Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ปัญหาด้านโภชนาการ, เด็กอ้วน, S4857900, S4857903, S__4857902 - Coggle…

- - - - 1.ไม่รับประทานอาหารจุบจิบ ควรรับประทานอาหารว่างไม่เกินวันละ 2 มื้อ มื้อละ ไม่เกิน 150 กิโลแคลอรี่
        
        2.ไม่ซื้อขนม นม และอาหารสะสมไว้ในบ้าน อาหารว่างที่ควรมีอยู่ติดประจำบ้านคือ นมจืด ผลไม้สด หรือขนมปังกรอบชนิดโฮลวีท
        
        3.ฝึกให้รับปรัทานผักและผลไม้ให้เป็นนิสัยแทนขนมและของว่างอื่นที่ทำให้อ้วน
        
        4.ให้รับประทานอาหารเป็นเวลา และควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภททอดและอาหารจานด่วน
        
        5.ไม่สอนให้รับประทานอาหารรสจัดเนื่องจากจะทำให้เด็กต้องปรุงรสโดยเฉพาะน้ำตาล
        
        6.ดื่มนมรสจืดในปริมาณที่เหมาะสม เช่น ในเด็กอายุเกิน 1 ขวบ ควรให้เลิกดื่มนมมื้อกลางคืน ส่วนเด็กอนุบาลควรดื่มวันละ 2-3 มื้อ
        
        7.ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 20 นาทีและอย่างสม่ำเสมอไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เช่น วิ่ง เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ กระโดดเชือก หรือถีบจักรยาน
        
        8.ลดกิจกรรมที่ไม่เคลื่อนไหวร่างกาย (Sedentary behavior) คือ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จไม่ควรนั่งหรือนอนดูโทรทัศน์ ควรทำกิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย และไม่ควรดูโทรทัศน์ และเล่นคอมพิวเตอร์นานติดต่อกันเกิน 1 ชั่งโมง
- - - - Kwashiorkor คือภาวะที่เด็กขาดสารอาหารโปรตีน
        ลักษณะ อาการ มีบวมบริเวณปลายเท้า ใบหน้า และตัว มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เช่นซึมเศร้า หงุดหงิด เบื่ออาหาร ผิวหนังบางแตกเป็นแผล มีตับโต ตัวซีด อัลบูมินในพลาสมาต่ำ กรดอะมิโนในพลาสมาสูง ยูเรียในปัสสาวะต่ำ ฮัยดรอกซีย์โปรตีนในปัสสาวะต่ำ
      - Marasmus คือ ภาวะที่เด็กขาดอาหารที่ให้พลังงานหรือแคลอรี่
        ลักษณะ อาการ ไม่บวม ผอมแห้งหนังหุ้มกระดูก กล้ามเนื้อลีบ น้ำหนักลด ฮัยดรอกซีย์โปรตีนในปัสสาวะต่ำ
      - Marasnic kawaschiorkor คือภาวะที่เด็กขาดทั้งสารอาหารโปรตีนและพลังงาน
    - - 1.ดูแลให้ได้รับอาหารอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ตามแผนการรักษา
        
        1.1ผู้ป่วยเด็กที่ขาดอาหารขั้นรุนแรงจะมีอาการท้องเดินร่วมด้วย ในระยะแรกที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จึงต้องงดน้ำและอาหารทางปาก แล้วให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ เมื่ออาการดีขึ้นจึงเริ่มให้อาหารเหลว และอาหารอ่อนตามมา วันแรกควรให้อาหารที่ให้พลังงาน 25 กิโลแคลอรี่/กิโลกรัม/วัน และโปรตีน 1 กรัม/กิโลกรัม/วัน โดยให้ปริมาณน้อยต่อครั้งแต่ให้บ่อยๆ เมื่อผู้ป่วยเด็กรับสารอาหารเหล่านี้ได้จึงค่อยๆเพิ่มขึ้นทุกวัน
        
        1.2การรักษาระยะที่ 2 ผู้ป่วยเด็กจะมีความอยากอาหารมาก จึงควรให้อาหารที่มีพลังงานสูง ประมาณ 150-200 กิโลแคลอรี่/กิโลกรัม/วัน และมีโปรตีนประมาณ 4-5 กรัม/กิโลกรัม/วัน
        
        1.3การรักษาระยะสุดท้าย ระยะนี้คือระยะที่ติดตามผู้ป่วยเด็กอย่างใกล้ชิด เพื่อเริ่มให้ผู้ป่วยเด็กกลับบ้าน เมื่อน้ำหนักตัวของผู้ป่วยเด็กขึ้นมาใกล้กับน้ำหนักที่ควรจะเป็น ระยะนี้ความอยากอาหารจะลดลงมาเทียบเท่าเด็กปกติ ควรให้อาหารเช่นเดียวกับเด็กปกติ แนะนำผู้ปกครองถึงความสำคัญของการให้สารอาหารต่างๆ ตลอดจนวิธีการเลี้ยงดู การให้ความรัก ความเอาใจใส่ จะทำให้ผู้ป่วยเด็กอาการดีขึ้นเร็ว
      - 2.ดูแลและป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะติดเชื้อ ความไม่สมดุลของสารน้ำและอิเลคโตรลัยท์
      - 3.ดูแลให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุตามแผนการรักษาของแพทย์
      - 4.ส่งเสริมหรือกระตุ้นพัฒนาการของเด็กให้เป็นไปตามวัย รวมทั้งการจัดกิจกรรมสันทนาการที่เหมาะสม
      - 5.แนะนำบิดามารดาเกี่ยวกับการเลี้ยงดูในเรื่องโภชนาการและการดูแลสุขภาพ
        
        5.1แนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
        
        5.2แนะนำการให้อาหารเสริมแก่ทารกอย่างถูกต้องและเพียงพอ
        
        5.3แนะนำการให้วัคซีนป้องกันโรคในทารกและเด็กเล็ก
        
        5.4หมั่นชั่งน้ำหนักเด็กหากผิดปกติควรปรึกษาแพทย์
        
        5.5แนะนำบิดามารดาว่าเวลาเด็กเจ็บป่วยควรให้อาหารประเภทโปรตีนมากๆ เช่น ไข่แดง เนื้อสัตว์ และให้ความรู้ว่าอาหารโปรตีนไม่ใช่ของแสลงขณะเจ็บป่วย ดังนั้นจึงไม่ควรงด (กรณีที่ไม่ขัดต่อแผนการรักษา)
  - - - สาเหตุ
        
        1.เด็กมีภาวะขาดโปรตีนและพลังงาน หรือขาด Retinol binding protein (RBP) ขนส่งวิตามินเอจากตับไปสู่อวัยวะต่าง ๆ
        
        2.เด็กมีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร หรือเจ็บป่วยจากโรคติดเชื้อเฉียบพลัน
        
        3.ทารกที่ไม่ได้รับอาหารเสริมตามวัย
    - - 1.การเจริญเติบโตหยุดชะงัก ภูมิต้านทานต่ำ ทำให้เป็นหวัดและมีน้ำมูกง่าย
        
        2.อาการทางตา (Xerophthalmia) จะมีอาการของตามัวในที่มืด (Night blindness) เยื่อบุตาแห้งขุ่น (Conjunctival xerosis) เกล็ดกระดี่ (Bitot’s spot) กระจกตาแห้ง (Corneal xerosis) กระจกตาเป็นแผล (Corneal ulceration) กระจกตาขุ่นเหลว (Keratomalacia)
        
        3.ผิวหนังแห้งเป็นเกล็ด (Dry scaly skin or toad skin)
        
        4.เยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกายแห้ง
    - - ภาวะ Xeropthalmia เป็นภาวะที่ต้องรักษาโดยรีบด่วน เพราะอาจเกิดตาบอดได้ จึงต้องให้วิตามินเอทดแทนทางปาก หรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือกล้ามเนื้อ หากมีการอักเสบหรือมีแผลให้ยาปฏิชีวนะหยอดตา
    - - 1.ประเมินอาการผิดปกติ อาการแทรกซ้อนที่เกิดกับดวงตา
        
        2.ดูแลให้ได้รับประทานอาหารที่เหมาะสม
        
        3.ให้ความรู้เรื่องโภชนาการแก่มารดา โดยเน้นการเลี้ยงดูบุตรให้ถูกต้องด้วยน้ำนมมารดา ให้อาหารเสริมที่เหมาะสม ไม่ใช้นมข้นหวานเลี้ยงทารก เป็นต้น แนะนำอาหารที่มีวิตามินเอสูง หรือแคโรทีนสูง เช่น ตับ ไข่แดง ผักใบเขียว ผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง มะละกอสุก เป็นต้น
  - - - 1.ทารกที่เกิดจากมารดาขาดสารไอโอดีนอย่างรุนแรงขณะตั้งครรภ์ จะมีการเจริญ เติบโตของร่างกายและสมองหยุดชะงัก อาจเป็นคนเตี้ยแคระ หูหนวก เป็นใบ้ ตาเหล่ เดินกระตุกหรือมีปัญญาอ่อนแต่กำเนิดที่เรียกว่า โรคเอ๋อ (Critinism)
        
        2.เกิด Hypothyroidism ร่างกายจะเตี้ยแคระแกรน ผิวหนังแห้งและหยาบ การเคลื่อนไหวเชื่องช้ามาก
        
        3.เด็กและวัยรุ่นจะมีความเจริญทางสมอง สติปัญญาและการเจริญเติบโตของร่างกายช้า
        
        4.อาการคอพอก
    - - 1.หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรต้องการไอโอดีนวันละ 170 และ 200 ไมโครกรัม ซึ่งทำได้โดยบริโภคเกลือเสริมไอโอดีนวันละ 1 ช้อนชาพูนๆ
        
        2.ดูแลให้ได้รับอาหารที่มีโปรตีนสูง เนื่องจาก T3 และ T4 จะทำงานได้เมื่อจับกับโปรตีน
        
        3.แนะนำให้บริโภคอาหารที่หลากหลาย ควรบริโภคอาหารทะเลเป็นครั้งคราวควบคู่กับการใช้เกลือเสริมไอโอดีน เช่น ปลาทะเลต่างๆ รวมถึงปลากระป๋องด้วย
  - - - 1.ดูแลให้ยา Ferrous sulfate รับประทาน อาจทำให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุทางเดินอาหาร คลื่นไส้อาเจียน แก้ไขโดยให้หลังอาหาร นอกจากนั้นยังทำให้ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ (สีของเหล็ก) ควรอธิบายให้ผู้ปกครองทราบด้วย เมื่อผู้ป่วยเด็กได้รับเหล็กไป 2 – 3 วัน ผู้ป่วยเด็กจะสบายขึ้น ไม่ร้องกวน รับประทานอาหารและนมได้มากขึ้น เมื่อแก้ไขภาวะโลหิตจางไปแล้ว ผู้ป่วยเด็กควรได้รับเหล็กต่อไปอีก 1 – 2 เดือน เพื่อให้มีเหล็กสะสมในร่างกายเพียงพอ และแนะนำให้รับประทานอาหารที่ช่วยให้การดูดซึมเหล็กดีขึ้น เช่น เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เป็นต้น
      - 2.ดูแลให้ได้รับอาหารเพียงพอโดยเฉพาะอาหารที่มีธาตุเหล็กมาก เช่น เนื้อสัตว์ ตับ เลือดหมู นม ไข่ ผักใบเขียว อาหารทะเล และถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น
      - 3.แนะนำมารดาให้เลี้ยงลูกด้วยนมมารดา เพราะจะทำให้การดูดซึมเหล็กดีกว่านมวัว และแนะนำเรื่องอาหารเสริมให้ได้รับตามวัย
      - 4.แนะนำมารดาเรื่อง การกำจัดพยาธิที่เป็นสาเหตุทำให้เสียเลือดเรื้อรัง การปรับปรุงสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมที่ดี
      - 5.ช่วยเหลือดูแลในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เนื่องจากความทนทานต่อกิจกรรมลดลง และจัดกิจกรรมนันทนาการให้อย่างเหมาะสม