Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิดสังคมนิยมเพ้อฝัน (Utopia Socialism) - Coggle Diagram
แนวคิดสังคมนิยมเพ้อฝัน
(Utopia Socialism)
แนวคิดสังคมนิยม(Socialism)
กล่าวถึงเป็นครั้งแรกในช่วงกลางศตวรรษที่18จนถึงต้นศตวรรษที่19
เกิดขึ้นเนื่องจากความแตกต่างระหว่างชนชั้น
แบ่งออกเป็น 2 แนวคิด
แนวคิดสังคมนิยมเพ้อฝัน(Utopia Socialism)
พยายามจะสร้างสังคมในอุดมคติ เรียกว่า "ยูโทเปีย"
สังคมที่ทุกๆคนได้รับความเป็นธรรม
ช่วยเหลือกันมากขึ้น
คำนึกถึงผู้ยากไร้
รัฐเข้ามามีบทบามในสังคมมากขึ้น
ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐศาสตร์คำนึกถึงผลประโยชน์ส่วนรวม
ปราศจากการเอารัดเอาเปรียบ ขูดรีด
แนวคิดแบบมาร์กซ์(Marxism)
เป็นแนวคิดสังคมนิยมวิทยาศาสตร์
นักคิดที่สำคัญ
1.Jean Charles Leonard de Sismondi (1773-1842)
Sismomdi เห็นด้วยกับกลไกตลาดของAdam Smith
ให้ความเห็นว่าประเด็นที่สำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือเรื่องของ"กระกระจายผลตอบแทน"
กลไกตลาดจะทำให้เกิดปัญหาความเหลื่ือมล้ำในสังคม
การพิจารณาแต่ทรัพย์สินความมั่งคั่งโดยลืมนึกถึงมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่ถูต้อง
เสนอให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้ ไปพร้อมๆกับทฤษฎีการผลิต
จำเป็นต้องมี"การปฏิรูป"เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม
ต้องมีการกระจายรายได้
เสนอว่าต้องมี"ความยุติธรรมทางสังคม"
อธิบายกระบวนการเริ่มจาก
กระเเสของการหมุนเวียน
เริ่มจากรายได้ประชาชาติ
เกิดการใช้จ่ายประชาชาติ
กำหนดระดับของการบริโภคหรืออุปสงค์มวลรวม
เกิดการลงทุน
การผลิตสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น
ส่งผลย้อนกลับไปยังรายได้ประชาชาติ ทำให้รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้น
สิ่งสำคัญต้องมีรายได้ "รายได้"
เป็นตัวกำหนดอุปสงค์
รายได้ประชาชาติ
แบ่งให้กับ 2 กลุ่ม
แรงงาน
เมื่อได้ค่าจ้างก็จะนำไปใช้จ่ายเกิดการบริโภค
นายทุน
เมื่อได้กำไรก็นำเอาไปใช้เพื่อการลงทุน
ส้วนหนึ่งไปออม
เพื่อการลงทุน
ออมไว้เฉยๆ
วิเคราะห์สภาพความเป็นจริงในระบบเศรษฐกิจ
ระบบตลาดที่เสรีไม่มีความสมบูรณ์ของตลาด
ผู้ผลิตหรือนายทุนไม่มีข้อมูลสารสนเทศที่สมบูรณ์ในด้านตลาด
ผู้ผลิตไม่รู้ว่าผู้ผลิตรายอื่นๆจะผลิตเป็นจำนวนเท่าใด
ปริมาณผลผลิตในตลาดมีปริมาณที่มากจนเกินไป
ราคาสินค้าปรับตัวลดลง
ผู้ผลิตต้องทำให้กำไรสูงสุดด้วยการเสียต้นทุนน้อยที่สุด
ใช้วิธีกดค่าจ้าง
3 more items...
นโยบายเศรษฐกิจที่เสนอเพื่อปฏิรูปสังคม
ให้ความสำคัญกับการรักษากรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล(Private Property)
ต้องไม่สร้างความอยุติธรรมในสังคม
สร้างความยุติธรรมโดยรัฐต้องทำให้เกิดกระจายรายได้
ต้องมีSocial Protection
คนงานต้องมีวันหยุดแต่เงินเดือนปกติ
จำกัดชั่วโมงการทำงาน ฯลฯ
2.Robert Owen
(1771-1858)
บิดาแห่งขบวนการสหกรณ์
ไม่เห็นด้วยกับ"การปฏิรูป"
เสนอทางเลือกใหม่โดยการสร้าง"ระบบการผลิตใหม่"แทนระบบทุนนิยม
แนวคิดของ Owen อยู่บนฐานของนักสังคมนิยมที่มองว่า "วัตถุเป็นตัวกำหนดจิต" หรือ "สิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดความคิด/พฤติกรรม"
ต้องการเปลี่ยนโรงงานให้เป็น"Factory Model" สำหรับนายทุนทุกคน
1.ลดการทำงานเหลือ 10 ชั่วโมงต่อวัน
2.จัดการศึกษาเชิงบูรณาการทั้งในด้านความรู้และสร้างนิสัยที่ดีให้กับคนงาน
3.ยกเลิกการใช้แรงงานเด็กต่ำกว่า10ปี
4.จัดศูนย์รับเลี้ยงเด็กให้แก่คนงานหญิงในโรงงานและโรงเรียนเด็กเล็กให้แก่ลูกหลานของคนงานโดยไม่คิดค่าเรียน
การปรับปรุงนี้ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น แข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่นได้ยาก
ได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐสภาเกี่ยวกับการปฏิรูปโรงงาน
ผลักดันให้รัฐบาลอังกฤษออก"กฎหมายคุ้มครองแรงงาน"
แต่กฎหมายดังกล่าวจำกัดการใช้แรงงานเด็กเพียงเล็กน้อย
ห้ามจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี
ใช้บังคับเฉพาะโรงงานบางประเภทเท่านั้น
Owen ไม่เห็นด้วยกับกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลที่จะทำให้เกิการแข่งขัน
Owen เสนอทางออกโดยเสนอให้จัดตั้งชุมชนเล็กๆขึ้นเป็นหมู่บ้านสหกรณ์
ใช้หลักความร่วมมือ
มีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน
แรงงานไม่แข่งขันกัน ร่วมมือกันเป็น Worker's ownership
เป็นเจ้าของโรงงานได้ด้วยการเข้าไปถือหุ้น
ลักษณะหมู่บ้านสหกรณ์ตามแนวคิดของOwen
1.จำนวนสมาชิกในสหกรณ์แต่ละแห่งควรมีประมาณ 500-2000 คน
2.สมาชิกต้องสมัครใจมาร่วมเอง
3.แบ่งสรรผลประโยชน์ต้องกระจายไปให้ผู้ที่ทำหน้าที่ในสหกรณ์นั้นนอกเหนือจากการเป็นสมาชิก
เสนอยกเลิก"ระบบเงินตรา"
เสนอให้ใช้บัตรแรงงาน
ระบุชั่วโมงการทำงาน
ต้นทุน = จำนวนชั่วโมง
ราคา = ต้นทุน
นำบัตรไปใช้ที่สหกรณ์เพื่อทำการแลกเปลี่ยนเป็นสินค้า
บัตรแรงงานจะเป็นตัวบ่งบอกว่าจะได้สินค้าจำนวนเท่าใด
ปัญหาที่พบ
สมาชิกไม่ซื่อสัตย์
1 more item...
3.Charles Fourier
(1772-1837)
มีความตั้งใจเดียวกับRobert Owen
ปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของคนจนให้ดีขึ้น
แนวคิดที่สำคัญ
1.การรวมกลุ่มการผลิตและอยู่ร่วมกันในชนบท
ปรับสภาพเเวดล้อมคล้ายกับ Owen
Fourier เชื่อว่ามนุษย์มีอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
ปรับสภาพแวดล้อม แบบต้อง"กลับสู่ธรรมชาติ"
จัดสร้างนิคมหรือสมาคมชุมชนที่เรียกว่า"ฟาลังซ์"
อาณาเขตของนิคมเรียกว่า"ฟาลังสแตร์"
ตั้งอยู่ในที่สวยงามริมฝั่งแม่น้ำลำธาร ห้อมล้อมไปด้วยภูเขาและป่าไม้
ลักษณะเป็นหมู่บ้านหรือโรงงานสหกรณ์ทั้งด้านการผลิตและการบริโภค
มีสมาชิกอยู่ประมาณ1600-1800คน ทั้งชายและหญิง
รวมกลุ่มกันขนาดเล็กไม่ใหญ่มาก
แต่ละนิคมจะทำเกษตรและหัตถกรรมเป็นหลัก
เน้นความหลากหลายในการเพาะปลูก
มีโรงงานอุตสาหกรรมเท่าที่จำเป็น
สามารถใช้โรงอาหาร ไฟฟ้า และระบบทำความร้อนของส่วนกลาง
มีการรับเอางานบ้านไปทำเป็นการส่วนรวม
ภายในฟาลังสแตร์หนึ่ง จะพยายามผลิตและบริโภคทุกอย่างเองให้เพียงพอในตัวเอง
เน้นการผลิตภาคเกษตรกรรม
เน้นการใช้แรงงานเข้มข้น
ถ้าสินค้าขาดหรือเกินก็ไปแลกกับฟาลังสแตร์อื่นๆ
หญิงและชายมีสิทธิเท่าเทียมกัน
การบริหารงานนิคมยึดหลักประชาธิไตย
2.ไม่ยกเลิกกรรมสิทธื์ส่วนบุคคล
แต่ให้เป็นลักษณะเจ้าของทรัพย์สินร่วมกัน
สมาชิกในฟาลังสแตร์มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
มีเสรีภาพในการเลือกที่อยู่ตามกำลังรายได้
สมาชิกแต่ละคนจะถือหุ้นไม่เท่ากันได้
คนงานในฟาลังสแตร์จะทำตัวเป็นทั้งแรงงานและนายทุน
การแบ่งผลประโยชน์
หลักจากจัดสรรผลผลิตให้แก่สมาชิกทุกคน ส่วนเกินหรือรายได้จากการผลิตจะถูกแบ่งออกเป็น12ส่วน
ค่าจ้างหรือค่าตอบแทนผู้ที่ทำงาน 4 ส่วน
บริหารงาน 3 ส่วน
กำไรที่จัดสรรให้เป็นเงินปันผล 5 ส่วน
คนงานในฟาลังสแตร์จะได้ผลตอบแทนทั้งในฐานะแรงงานและนายทุน
แรงงานยังมีส่วนในการบริหารงานในฐานะเจ้าของกิจการด้วย
3.มีหลักประกันขั้นพื้นฐาน
การทำงานฟาลังสแตร์ สมาชิกจะมีหลักประกันขั้นพื้นฐาน