Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
HBsAg positive , placenta previa , Hb E trait , Preterm BMI 16.98 kg/m2
…
HBsAg positive , placenta previa , Hb E trait , Preterm BMI 16.98 kg/m2
G2P1001 GA38+5 wk.
นศพต.ชญานิศ สีไสยา เลขที่ 14
-
-
ตรวจร่างกาย ตรวจครรภ์
ตรวจครรภ์ 15 มีนาคม 2564
พบ linea nigra เส้นสีดำ , stirae gravidarum สีเงิน
3/4 > umbilical , 38 cm. , ส่วนนำ Vx. , HE , FHS 140 bpm. ,
-
-
ข้อมูลส่วนบุคคล
ประวัติส่วนตัว
- ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 27 ปี
- ปฏิเสธประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว
- ปฏิเสธการแพ้อาหารและยา
- น้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์ 45 kg. ส่วนสูง 163 cm. BMI 16.98 kg/m2
ประวัติการตั้งครรภ์ในอดีต
ทารกเพศชาย น้ำหนัก 3,900 กรัม Full term คลอดแบบ Normal labor
วันที่ 21 มีนาคม 2563 ที่ประเทศกัมพูชา ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ปัจจุบันสุขภาพดี
ประวัติการตั้งครรภ์
G2P1001 GA38+5 wk. by u/s
LMP 1 พฤษภาคม 2563 * 3 วัน
EDC by date 5 กุมภาพันธ์ 2564 GA 15+4 wk.
U/S วันที่ 18 สิงหาคม 2563 GA 8+5 wk.
EDC by U/S 25 มีนาคม 2564
NOTIFY : Preterm BMI = 16.98 kg/m2 , HBsAg positive
HIGH RISK PREGNANGY : placenta low lying
ฝากครรภ์ครั้งแรก 15+4 Wk. by date ตรวจครรภ์ได้ 1/3 > Symphysis pubis จึง confirm GA by u/s ได้ GA 8+5 wk.
15 มีนาคม 2564
- มาตรวจครรภ์ตามนัด
- มีอาการเจ็บครรภ์
- มีน้ำใสๆไหลออกมาทางช่องคลอด
-
พยาธิสภาพ
Hepatitis B
ข้อมูลจากการตรวจเลือด
HBsAG การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
HBeAG ความสามารถในการแบ่งตัวของไวรัสตับอักเสบบี (Viral replication)
แบ่งได้เป็น 2 ชนิด
1.การติดเชื้อเฉียบพลัน (acute hepatitis B infection) หมายถึง
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในระยะแรก ถือที่การติดเชื้อไวรัสตับ
อักเสบบีเป็นระยะเวลาน้อยกว่า 6 เดือน จะมีอาการอ่อนเพลีย
เบื่ออาหาร ปวดเมื่อย ตามกล้ามเนื้อและข้อ ปวดศีรษะ คล้ายไข้หวัดใหญ่
มักไม่เป็นดีซ่าน จะพบน้ำดีในปัสสาวะเป็นอาการแสดงแรกของความผิดปกติของตับ
ทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม ตามด้วยอาการตัวเหลืองและตาเหลือง ขณะเดียวกัน alkaline
phosphatase , SGOT , SGPT จะเพิ่มขึ้น
- การติดเชื้อเรื้อรัง (chronic hepatitis B infection) หมายถึง การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็นระยะเวลามากกว่า 6 เดือน แบ่งได้เป็น
- พาหะ (carrier) ผู้ที่ตรวจเชื้อไวรัส HB s Ag โดยไม่มีอาการของโรคแต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคตับอักเสบในภายหลัง และมีแนวโน้มจะเป็นตับแข็งและมะเร็งตับ
- Chronic persistent hepatitis พบได้บ่อย เกิดตามหลังตับอักเสบแบบเฉียบพลัน โดยมีอาการดีซ่านมานานมากกว่า 2 เดือน ผู้ที่มีตับโตเล็กน้อย ระดับเอนไซม์ SGOT และ SGPT เพิ่มขึ้น
- Chronic active hepatitis จะพบเอนไซม์ตับสูงกว่าปกติอยู่นาน ตรวจพบ HBs Ag ในเลือดเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่เกิดจากเป็นดีซ่านมาเป็นเวลานาน
การวินิจฉัย
- สังเกตจากอาการแสดง
- ค่าการทำงานของตับ SGOT , SGPT และ bilirubin
- การตรวจหา Antigen , Anti body ต่อไวรัส เมื่อตรวจพบ HBs Ag , anti-HBs ,
antiHBc , HBeAg หรือ anti-HBe, วินิจฉัยตับอักเสบบี เมื่อตรวจพบ HBs Ag ในพลาสม่าและถ้าพบ HBe Ag ร่วมด้วยจะมีโอกาสแพร่ไปยังผู้อื่นรวมถึงทารกได้สูงกว่ารายที่พบ HBs Ag เพียงอย่างเดียว
การติดเชื้อไปยังทารกมีได้ดังนี้
- ผ่านทางรก อาจเกิดได้ขณะคลอดที่มีการรั่วของเลือดมารดา
ไปยังทารก พบเป็นส่วนน้อย
- ติดเชื้อขณะคลอด โดยทารกกลืนเลือดหรือสารคัดหลั่งใน
ช่องคลอดหรือเลือดมารดาที่มีเชื้ออยู่
- ติดเชื้อระยะหลังคลอด อาจผ่านทางน้ำนม หัวนม
หากหัวนมของมารดามีแผล หรือในปากของทารกมีแผล
การดูแล ทารกเมื่อคลอด
- ตรวจคัดกรองหญิงตั้งครรภ์ว่าเป็นพาหะเรื้อรัง มี HBs Ag หรือไม่
ถ้าเป็น ---> การป้องกันการเกิดเชื้อไปยังทารกด้วยการให้ Hepatitis B immunoglobulin
- ช่วยเหลือระยะคลอด มีรายงานพบว่าการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
กับการคลอดทางช่องคลอด อัตราการติดเชื้อไปยังทารกพอๆกัน แต่ผู้ทำคลอดจะต้องพยายามดูดเมือกและเลือดออกจากปากและจมูกทารกออกให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะคลอดด้วยวิธีใดเพื่อช่วยลดปริมาณเชื้อที่ทารกจะสัมผัสหรือกลืนเข้าไป
- เมื่อทารกคลอดออกมาต้องรีบทำความสะอาดทารกให้สะอาดที่สุด
ทันที เพื่อเลือดจากมารดาที่เป็นพาหะเรื้อรังถือว่าสามารถติดเชื้อได้
- ให้ภูมิคุ้มกันแก่ทารก
- ภายในระยะเวลา 12 ชั่วโมงหลังคลอด ให้Hepatitis B immunoglobulin (HBIG) + HB1
- 1เดือนฉีด HB2 ถ้า HBs Ag ให้ผลบวกแสดงว่าติดเชื้อแล้ว ไม่ต้องให้ครั้งที่ 3 แต่ถ้าผลเป็น ลบ
- อายุ 12-15 เดือนมาตรวจ HBsAg และ anti-HBs ถ้า HBsAg ให้ผลบวก แสดงว่าป้องกันไม่ได้ผล
ถ้า anti-HBs ให้ผลบวกแสดงว่าป้องกันได้ผล
-
ผลกระทบ
ต่อมารดา
สตรีที่เป็นพาหะ จะไม่มีอาการแสดงของตับอักเสบ จะไม่เสี่ยงภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขณะตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น
แต่ถ้าสตรีตั้งครรภ์ติดเชื้อ hepatitis B Virus ในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ จะเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด
ต่อทารก
ทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อย ทารกตายในครนภ์หรือเสียชีวิตแรกเกิด และทารกที่คลอดออกมามีโอกาสติดเชื้อได้
สตรีตั้งครรภ์ที่มีผล HBeAg เป็นบวกจะมีอัตราการถ่ายทอดเชื่อไวรัสจากสตรีตั้งครรภ์ไปสู่ทารกถึงร้อยละ 90 และสามารถพัฒนาเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับในอนาคต
ในสตรีตั้งครรภ์ที่มีผล HbeAg มีผลเป็นลบจะมีอัตราการถ่ายทอดเชื้อเพียงร้อยละ 10 ถึงร้อยละ 20 เท่านั้น
-
คำแนะนำ
15 มีนาคม 2564 GA 38+5 wk.คำแนะนำได้แก่
- งดมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดการตกเลือดก่อนคลอดได้
- ดูแลตนเองให้สะอาด เพื่อลดการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น
- สังเกตการดิ้นของทารกในครรภ์ หากทารกไม่ดิ้น หรือดิ้นน้อยกว่าปกติ ให้รีบมาพบแพทย์ทันที
- ให้มารดาสังเกตอาการเจ็บครรภ์จริง คือ การเจ็บจะเริ่มต้นเหมือนปวดหลังบริเวณบั้นเอว แล้วร้าวมาที่หลังหรือขาทั้ง 2 ข้าง รู้สึกเหมือนอยากเข้าห้องน้ำ บางครั้งจะมีมูกหรือเลือดปนออกมา อาการเจ็บครรภ์จะเพิ่มมากขึ้น รู้สึกหน้าท้องและมดลูกแข็งเป็นพักๆ และค่อยๆคลายตัวลง ความเจ็บจะเพิ่มขึ้นและนานขึ้นเรื่อยๆ สม่ำเสมอทุก 10 นาที ทุก 5 นาที
- มีอาการน้ำเดินคือมีน้ำไหลออกมาทางช่องคลอดเหมือนปัสสาวะแต่ไม่สามารถกลั้นได้ ปริมาณชุ่มผ้าอนามัย 2 ผืน
- สังเกตอาการตกเลือดก่อนคลอด เมื่อมีเลือดสดไหลออกมาทางช่องคลอด
หากมีอาการเจ็บครรภ์จริง มีน้ำเดิน หรือมีอาการตกเลือดก่อนคลอด ควรรีบมาพบแพทย์ทันที
คำแนะนำในไตรมาสที่ 1
- การรับประทานอาหาร แนะนำให้มารดารับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้น โปรตีน เนื้อนมไข่ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ผักใบเขียว และรับประทานอาหารที่มีโฟลิกสูง ซึ่งมีความจำเป็นกับทารกเพื่อใช้ในการสร้างอวัยวะต่างๆ และสร้างเซลล์สมอง
แคลเซียม จำเป็นในการพัฒนาการสร้างกระดูกและฟัน ซึ่งรับประทานได้จากนม และอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น กระดูกอ่อน ปลาเล็กปลาน้อย รวมถึงการรับประทานยาเม็ดแคลเซียม
- ดื่มน้ำวันละ 8-12 แก้ว/วัน
- อาหารที่ควรงดและหลีกเลี่ยงของคุณแม่ตั้งครรภ์ไตรมาสแรก คืออาหารที่ปรุงไม่สุก อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารที่มีส่วนผสมของผงชูรส อาหารรสจัด โดยเฉพาะหวานจัด อาหารไขมันสูง ทั้งนี้ยังควรงดการดื่มชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ด้วย
- ไม่ควรสูบบุหรี่ และใช้สารเสพติด
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 8-10 ชั่วโมง/วัน
- ออกกำลังกายได้เบาๆ ไม่ควรทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงเยอะ และรุนแรงต่อร่างกาย
อาการผิดปกติ
- คุณแม่ส่วนใหญ่มักคลื่นไส้ อาเจียน และรับประทานอาหารไม่ได้ ทารกในครรภ์ไม่ได้รับสารอาหารบำรุงสมองอย่างเพียงพอ คุณแม่เกิดภาวะขาดสมดุลของเกลือแร่และวิตามิน หากมีอาการแพ้ท้องมากควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เมื่อรับประทานอาหารได้น้อยควรแบ่งออกเป็นมื้อย่อย ทานมื้อละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
- เลือดออกทางช่องคลอด ภาวะเลือดออกทางช่องคลอดมีความเสี่ยงต่อชีวิตของทารกในครรภ์และคุณแม่อย่างมาก ถือเป็นอันตรายที่สามารถเกิดได้ทุกช่วงอายุครรภ์
- ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง แม้คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักพบอาการปวดท้องน้อยเป็นปกติ เนื่องจากกล้ามเนื้อมดลูกมีการขยายตัวเพื่อรองรับตัวอ่อนในครรภ์ แต่หากอาการปวดมากขึ้นจนผิดสังเกต หรือปวดติดต่อกันยาวนาน ควรรีบพบแพทย์
-
-
-
-
-