Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร ที่รักษาทางยา, :, อุจ, FD8EF053…
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร
ที่รักษาทางยา
ขาดวิตามิน
โรคขาดวิตามินบี 1 โรคเหน็บชา , Beri beri)
สาเหตุ
รับประทานอาหารไม่เพียงพอ
การดูดซึมที่ลำไส้น้อยจากภาวะดูดซึมบกพร่อง
รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ทำลายวิตามิน บี1
ดื่มสุราเรื้อรัง
อาการและอาการแสดง
มีความรู้สึกอ่อนเพลีย
แขนขาหนัก
อาการบวมตามขาบางครั้ง
มีความรู้สึก เหมือนมีเข็มทิ่มตำขา
พยาธิสภาพ
ในร่างกายจะมีวิตามินบี1 หรือ Thiamine ประมาณ30 มิลลิกรัมม ครึ่งหนึ่งจะอยู่ในกล้ามเนื้อ นอกจากนั้นจะกระจายอยู่ในตับ ไต หัวใจ สมองและเนื้อเยื่อระบบประสาทโดยจะอยู่ในรูป Thiamine Pyrophosphate ถึงร้อยละ 80 ทำหน้าที่เป็นโคเอ็นไซม์หรือเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาช่วยในกระบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมันและกรดอะมิโนชนิดโซ่กิ่งทำให้สามารถนำไปสร้างพลังงานให้ร่างกายสามารถทำงานได้และอีกร้อยละ 10อยู่ในรูป Thiamine triphosphate (TTP) และที่เหลือร้อยละ 10 จะอยู ่ในรูป Thiamine monophosphate (TMP) และ free Thiamineและเป็นส่วนประกอบสำคัญของผนังเซลล์ประสาท (neural membrane) ดังนั้นหากร่างกายได้รับวิตามินบี1 ไม่เพียงพอและใช้วิตามินบี1 ที่สะสมหมดไปจะทำให้เป็นโรค
การวินิจฉัยโรค
ตรวจปัสสาวะพบว่าการขับวิตามินออกทางปัสสาวะน้อยกว่า 50 g/day
ตรวจหา Erythrocyte transketolase activity ก่อนและหลังให้วิตามินบี1
การรักษา
ให้วิตามิน บี1 และอาการที่มีวิตามินบี1
ในรายที่มีอาหารหัวใจล้มเหลว
ให้วิตามินบี1 ฉีดเข้าหลอดเลือดด้าแล้วตามด้วยวิตามินบี1
เข้ากล้ามทุก12 ชั่วโมงอีก2 3 วัน
ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ควรให้รับประทานทางปากต่อไปอีกระยะหนึ่ง
การพยาบาล
ปัญหาที่1 อาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
ให้วิตามินบี1 ตามแผนการรักษา
วัดสัญญาณชีพ ทุก4 ชั่วโมงและประเมินภาวะที่มีความเปลี่ยนแปลง
ลดกิจกรรม ให้เด็กได้พักผ่อน
ปัญหาที่2 อาจเกิดภาวะขาดสารอาหารจากไม่ดูดนม
กระตุ้นให้เด็กดูดนม
บันทึกจำนวนสารน้ำเข้าและออก จากการถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ
ชั่งน้้าหนักทุกวันและควรเป็นเวลาเดียวกัน
ปัญหาที่3 อาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เนื่องจากมีอาการชาตามขา
จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย
ไม่ปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพังเป็นเวลานาน
การช่วยเหลือตนเองร่วมกับการช่วยเหลือของพยาบาล
ปัญหาที่4 ผู้ดูแลขาดความรู้ในการเลี้ยงดูเด็ก
ให้ความรู้ในเรื่องอันตราย เกี่ยวกับการขาดวิตามิน บี1
แนะนำการสังเกต อาการและป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก
การป้องกัน
ส่งเสริมให้รับประทานข้าวซ้อมมือ
เว้นการรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ทำลายวิตามินบี1 เช่น พวกปลาดิบ
ส่งเสริมให้รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5หมู่
ความหมาย
วิตามินบี 1 หรือไทอามีน (Thiamine) เป็นวิตามินที่กระตุ้นการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมัน ให้เป็นพลังงานของร่างกาย เพื่อใช้ในการเคลื่อนไหวและเวริมสร้างการเจริญเติบโต ทั้งนี้ยังมีส่วนสำคัญในการดูแลระบบประสาทและการทำงานของระบบหัวใจ โดยร่างกายจะสะสมวิตามินบี1ตามกล้ามเนื้อ สมอง และหัวใจ หากเกิดภาวะขาดวิตามิน ร่างกายจะค่อยๆใช้วิตามินที่สะสมไว้จนหมดภายใน 1 เดือน อาการข้างเคียงจะเริ่มปรากฏ
โรคขาดวิตามิน เอ
อาการและอาการแสดง
ตามัวในที่มืด(night blindness)
เยื่อบุตาแห้ง
ระบบทางเดินหายใจ จะติดเชื้อได้ง่าย
ระบบทางเดินอาหาร เกิดท้องเสียบ่อยๆ
ระบบทางเดินปัสสาวะ อาจมีอาการอักเสบ
การเจริญเติบโต ช้ากว่าปกติ
การรักษาและการป้องกัน
การให้วิตามินเอที่ขาด
การให้ความรู้อาหารที่มีวิตามินเอ เช่น ตับสัตว์ ฟักทอง ฯลฯ
การพยาบาล
ปัญหาที่1 มีโอกาสตาบอดได้
จัดอาหารที่มีวิตามินเอให้เด็กรับประทาน
ดูแลให้ยาวิตามิน เอตามการรักษาของแพทย์
จัดสิ่งแวดล้อมไม่ให้มีแสงจ้า
ปัญหาที่2 เสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบต่างๆ
ท้าความสะอาด ปาก ฟันให้สะอาด
รับประทานอาหารย่อยง่าย รสไม่จัด
ท้าความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ให้สะอาดหลังการขับถ่ายทุกครั้ง
ปัญหาที่3 ผู้ดูแลขาดความรู้ และการเลือกอาหารที่มีวิตามิน เอให้เด็ก
ให้ความรู้ด้านโภชนาการกับผู้ดูแล
ให้ความรู้เกี่ยวกับอาการและอันตรายที่จะเกิดกับเด็กในภาวการณ์ขาดวิตามิน เอ
พยาธิสภาพ
วิตามินช่วยขับเคลื่อนให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ เมื่อเราบริโภคอาหารซึ่งมีวิตามินเป็นส่วนประกอบ อาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและถูกนำไปใช้เสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินซึ่งได้จากอาหาร และดูดซึมเข้าไปอยู่ในเลือด จะถูกส่งไปตามอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายเพื่อให้อวัยวะต่างๆทำงานได้ตามปกติ นอกจากนี้วิตามินยังช่วยให้ระบบประสาทสั่งงานไปยังอวัยวะต่างๆได้เป็นอย่างดี หากการสั่งงานจากระบบประสาทใช้งานไม่ได้ การทำงานของอวัยวะต่างๆจะสูญเสียไป
สาเหตุ
การขาดอาหาร โดยเฉพาะผู้ที่ไม่นิยมทานผักผลไม้
ผู้ที่ขาดวิตามินเอโดยไม่ตั้งใจจากโรคท้องร่วงเรื้อรัง โรคตับอ่อนอักเสบ และท่อน้ำดีอุดตัน
การทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่
การวินิจฉัยโรค
เยื่อตาขาวรอบ ๆ กระจกตาดำเป็นรอยย่น
กระจกตาดำขุ่นมัวไม่สะท้อนแสง
มีเกล็ดกระดี่ตรงด้านหางตา
เจาะเลือดตรวจหาระดับวิตามินเอ Plasma retinol
ผู้ที่มีค่าน้อยกว่า 10 µg/dL จะถือว่าขาดวิตามินเอ
ความหมาย
วิตามินเอเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันมีความสำคัญเกี่ยวกับการมองเห็น ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การสืบพันธ์ และสุขภาพผิวหนัง วิตามินเอในธรรมชาติมีอยู่สองรูปแบบคือ Preformed vitamin A เป็นวิตามินที่พบในเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม น้ำมันตับปลา ตับ ไข่แดง เขยวิตามินเหล่านี้ออกฤทธิ์ได้เลย อีกพวกหนึ่งเป็นวิตามินเอที่ได้จากพืช เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ผลไม้สีส้มเช่น ส้ม ฟักทองซึ่งมีสาร betacarotene ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอวิตามินเหล่านี้จะต้องมีการเปลี่ยนในร่างกายก่อนจึงออกฤทธิ์ได้ วิตามินเหล่านี้พบในพืชเป็นส่วนใหญ่ ตับเป็นแหล่งสะสมของวิตามินเอ คนปกติจะไม่ขาดวิตามินเอ กลุ่มที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินคือ คนท้อง แม่ที่เลี้ยงบุตรด้วยนมตัวเอง ทารก ท้องร่วงเรื้อรัง
อุจจาระร่วง (Diarrhea)
ความหมาย
ภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลวจำนวน 3ครั้ง ต่อวันหรือมากกว่า หรือถ่ายมีมูกหรือเลือดปนอย่างน้อย1ครั้ง หรือถ่ายเป็นน้ำจำนวนมากกว่า1ครั้งขึ้นไปในหนึ่งวัน
สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ได้แก่ rotavirus พบมากอันดับหนึ่ง เชื้อแบคทีเรีย คือ Escherichia coli,Shiigella, Vibrio cholera แพร่กระจายจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
เกิดจากเชื้ออหิวาต์ คือ Vibrio Cholera ระยะฟักตัว24ชั่วโมง ถึง 5วัน
รับประทานอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษจากเชื้อแบคทีเรีย
แบ่งออกเป็น 3 ชนิด
1.อุจจาระร่วงเฉียบพลัน (acute diarrhea) คือการถ่ายผิดปกติหลายชั่วโมง หลายวัน แต่มักจะหายภายใน 7 วัน
2.อุจจาระร่วงยืดเยื้อ (presistant diarrhea) ถ่ายผิดปกตินานเกิน 2 สัปดาห์
3.อุจจาระร่วงเรื้อรัง(chronic diarrhea) ถ่ายผิดปกตินานเกิน 3 สัปดาหฺ์
อาการและอาการแสดง
1.ถ่ายอุจจาระเหลว ถ่ายมากช่วงแรก ช่วงหลังจะถ่ายครั้งละน้อยๆ ปวดเบ่งและอุจจาระมีมูกเลือด
2.อาการขาดน้ำ
2.1ขาดน้ำระดับเล็กน้อย เด็กจะมีอาการปากแห้งระดับเล็กน้อย กระกายน้ำบ้าง ปัสสาวะปกติน้อยลงเล็กน้อย
2.2ขาดน้ำระดับปานกลาง น้ำหนักลดลงจากเดิม ริมฝีปากแห้ง กระหายน้ำมากขึ้น ค่อนข้างอ่อนเพลีย
2.3ขาดน้ำระดับรุนแรง ไม่ค่อยรู้สึกตัว ซึมมาก ตาลึกโหล หายใจทางปาก ผิวหนังเขียวเป็นจ้ำเลือด
3.อุจจาระมีลักษณะเป็นน้ำซาวข้าว มีมูกมาก
4.มีไข้ ไอเล็กน้อย อาเจียน
พยาธิสภาพ
เกิดเมื่อมีเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียเข้าไปในทางเดินอาหารทำให้เกิดการหลั่งและลดการดูดซึมของลำไส้จะพบความรุนแรง และเฉียบพลัน จากการขาดน้ำ ภาวะเป็นกรด และช็อคได้เมื่อขาดน้ำรุนแรง ถ้าเชื้อเข้าไปในเซลล์เยื่อบุลำไส้ จะมีการอักเสบ ทำให้เซลล์แตก มีเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นบริเวณเยื่อบุลำไส้ มีการหลุดออกของเซลล์เกิดแผล มีอาการปวดเบ่ง ปวดถ่าย อุจจาระเป็นมูกเลือด
การรักษา
1.การให้สารน้ำทดแทน
2.การให้สารอาหาร แนะนำให้กินอาหารที่ย่อยง่าย ให้กินปริมาณน้อยๆและกินบ่อยๆ
3.การรักษาด้วยยา ciproflox,trimethoprimcและการให้ยาปฏิชีวนะที่ฆ่าเชื้อได้ tetracyclin ขนาดทีให้เด็ก30-60มก./กก./วัน เป็นเวลา 2-3วัน
4.การให้โพรไบโอติกส์ เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรค
การพยาบาล
การพยาบาลขณะอยู่โรงพยาบาล
1.ป้องกันและรักษาภาวะขาดน้ำ โดยให้สารละลาย ORSทางปาก ในทารกและเด็กเล็กป้อนครั้งละน้อยๆหรือทุก1-5นาที
2.ป้องกันภาวะทุพโภชนาการ โดยให้อาหารระหว่างการอุจจาระร่วงและหลังจากหายแล้วเพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร
3.ดูแลเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
4.ลดการระคายเคืองและปวดแสบปวดร้อนบริเวณผิวหนัง
5.ให้คำแนะนำก่อนกลับบ้านเพื่อป้องกันการเกิดโรคอุจจาระร่วงซ้ำ
การป้องกันโรคอุจจาระร่วงในเด็ก
1.การให้วัคซีนป้องกัน rotavirus
2.การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะช่วยลดความชุกของโรคอุจจาระร่วง
3.การล้างมือและดื่มน้ำสะอาด การล้างมือก่อนและหลังสัมผัสอาหาร และหลังจากชับถ่ายหรือสัมผัสสิ่ปฏิกูล
โรคภาวะทุพโภชนาการ
โรค ภาวะทุโภชนาการ (Malnutrition)
ความหมาย ภาวะที่ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารที่ย่อยลงแล้ว ปัจจุบันให้เรียกเป็น โรคขาดโปรตีนและพลังงาน (protein-energy
malnutrition หรือ protein calorie malnutrition) เรียกย่อว่า
PCM คือเด็กที่ขาดโปรตีนโดยมากมักจะขาดพลังงานด้วยและเด็กที่ ขาดพลังงานก็มักจะขาดโปรตีนด้วย มักพบในเด็กทารกและเด็กที่มีอายุ ต่ำกว่า 6 ปี
สาเหตุ
1.ภาวะที่ทารกไม่ได้รับการเลี้ยงด้วยนมแม่
2.ภาวะที่ทารกได้รับอาหารเสริมไม่พอ
3.การเลี้ยงดูไม่เหมาะสม เช่น การตามใจ
4.ภาวะความเจ็บป่วย ต่างๆ ได้แก่
-ได้รับอาหารน้อยลง ซึ่งเกิดจาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน หอบ เหนื่อย การจ้ากัดอาหาร เช่น เด็กไตวาย การอุดกั้นทางเดินอาหาร
-ความบกพร่องของการย่อยและการดูดซึมอาหาร
-ความต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้นมากกว่า ปกติ เช่น ภาวะบาดเจ็บรุนแรง
-ความผิดปกติของการใช้สารอาหารภายในร่างกาย เช่น ในภาวะขาดออกซิเจน
พยาธิสภาพ
เมื่อขาดสารอาหาร 2-3 วันแรกตับจะสลายไกลโคเจนเป็นกลูโคสทำให้กลูโคสในเลือดลดลงอินซูลินลดลงกลูคากอนสูงขึ้นทำให้เกิดขนวนการสร้างกลูโคสจากสารที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตมีการสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อเป็นกรดอะมิโนเพิ่มขึ้นไขมันเป็นกรดไขมันอิสระเพื่อเปลี่ยนเป็นกลูโคสให้อวัยวะต่างๆของร่างกายใช้
เมื่อขาดอาหาร 5-10 วันร่างกายเปลี่ยนไปใช้ไขมันคือสารคีโตนเป็นพลังงานแทนเมื่อไขมันถูกใช้หมดจะกลับมาใช้โปรตีนที่เหลือเป็นพลังงานโดยจะใช้โปรตีนในอวัยวะที่สำคัญเช่นหัวใจปอดเม็ดเลือดแดงทำให้ร่างกายจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้
การวินิจฉัย
1.ใช้การวัดส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อประเมินสภาวะโภชนาการ ที่นิยมใช้กันมาก ได้แก่
น้ำหนัก ส่วนสูง ขนาดรอบศีรษะ รอบกึ่งกลางต้นแขน ความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง
2.อาศัยลักษณะทางคลินิก ซึ่งแยกตามโรค ดังนี้
-Kwashiokor ขาดโปรตีนมาก มีผมบางเปราะ แห้ง ลักษณะบวมฉุ กล้ามเนื้ออ่อนแรง มักมีตับโต ผิวหนังหลุดลอกแผ่นสีดำๆ
Marasmus โรคขาดแคลอรี่อย่างมาก เด็กจะมีการเจริญเติบโตช้า ผอมมาก ผมบาง ตาลึกโหล แก้มตอบผิวหนัง เหี่ยวย่น ไม่มีไขมันใต้ผิวหนัง
Marasmic kwashiokor มีอาการแสดงระหว่าง Merrasmic และ Kwashiorkor ซึ่งมักเกิดขึ้นด้วยกันเสมอ
อาการและอาการแสดงทางคลินิก
ลักษณะที่บ่งบอกถึงการพยากรณ์โรคไม่ดี ได้แก่
1.อายุน้อยกว่า 6 เดือน
2.น้ำหนักตัวต่อความสูงต่ำกว่าร้อยละ 40 ของค่าปกติ
3.มีอาการอุจจาระร่วงรุนแรง และไม่ดีขึ้น ภายหลังให้การรักษา
4.ซึมมาก หรือหมดสติ
5.ติดเชื้อ โดยเฉพาะปอดบวม sepsis หรือหัด
6.มีแนวโน้ม ที่จะมีเลือดออก เพราะจุดจ้ำเขียว มักจะพบร่วมกับ Septicemia
7.มีอาการขาดวิตามิน เอ อย่างมาก มีการเปลี่ยนแปลงที่ตา
8.มีแผลที่ผิวหนัง หรือมีdermatosis อย่างมาก
9.ภาวะขาดน้ำ และเสียอิเลคโตรไลท์ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม แมกนีเซียมต่ำ
10.มีอาการตัวเหลือง ระดับ ALT และ AST สูง
11.ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และ อุณหภูมิร่างกายต่ำ
12.โปรตีน ในซีรั่มต่้า ต่้ากว่า 3 กรัม/ดล.
โรคภาวะทุพโภชนาการ
การรักษา
1.รักษาภาวะแทรกซ้อนเพื่อให้เด็กมีชีวิตรอด
-รักษาภาวะเสียดุลย์ของสารน้ำและอิเลคโตรไลท์ ในรายอุจจาระร่วง ผู้ป่วยจะมีภาวะขาดน้ำในระดับต่างๆกัน ควรมีการให้ สารน้ำทดแทน
เช่น 5% Dextrose ½ NSS 10-20 มล./กก., 5% Dextrose 1/3 NSS
-รักษาภาวะน้ำตาลในเลือดต่้า ซึม อุณหภูมิร่างกายต่ำ อาจชักได้ ให้ Dextrose 10%
-รักษาภาวะการติดเชื้อ ต้องให้ยา และควบคุมรักษาโรคได้
-รักษาภาวะเลือดจาง
-รักษาภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น Kerophthalmia ( เยื่อบุตาขาวอักเสบ)จากการขาดวิตามิน เอ ต้องให้ วิตามิน เอ
-การปฏิบัติรักษาทางโภชนาการ คือนอกจากการให้สารน้้าแล้ว อาจให้สารอาหารทางการแพทย์(medical food) รวมถึง การดูแลอาหารทางปาก จากเหลวจนถึงธรรมดา
-การให้วิตามินและแร่ธาตุ จะให้วิตามินในส่วนที่ขาด เช่น วิตามิน เอ วิตามินบี2 การขาดโฟเลต การขาดเหล็ก
การพยาบาล
ปัญหาที่ 1 ขาดสารอาหารโปรตีนและพลังงาน
1.ให้อาหารให้เหมาะสมตามภาวะของโรค ร่วมกับแผนการรักษา
2.ให้อาหารทางหลอดโลหิตด้า ตามแผนการรักษา บันทึก จำนวนชนิดของอาหาร
3.ชั่งน้ำหนักเด็กทุกวัน ในเวลาเดียวกันคือก่อนอาหารเช้า
4.ติดตามผลการตรวจทางห้องทดลอง เช่น ผลอิเลคโตรไลท์
ฮีโมโกลบิน
การพยาบาล
ปัญหาที่2 เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
1.แยกเด็กป่วยด้วยโรคนี้ จะท้าให้ติดเชื้อโรคอื่นง่าย และเป็นได้รุนแรง
2.ท้าความสะอาดในช่องปากเพื่อลดการติดเชื้อ
3.ท้าความสะอาดผิวหนัง ในกรณีที่เด็กมีผิวหนังอักเสบ ควรฟอกผิวหนังด้วยสบู่ ที่มีด่าง หรือกรดอ่อนๆ ล้างน้ำให้สะอาดและซับให้แห้ง ทำความสะอาดแผลที่ผิวหนัง ด้วยน้ำเกลือ 0.9% เช้าและเย็น ของใช้ทุกชนิดเสื้อผ้าเด็กต้องท้าความสะอาด การพยาบาลต้องค้านึงถึง การปลอดเชื้อ
4.ให้มากที่สุด ในกรณีที่ผิวแห้งตึงควรใช้ครีมทาผิวหนังให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
5.ให้ความอบอุ่น แก่ร่างกายอยู่เสมอ เนื่องจากเด็กมีอุณหภูมิของร่างกายต่ำกว่าเด็กปกติตรวจวัดสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะติดเชื้อ
การพยาบาล
ปัญหาที่ 3 อาจเกิดภาวะอุจจาระร่วงได้ เนื่องจากมีความบกพร่องใน
การย่อยและการดูดซึม
1.ให้อาหารที่มีโปรตีนและแคลอรีสูง โดยให้ทีละน้อยและบ่อยครั้ง
2.ให้อาหารอ่อนที่ย่อยง่าย
3.บันทึก ชนิดและปริมาณของอาหารที่ได้รับ และจ้านวน ของปัสสาวะ
และอุจจาระที่ออก
การพยาบาล
ปัญหาที่ 4 ผู้ดูแลขาดความรู้ในการดูแล เด็กในเรื่องการเลี้ยงดูและอาหารที่เหมาะสม
1.ให้คำแนะนำเรื่อง อาหารเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็ก ให้ความรู้เรื่องโรคที่เด็กเป็นอยู่ การให้อาหารเสริม อาหารทดแทนที่มีคุณค่าและราคาถูก
2.ให้มารดามีส่วนร่วมในการดูและเด็ก รับฟังข้อเสนอแนะจากผู้ดูแลและให้กำลังใจ
3.แนะนำแหล่งช่วยเหลือ เพื่อการรักษาต่อ
: