ดูดนมหรือน้าได้น้อย หรือไม่ได้เลย
เริ่มแรก ไข้หวัดเีียงเล็กน้อย มีน้ำมูกใส จามเบื่ออาหาร
การรักษา
รักษาตามอาการ ให้ยาลดไข้ ยาปฏิชีวนะ ยาต้านการอักเสบ (Corticosteroid ) ยาขยายหลอดลม
การดูแล
ให้เด็กได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ ได้รับน้ำ ดูแลไข้ ดูแลปัญหาการติดเชื้อ ดูแลเสริมสร้างภูมิต้านทานให้อาหารที่มีประโยชน์
ปอดบวม Pneumonia
สาเหตุ
สำลักสิ่งแปลกปลอม
ติดเชื้อ แบคทีเรีย ไวรัส
อาการ
ไข้ ไอ หอบ ดูดน้า ดูดนมน้อยลง ซึม
เกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกใช้ตัดสิน
เด็กอายุ2เดือน-1ปี อัตราการหายใจที่มากกว่า 50ครั้ง/นาที
เด็กอายุ1-5ปีอัตราการหายใจที่มากกว่า 40ครั้ง/นาที
เด็กแรกเกิด อัตราการหายใจที่มากกว่า 60ครั้ง/นาที
การรักษา
ดูแลเรื่องไข้ Clear airway suction เพื่อให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดูแลแก้ไขปัญหาพร่องออกซิเจน ให้ยาขยายหลอดลม ยาขับเสมหะ ยาฆ่าเชื้อ
ดูแลให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อให้เสมหะอ่อนตัวขับออกได้ง่าย ช่วยลดไข้
การพยาบาลผู้ป่วยเด็ก
ในรายที่เสมหะอยู่ลึกให้ Postural drainage โดยการเคาะปอด และ Suction เพื่อป้องกันภาวะปอดแฟบ (Atelectasis)
การทำ Postural drainage จะช่วยทำให้เสมหะที่อยู่ส่วนปลายถูกกระตุ้นให้เลื่อนขึ้นมาถึงปลายสายดูดเสมหะ ช่วยให้เสมหะถูกดูดออก จากหลอดลมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จัดให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง หรือนอนทับข้างที่มีพยาธิสภาพเพื่อให้ปอดข้างที่ดีขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอตามแผนการรักษา
เด็กโตต้องสอนการไออย่างถูกวิธี กระตุ้นให้ดื่มน้ำมากๆ
ปัญหาการอุดกั้นทางเดินหายใจเป็นปัญหาสำคัญจำเป็นต้องดูแลแก้ไข
อัตราการหายใจของเด็กในแต่ละวัย
2-12 เดือน ไม่เกิน 50 ครั้ง/นาที
1-5 ปี ไม่เกิน 40 ครั้ง/นาที
ต่ำกว่า 2 เดือน 40-60 ครั้ง/นาที
เสียงหายใจผิดปกติ
stridor sound
ระดับเสียงสูง (high pitch) และมีลักษณะคล้ายเสียงคราง เป็นเสียงที่ได้ยินติดต่อกัน
เกิดจากมีการตีบแคบของบริเวณกล่องเสียงหรือหลอดลม
crepitation sound
พบได้ในภาวะปอดอักเสบ
เเสียงแตกกระจายเป็นช่วงๆ เกิดจากลมผ่านท่อทางเดินหายใจที่มีน้ำหรือเสมหะ
rhonchi sound
เกิดขึ้นเนื่องจากมีการไหลวนของอากาศในส่วนของทางเดินหายใจ ที่ตีบแคบกว่าปกติ
wheezing
เป็นเสียงที่มีความถี่สูงหรือเสียงหวีด
พบในผู้ป่วยโรคหอบหืด (bronchial asthma) หรือ
ภาวะหลอดลมมีความไวในการตีบตัวมากกว่าปกติ(bronchial hyperreactivity)
Respiratory Distress Syndrome
ภาวะกลุ่มอาการหายใจลำบาก พบบ่อยในทารกคลอดก่อนกำหนดGA<34-36 wks น้ำหนักตัว < 1,500 gm.
สาเหตุ ปัจจัย
โครงสร้างของปอดมีพัฒนาการไม่เต็มที่
เกิดจากการขาดสารลดแรงตึงผิวที่ผิวของถุงลม
ทารกมีภาวะ hypothermia, Perinatal asphyxia
มารดาเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
มารดามีเลือดออกทางช่องคลอดก่อนกำหนด
ครรภ์ก่อนบุตรมีภาวะ RDS
การป้องกัน
มารดาที่เสี่ยงจะคลอดก่อนกำหนดโดยเฉพาะอายคุ รรภ์ 24-34 สัปดาห์ ควรได้ antenatal corticosteroids อย่างน้อย24 ชม. ก่อน คลอด เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างสารลดแรงตึงผิวและปอดมีความสมบูรณ์มากข้ึน
Betamethazone 12 mg SC q 24 ชม. จนครบ 2ครั้ง
Dexamethazone 6 mg SC q 12 ชม. จนครบ 4ครั้ง
ป้องกันไม่ให้ทารกขาดออกซิเจนในระยะแรกเกิด ซึ่งทำให้เลือดเป็นกรด ขัดขวางการ ทำงานของการสร้างสารsurfactant
อาการแสดง
เสียงหายใจผิดปกติมีการกลั้นหายใจขณะหายใจออก (expiratory grunting)
ซีด BP ต่ำ ดูดนมไม่ดี อาเจียน ท้องอืด ซึม กระสบักระส่าย reflex ลด
หน้าอกและหน้าท้องไม่สัมพันธ์กัน
หน้าอกปุ่ม (retraction) บริเวณ Intercostal, Subcostal และ Substernal retraction
หายใจเร็ว (tachypnea) < 60 Bpm หรือหายใจลำบาก (dyspnea)
การรักษา
ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน โดยการปรับลดความเข้มข้น และอัตราไหลของออกซิเจน
ให้สารsurfactantเพื่อให้ความยืดหยุ่นของปอดดีขึ้น ลดความรุนแรงของภาวะหายใจลำบาก
การให้ออกซิเจนตามความตอ้งการของทารกเช่น การใช้เครื่องช่วยหายใจ
Perinatal asphyxia
ภาวะขาดออกซิเจนของทารกแรกเกิด
ประกอบด้วย
ภาวะคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูง (hypercapnia)
ภาวะลือดเป็นกรด จากการระบายอากาศที่ปอด (ventilation) และการกำซาบของปอด (pulmonary perfusion) ไม่เพียงพอ
ภาวะเลือดขาดออกซิเจน(hypoxemia)
สาเหตุ
ปัจจัยทางด้านมารดา ได้แก่ ตกเลือด อายุมาก เบาหวาน รกเกาะต่ำ รกลอกตัวก่อน กำหนด ครรภ์ความดันเลือดต่ำ ครรภเ์กินกำหนด ซีดมาก ได้รับยาแกป้วด
ปัจจยัเกี่ยวกับทารก ได้แก่ คลอดก่อนกำหนด ทารกเจริญเติบโตช้ในครรภ์ ภาวะติดเชื้อในครรภ์ ความพิการโดยกำเนิด
ปัจจยัที่เกี่ยวข้องกับการคลอด ได้แก่ ศีรษะทารกไม่ได้สัดส่วนกับเชิงกรานมารดา คลอดติดไหล่ ความผิดปกติของสายสะดือ ครรภ์แฝด ทารกท่าผิดปกติการคลอดโดย ใช้หัตถการการคลอดที่ทำยากลำบาก
ระดับ
Mild asphyxia คะแนนแอพการ์ 5 – 7
Moderate asphyxia คะแนนแอพการ์ 3 – 4
No asphyxia คะแนนแอพการ์ 8 –10
Severe asphyxia คะแนนแอพการ์0-2
การรักษาประคับประคอง
งดอาหารทางปากชั่วคราว ให้สารน้ำและอาหารทางหลอดเลือด
ให้เลือดถ้าความเข้มข้นของเลือดต่ำหรือเสียเลือด
ให้ออกซิเจนที่เหมาะสม
หลังจาก 12 ชม. ให้ระวังอาการชัก
ให้ความอบอุ่นและควบคุมทารกให้อุณหภูมิปกติ
พิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ
การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
ระมัดระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
Apnea of prematurity
ภาวะหยุดหายใจนาน < 20 วินาที ร่วมกับ มีcyanosis ใน 8 ชม. ไม่ควรเกิด 8ครั้ง
central apnea ภาวะหยุดหายใจที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลม และไม่มีอากาศไหลผ่านรูจมูก มีสาเหตุจากศนูย์การหายใจที่บริเวณก้านสมองทำงานได้ไม่ดี
obstruction apnea ภาวะหยุดหายใจที่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือ กะบังลม แต่ไม่มีอากาศไหลผ่านรูจมูก เกิดการงอหรือการเหยียดลำคอเกิน ทำให้ช่อง ภายในหลอดคอ ไม่เปิดกว้าง เกิดการอุดกั้นทางเดิน
การดูแล
จัดท่านอนที่เหมาะสม
สังเกตอาการพร่องออกซิเจน
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
ดูดเสมหะเมื่อจำเป็ น
ระวังการสำลัก