Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 1 แนวคิด ทฤษฎี และหลักการของการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น, นางสาวจารุวรรณ…
บทที่ 1 แนวคิด ทฤษฎี และหลักการของการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น
Death and Dying
แนวคิดเกี่ยวกับความตายในเด็ก
วัยก่อนเรียน
จะเริ่มรู้สึกถึงความเป็นไปของความตาย
เข้าใจว่าความตายเป็นสิ่งที่กลับไปกลับมาได้
เด็กมักกลัวคนจะตายมากกว่าคิดว่าตนเองตาย
วัยเรียน
คิดว่าความตายเป็นเรื่องของการแยกจาก
อายุ 9-12 ปี จะเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมเกี่ยวกับความตายมากขึ้น
จะมีความกลัวการสูญเสียตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก
วัยหัดเดิน
ยังมีความไม่เข้าใจเรื่องการตาย
เด็กจะพูดถึงคนที่ตายไปแล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เด็กจะโศกเศร้าเนื่องจากเห็นบุคคลใกล้ชิดแสดงอาการเศร้าโศก
วัยรุ่น
มีความเข้าใจเกี่ยวกับความตายได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
เด็กวัยรุ่นยังมองว่าความตายเป็นเรื่องที่ยังไกลตนเอง บางครั้งอาจปฏิเสธเรื่องความตาย
วัยทารก
จะยังไม่มีมโนทัศน์เกี่ยวกับความตาย
และยังไม่สามารถรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของการตาย
ความหมาย
ภาวะใกล้ตาย
หมายถึงภาวะที่บุคคลต้องเผชิญความตายของตนเองและบุคคลมีความเชื่อว่าตนเองกำลังจะตาย การเจ็บป่วยทรุดลงเป็นลำดับ จนมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ว่าอยู่ในระยะที่ต้องเผชิญกับความตาย ซึ่งอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีหรือสัปดาห์ที่บุคคลจะต้องเตรียมตัวเพื่อเผชิญกับความตาย
ความตาย
ความตาย (Death) หมายถึงการสิ้นสุดชีวิตอย่างถาวรเป็นการยุติสภาพการทำงานโดยสิ้นเชิงทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย
เป็นการดูแลผู้ป่วยระยะใกล้ตายไปจนกระทั่งตายและหลังการตาย โดยเน้นการดูแลเพื่อลดและบรรเทาความทุกข์ทรมานและอาการอื่นๆ ซึ่งต้องให้การดูแลที่ครอบคลุมปัญหาทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อความตาย
วัยทารก
ยังไม่มีความรู้สึกที่ชัดเจน อาจร้องไห้หาบุคคลใกล้ชิด
วัยหัดเดิน
อาจแสดงออกต่อการสูญเสียในรูปของปฏิกิริยาต่อการแยกจาก
วัยก่อนเรียน
อาจแสดงออกมาในรูปของ พฤติกรรมถดถอย รู้สึกผิดว่าตนเองทำให้บุคคลใกล้ชิดตาย
วัยเรียน
เด็กต้องการคำปลอบโยน อาจใช้เวลากลับเข้ามาสู่อารมณ์ปกติใน 1 ปี
เด็กผู้ชายมักเก็บความรู้สึกไว้
วัยรุ่น
เด็กจะแสดงอารมณ์โกรธต่อการสูญเสียและเสียใจ และอาจคิดถึงอนาคตว่าตนเองจะอยู่อย่างไร
เด็กมีความรู้สึกหลากหลาย สับสน รู้สึกผิด จะคล้ายๆกับผู้ใหญ่
การดูแลเด็กระยะสุดท้าย*
เป้าหมาย
เพื่อให้เด็กและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด
ช่วยให้เด็กสามารถผ่านวาระสุดท้ายของชีวิตอย่างสงบสุข
มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ โดยยึดถือตามความเชื่อทางศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อของผู้ป่วยและครอบครัว
การดูแล
ด้านร่างกาย
บรรเทาความทุกข์ทรมานในวาระสุดท้าย
จัดท่าให้ผู้ป่วยสุขสบาย ถ้าเด็กมีความทุกข์ทรมานจะส่งผลต่อด้านจิตใจ อารมณ์ สังคมและจิตวิญญาณ
การดูแลทั่วไป: ความสะอาดของร่างกาย ให้ได้รับสารนํ้าอย่างเพียงพอออกซิเจน ผิวหนัง ขับถ่าย การพักผ่อนนอนหลับ จัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาดสงบ
ควรจำกัดการเยี่ยม หรือตามความต้องการของเด็กและครอบครัว
ควรงดการส่งตรวจต่างๆ และวัดสัญญาณชีพเท่าที่จำเป็น
ด้านจิตใจ
ตอบสนองความต้องการของเด็กตามวัย
ให้ผู้ปกครองเฝ้าอย่างใกล้ชิด ยอมรับพฤติกรรมต่างๆของเด็ก การดูแลยึดหลัก ใส่ใจ สบาย สื่อสาร สม่ำเสมอ สดชื่น และสัมพันธภาพ
ช่วยให้ครอบครัวเผชิญความเครียด ความเศร้าโศกเสียใจ โดยให้ความสนใจ เอาใจใส่ ให้ข้อมูล ให้การปลอบโยน แนะนำแหล่งช่วยเหลือ เป็นผู้ฟังที่ดี
ด้านสังคม
ควรให้เด็กได้อยู่ในบรรยากาศที่อบอุ่นแวดล้อมด้วยคนใกล้ชิด
ผู้ปกครองควรได้รับสิทธิ์สามารถเข้าเยี่ยมหรืออยู่กับเด็กได้ตลอดเวลา
ทีมการดูแลรักษาควรเป็นทีมเดิม เพื่อให้เด็กรู้สึกคุ้นเคย
ด้านจิตวิญญาณ
พยาบาลควรประเมินและบันทึกสภาพจิตใจของเด็กเกี่ยวกับความตาย
เปิดโอกาสให้เด็กได้ซักถามเกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่
ให้การดูแลใกล้ชิด เพื่อให้เด็กมั่นใจว่าจะไม่ถูกทอดทิ้ง มีที่พึ่งยามต้องการ
ส่งเสริมอำนวยความสะดวก ตอบสนองต่อความต้องการด้านความเชื่อ ศาสนา
ตอบสนองความต้องการครั้งสุดท้ายของเด็กเท่าที่จะทำได้
Dying (การดูแลเด็กใกล้ตาย)
พยาบาลควรอธิบายครอบครัวเกี่ยวกับอาการทางด้านร่างกายที่ต้องเปลี่ยนไป ควรดูแลอย่างใกล้ชิด ทําความสะอาดร่างกาย หรือสิ่งคัดหลั่ง จัดสถานที่ให้สะอาด
ด้านอารมณ์ ให้ครอบครัวพูดคุยเกี่ยวกับความตายกับสมาชิกในครอบครัว กระตุ้นให้ทุกคนในครอบครัวพูดคุยกับเด็กด้วยท่าทีสงบ และอาจจดจำบุคคลในครอบครัวไม่ได้ ให้ครอบครัวได้พักผ่อนบ้าง
หลังความตาย ให้ครอบครัวมีเวลาอยู่กับเด็ก และให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการเตรียมร่างกายเด็ก (ถ้าต้องการ)
Pain in children
ความหมาย
ความเจ็บปวดเป็นความไม่สุขสบายทั้งด้านร่างกายและจิตใจที่ตัวผู้ปวดเท่านั้นที่จะรับรู้ระดับความเจ็บปวดที่แท้จริง
การแสดงความปวดในเด็ก
เด็กอายุ 2-4 ปี จะสามารถบอกความรู้สึกปวดของตนเองได้ โดยใช้คำแสดงอาการปวดของตนเองแบบง่ายๆ
วัย 1 เดือน – 1 ปี รับรู้ถึงตำแหน่งที่ถูกกระตุ้นได้จดจำได้เมื่ออายุ 6 เดือน อาจมีพฤติกรรมถดถอย ร้องไห้ ไม่เล่น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ
แรกเกิด 0-1 เดือน Facial expression การเคลื่อนไหวตัว การนอนหลับผิดปกติ
เด็กอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป จะสามารถบอกและแยกระดับความรุนแรงของความปวดได้ละเอียดมากขึ้น
การประเมินความปวดในเด็ก
Self-report คำบอกเล่าของผู้ป่วย อายุ > 3 ปี และ condition: ไม่เจ็บป่วยรุนแรง หรือมีปัญหาด้านสติปัญญาหรือการรับรู้
Behavioural indicators ดูจากพฤติกรรมทีแสดงออก เคลื่อนไหว สีหน้าท่าทาง การส่งเสียง
Physiological indicators การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เหงื่อออก ตัวเย็น HR R BP
เครื่องมือในการประเมินระดับความปวดในเด็ก
Neonatal Infant Pain Scale (NIPS)
เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 1 ปี
สามารถรวมคะแนนความปวดได้ตั้งแต่ 0-7 คะแนน
พิจารณาให้ยาแก้ปวดเมื่อคะแนน มากกว่าหรือเท่ากับ 4 คะแนน
The Children’s Hospital of Eastern Ontario PainScales (CHEOPS)
เด็กอายุ 1-6 ปี
สามารถรวมคะแนนความปวดได้ตั้งแต่ 4-13 คะแนน
พิจารณาให้ยาแก้ปวดเมื่อคะแนน มากกว่าหรือเท่ากับ 8 คะแนน
face, legs, activity, cry, consolability scale(FLACC scale)
เด็กอายุ 1-6 ปี และผู้ป่วยเด็กที่มีความผิดปกติของสมอง
สมอง สามารถรวมคะแนนความปวดได้ตั้งแต่ 0-10 คะแนน
self-report measures of pain
เด็กอายุ 3-4 ปี ขึ้นไปที่สามารถสื่อภาษาได้รู้เรื่องสามารถประเมินความรู้สึกของตนเองได้
ได้ เป็นเครื่องมือวัดระดับความเจ็บปวดที่มี ฃภาพวาดหรือภาพถ่ายเป็นสีหน้าของเด็ก ที่แสดงความเจ็บปวดมาก ปานกลาง น้อย หรือ ไม่ปวดเลย ในแนวราบ
Poker chip tool
เด็กอายุ 4 ปีขึ้นไป
ให้คะแนนเป็นระดับ 3-4 ระดับ ประกอบไปด้วยแผ่นวงกลม 4 แผ่น ให้เด็กเลือก ถ้าไม่เลือกเลยแปลว่าไม่ปวด ถ้าเลือก 1 แผ่นแปลว่าปวดน้อย เลือก 2 แผ่น แปลว่าปวดปานกลาง เลือก 3 แผ่น แปลว่าปวดมาก และเลือก 4แผ่นแปลว่าปวดมากที่สุด
Visual analog scales
เหมาะสำหรับเด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป
เป็นเครื่องมือวัดระดับความเจ็บปวด ที่เป็นตัวเลข เช่น 0 หมายถึง ไม่ปวด และ 10 หมายถึงปวดมากที่สุดจนทนไม่ได้
แนวทางการจัดการความปวดในเด็ก
ระดับความปวดเล็กน้อย
การจัดการโดยไม่ใช้ยา
จุกนมปลอม ดูดนม ห่อตัว อุ้มโยก การสัมผัส การนวด การกดจุด เปลี่ยนท่า จัดท่าให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ปวด ลดสิ่งเร้า แสง เสียง ลดหัตถการ รบกวนผู้ป่วยให้น้อยที่สุด พูดคุย ปลอบโยน ให้ข้อมูล อ่านหนังสือ ภาพ นิทาน การ์ตูน ท่องเที่ยว สวดมนต์
การจัดการด้วยยา
Acetaminophen: Tylenol, paracetamol,panadol NSAID: diclofenac, piroxicam
(feldene),indomethacin, Ibuprofen, aspirin
S/E: Hepatic Renal GI Hematologic
ระดับความปวดป่านกลาง
การจัดการโดยไม่ใช้ยา
การหายใจเข้าออก ลึก นาน ดนตรีบำบัด การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ Musce relaxation การประคบร้อน-เย็นการนวดผ่อนคลาย ใช้หลาย ๆวิธีประกอบ
การจัดการด้วยยา
Narcotic
S/E ง่วง หลับ หรือติดขาได้ เชน Codeine Tramadol
ระดับความปวดมาก/มากที่สุด
การจัดการโดยไม่ใช้ยา
การสะกดจิต การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ Deep breathing ทำสมาธิ Pet therapy
การจัดการด้วยยา
Narcotic bolus/drip, MO, Fentanyl
S/E: Respiratory, GI
การพยาบาลเพื่อจัดการความปวดในเด็ก
ให้ยา และบริหารยาเพื่อระงับปวด
ใช้Two-step strategy
ขั้นที่ 1 (1st step) : ปวดเล็กน้อย (mild pain) เด็กอายุน้อยกว่า 3 เดือน แนะนำให้ยาแก้ปวดเป็นพาราเซตามอล เพียงตัวเดียว ส่วนเด็กอายุมากกว่า 3 เดือน แนะนำให้ยาแก้ปวด เป็นพาราเซตามอล และ ibuprofen
ขั้นที่ 2 (2nd step) : ปวดปานกลางถึงปวดมาก (moderate to severe pain) แนะนำให้ใช้ยากลุ่ม strong opioid โดยมอร์ฟีนเป็นตัวเลือกหลัก (drug of choice)
ให้ยาแก้ปวดตามเวลา dosing at regular intervals (by the clock) แนะนำให้ยาแก้ปวดตามเวลาสม่ำเสมอ ดีกว่าให้ยาแก้ปวดเมื่อมีอาการปวดเกิดขึ้นแล้ว และแนะนำให้ยาแก้ปวดเสริม (rescue dose) เมื่อมีอาการปวดกำเริบขึ้นมา
จัดการกับความปวดโดยไม่ใช้ยา
ให้ข้อมูลผู้ป่วยและญาติ พยาธิสภาพเกี่ยวกับความปวด
การหาวิธีบรรเทา เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติคลายความกังวล
มีความมั่นใจต่อการรักษาความปวด เพื่อลดความกลัว
เบี่ยงเบนความสนใจจากการปวด โดยการเยี่ยงเบนการรับรู้ของสมอง เช่น การนับเลข ฟังเพลง ฟังนิทาน เล่นเกมส์
การเบี่ยงเบนความสนใจจากการปวด ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การนั่งสมาธิ Pet therapy
การเบี่ยงเบนความสนใจจากการปวดด้วยวิธีทางกายภาพ เช่น ประคบร้อน-เย็น การนวดผ่อนคลาย การจัดท่า การลูบ การสัมผัส จับมือ
น
างสาวจารุวรรณ บัวคลี่ เลขที่ 16 ห้อง 3A รหัสนักศึกษา 62106301017
อ้างอิง
เอกสารการเรียนบทที่ 1 แนวคิด ทฤษฎี และหลักการของการพยาบาลเด็ก
และวัยรุ่น. จันทนา โรเจอร์สัน.
ปิยศักดิ์วิทยบูรณานนท์ และหฤทัย โชติสุขรัตน. (2016). ความปวดในเด็ก.
วชิรเวชสารและวารสารเวชศาสตร์เขตเมือง. 60(2), 137-140. สืยค้น
file:///C:/Users/WIN%2010/Downloads/194502-Article%20
Text-583394-1-10-20190613.pdf.