Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สำนักคลาสสิก (Classic Economics Thought) - Coggle Diagram
สำนักคลาสสิก
(Classic Economics Thought)
ได้รับอิทธิพลค่อนข้างมากจากกลุ่มธรรมชาตินิยม
มีฐานแนวคิดในช่วงของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
นักเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิก
1.Adam Smith (1723-1790)
ชาวสก๊อตแลนด์
สนใจในปรัชญาด้านศีลธรรม
เน้นศึกษาประเด็นทางเศรษฐศาสตร์
ผลงานที่เป็นที่รู้จัก
An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nation
ได้รับอิทธิพลมาจาก
1.Bernard Mandeville
เขียนหนังสือ The Fable of the Bees
เกี่ยวกับผึ้งที่ทำงานหนัก เสียสละเพื่อส่วนใหญ่
Adam ไม่เห็นด้วย
1 more item...
2.David Hume
นักคิดในกลุ่ม(Anti)Mercantilism
เสนอว่ารัฐไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการค้า
ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด
3.กลุ่มแนวคิดPhysiocrats
(Franscois Quesnay , Anne-Robert-Jacques Turgot)
เน้นกลไกธรรมชาติ
ปล่อยให้กลไกการทำงานในระบบเศรษฐกิจเป็นไปอย่างเสรี
แรงงานได้ถูกนำมาใช้ร่วมกับที่ดิน
ก่อให้เกิดส่วนเกิดส่วนเกินหรือผลิตสุทธิ
แนวคิดที่สำคัญ
1.Self Interest , Public Interest and Invisible Hand
มนุษย์ทำกิจกรรมใดๆย่อมอยู่บนหลักของผลประโยชน์ส่วนตัว
จะทำให้มนุษย์อยู่บนพฤติกรรมทีมีเหตุมีผล
หากทุกคนทำตามความมีเหตุมีผลจะทำให้สังคมส่วนรวมดีไปด้วย
เกิดการผสมกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม
การที่ทุกคนได้รับอนุญาตให้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวมากที่สุดเท่าที่จะมากได้โดยไม่ละเมิดหลักความเป็นธรรม
เป็นผลมาจาก
การทำงานตามธรรมชาติของสังคม
มือที่มองไม่เห็น(Invisible Hand)
เป็นการคัดค้านการเข้ามาของรัฐ
2.Wealth of Nation
ความมั่งคั่งสำหรับ Adam
การผลิตสินค้าและบริการโดยทั่วไปในทุกๆภาคของเศรษฐกิจ
มาจากการใช้แรงงานร่วมกับทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตอื่นๆ
เงินเป็นแค่สื่อกลางการเเลกเปลี่ยน
3.Division of Labor
แบ่งงานตามความถนัด
ทำงานเร็วขึ้น
ประหยัดเวลาในการทำงาน
เกิดประสิทธิภาพในการผลิต
ผลผลิตมากขึ้น
เกิดการขยายตัวของตลาด
Adam สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ
ทำให้สามารถขายผลผลิตที่เพิ่มขึ้นได้มากขึ้น
สามารถซื้อสินค้าและวัตถุดิบจากต่างประเทศในราคาที่ถูกกว่า
หลักสำคัญ
ยังคงอยู่ในบนหลักของการแบ่งงานกันทำ
แต่ละประเทศควรเลือกผลิตสินค้าที่มีต้นทุนต่ำกว่าประเทศอื่น แล้วค่อยนำมาแลกเปลี่ยน
เรียกว่า ทฤษฎีความได้เปรียบสัมบูรณ์
4.Saving and Capital Accumulation
แลกเปลี่ยนสินค้าในตลาดที่ขยายใหญ่ขึ้น
รัฐไม่เข้ามาแทรกแซง
ทุกคนอยู่บนหลักของผลประโยชน์ส่วนตัว
เกิดการแข่งขันสมบูรณ์
เกิดการแลกเปลี่ยนที่เพิ่มมากขึ้น
นายทุนและแรงงานแต่ละคนมีรายได้เพิ่มขึ้น
ออมส่วนหนึ่ง
นำไปลงทุนเพิ่มความมั่งคั่ง
บุคคลที่่ทำให้เกิดการเติบโตได้มากที่สุด คือ นายทุน
5.Value and Price
มูลค่าใช้สอย (Use Value)
ขึ้นอยู่กับประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ของสิ่งนั้น
มูลค่าการแลกเปลี่ยน
(Exchange Value)
อำนาจซื้อของสิ่งนั้นว่าแลกเปลี่ยนกับสิ่งอื่นได้มากน้อยเพียงใด
Adam ให้ความสำคัญกับมูลค่าการเเลกเปลี่ยน
เป็นมูลค่าที่ใช้วัดระดับความมั่งคั่ง
ทฤษฎีมูลค่าแรงงาน
มูลค่าการแลกเปลี่ยนกำหนดโดยจำนวนแรงงานที่ใช้ผลิต
มีปัญหาเรื่องคุณภาพแรงงาน
Adam จึงใช้เงินเป็นเครื่องวัดมูลค่าของสิ่งของแทน
ถูกกำหนดโดยต้นทุนการผลิต
4 more items...
6.Role of State
รัฐต้องเข้ามาให้การศึกษา
จำกัดบทบาทของรัฐ
1.ป้องกันไม่ให้มีการผูกขาดและรักษาบรรยากาศการแข่งขัน
2.ป้องกันประเทศมิให้ถูกรุกรานจากภายนอก
3.รักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ
4.จัดหาสินค้าสาธารณะที่มีผลกระทบภายนอกอย่างกว้างขวาง
ต่อจาก Adam Smith จะเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับช่วงปลายศตวรรษที่18-ต้นศตวรรษที่19
เกิดการเปลี่ยนแปลงในอังกฤษค่อนข้างมากและรุนแรงกว่าช่วงของAdam
ปฏิวัติอุตสาหกรรม
เพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว
มีการประกาศใช้กฏหมาย Corn Laws
เก็บภาษีนำเข้าธัญพืช
ทำให้ราคาธัญพืชภายในประเทศราคาสูงขึ้น
เจ้าของที่ดินเก็บค่าเช่าได้สูงขึ้น
เกิดความขัดแย้งในระบบเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก
ระหว่างกลุ่มเจ้าของที่ดินและกลุ่มนายทุนอุตสาหกรรม
2.David Ricardo (1772-1823)
ให้ความสนใจกับการกระจายผลตอบแทน
แนวคิดที่สำคัญ
1.ทฤษฎีมูลค่าแรงงาน
สินค้าที่ผลิตซ้ำได้
สินค้าทั่วไปที่บริโภคในสังคน
มูลค่าในการแลกเปลี่ยนถูกกำหนดโดยปริมาณแรงงานอันจำเป็นในสังคม
ค่าตอบแทนแรงงานคือ มูลค่าแรงงาน
มูลค่าแรงงานคือ มูลค่าของผลผลิต
ในระยะยาว
มูลค่าในการแลกเปลี่ยนจะขึ้นอยู่กับมูลค่าผลผลิต
หรือขึ้นอยู่กับการปรับตัวของอุปทานกับความต้องการ
สินค้าที่ไม่สามารถผลิตซ้ำได้
สินค้าที่หาได้ยาก
มูลค่าสินค้าขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้อยากได้
เงินเป็นเพียงสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
กำไรที่เป็นผลตอบแทนของนายทุน
ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมูลค่าสินค้าร่วมกับค่าจ้างแรงงาน
2.การกระจายผลตอบแทน
ทฤษฎีค่าจ้าง
กำหนดโดยค่าจ้างตามธรรมชาติ
ค่าจ้างที่ต่ำที่สุดที่แรงงานพอยังชีพ
ในระยะยาว
ค่าจ้างตลาด(Market Wage) จะปรับตัวเข้าสู่ ค่าจ้างพอยังชีพ(Natural Wage)
หากราคาอาหารในระบบเศรษฐกิจแพงขึ้น
ค่าจ้างตามธรรมชาติหรือค่าจ้างพอยังชีพสูงก็จะตามไปด้วย
ทฤษฎีค่าเช่า
ค่าเช่าถูกกำหนดโดยมูลค่าสินค้า
ค่าเช่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆเมื่อมีการขยายการใช้ที่ดิน
การขยายการใช้ที่ดินไปยังที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์น้อยลงก็จะทำให้ใช้แรงงานเพิ่มขึ้นในการผลิตในที่ดินนั้น
เมื่อราคาสินค้าสูงขึ้นก็จะยิ่งทำให้ค่าจ้างที่พอยังชีพสูงขึ้น
นายทุนจ่ายค่าตอบแทนแรงงานมากขึ้น
1 more item...
เมื่อการขยายการผลิตทำให้กำไรของนายทุนลดลงจนเท่ากับ "ศูนย์"
ไม่เกิดการสะสมทุน
เกิดภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ
(Stagnation)
1 more item...
3.ทฤษฎีความได้เปรียบเสียเปรียบ
อธิบายว่าประเทศใดควรส่งออกสินค้าใดเพื่อแลกเปลี่ยน
ต้นทุนเปรียบเทียบ
ประเทศใดน้อยกว่าควรผลิตสิ่งนั้นส่งออก
การค้าระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นจึงเป็นการการแบ่งงานตามความชำนาญระหว่างประเทศ
3.Thomas Robert Maithus (1766-1834)
สนิทกับRicardo
แต่ความคิดไม่ค่อยตรงกัน
แนวคิดที่สำคัญ
1.แนวคิดเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของประชากร
ประชากรเพิ่มในอัตราเชิงเรขาคณิต
การควบคุมการเพิ่มขึ้นของประชากร
ควบคุมด้วยกลไกตามธรรมชาติ
เรียกว่า เครื่องยับยั้งเชิงสัจจะ
เข้าไปควบคุม
เรียกว่า เครื่องยับยั้งเชิงป้องกัน
ควบคุมจิตใจ
อาหารเพิ่มขึ้นในแบบเลขคณิต
การเพิ่มขึ้นของผลผลิตทางการเกษตรจะเป็นไปตามกฎการลดน้อยถอยลงของผลได้
ระยะยาวจะเกิดความอดอยาก
Malthus ไม่เห็นด้วยกับกรช่วยเหลือคนจน
ปัจจุบัน ทฤษฎีของ Malthus ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
2.ทฤษฎีค่าเช่า
ค่าเช่าเป็น มูลค่าส่วนเกินของสินค้า
มาจากความอุดมสมบูรณ์ของที่ดิน
ความขาดแคลนที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ทำให้ราคาผลผลิตทางเกษตรมีราคาสูงกว่าต้นทุนการผลิต
ค่าเช่าเป็นค่าตอบแทนของเจ้าของที่ดินที่ได้รับประโยชน์โดยไม่ต้องทำอะไรเลย
3.ทฤษฎีค่าจ้าง
กฏเหล็กของค่าจ้างเเรงงาน
กล่าวถึง อัตราค่าจ้างที่แท้จริง
จะไม่สูงขึ้นเลยระดับค่าจ้างพอยังชีพ
4.ทฤษฎีว่าด้วยอุปสงค์ที่มีประสิทธิผล
อุปสงค์ที่มีประสิทธิผลหรืออุปสงค์ที่เกิดขึ้นจริง
พิจารณาถึงสาเหตุของการขยายตัวของความมั่งคั่ง
แตกต่างจากแนวคิดของ Says
Malthus เห็นว่า Say's Law จะเป็นจริงเมื่อรายได้ถูกใช้ไปหมดเท่านั้น
ในบางกรณีมีคนที่ออมหรือเก็บเงินไว้โดยไม่ใช้จ่าย รวมถึงการใช้จ่ายที่ไม่ได้ก่อให้เกิดผลผลิต
เกิดสินค้าท่วมตลาด
การออมที่มากไปจนไม่ทำให้เกิดการลงทุน
2 more items...
การกระตุ้นอุปสงค์ที่มีผล
ควรเลือกสินค้าที่ตรงกับรสนิยมของผู้มีรายได้สูง
เพิ่มการจ้างงานในภาครัฐให้มากขึ้น
ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิก Corn Laws
4.Jean-Baptiste Say (1767-1832)
เงินคือสื่อกลางในการเเลกเปลี่ยน
เงินจะถูกนำไปออมเพื่อการลงทุน
ในระยะยาว
จะไม่มีวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้นเพราะระบบตลาดจะเกิดการปรับตัวของการผลิต
Say's Law
อุปทานมวลรวมเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าเท่าใด
อุปสงค์มวลรวมจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น
อุปทานก่อให้เกิดอุปสงค์ในตัวเอง
เป็นผู้แบ่งทรัพยากรการผลิตออกเป็น4ประเภท
ที่ดิน
แรงงาน
ทุน
การประกอบการ
5.John Stuart Mill (1806-1873)
ให้ความสนใจกับความยุติธรรมในสังคม
ได้แยกทฤษฎีผลตอบแทนออกจากทฤษฎีการผลิต
เสนอว่าต้องมีการปรับปรุงการกระจายความมั่งคั่งให้เท่าเทียมกันมากขึ้น
ใช้ระบบภาษีที่ดิน ภาษีมรดก รวมทั้งการปฏิรูปที่ดิน
เป็นคนแรกที่กล่าวถึงอุปสงค์และอุปทานในรูปของตารางหรือความสัมพันธ์
ในระยะสั้นปริมาณจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในราคา
ยอมรับบทบาทของ อุปสงค์-อุปทาน ในการกำหนดมูลค่าหรือราคาของสินค้า
บริบททางสังคม
พัฒนาขึ้นในช่วงศตวรรษที่18-19
การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่18 โดยเฉพาะในอังกฤษและฝรั่งเศส
ประเทศอังกฤษเป็นประเทศแรกที่เข้าสู่ทุนนิยม
สังคมเกษตร -> สังคมอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมที่รุ่งเรืองมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมผ้าฝ้าย
มีปรากฎการณ์การเพิ่มขึ้นของประชากร
แรงงานเพิ่มขึ้น
ประกอบกับแรงงานที่ถูกผลักออกมาจากชนบท
ระบบโรงงานส่วนใหญ่ยังมีขนาดเล็ก
ไม่มีกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
แรงงานได้รับค่าจ้างต่ำเพียงแค่พอยังชีพ
เด็กเล็กและผู้หญิงต้องออกมาทำงานตามโรงงานต่างๆเพื่อหารายได้เพิ่ม
ทำงาน15-17ช.ม/วัน
นักเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิกแบ่งชนชั้นที่เกิดขึ้นเป็น3ชนชั้น
1.ชนชั้นนายทุน
ผู้ที่ลงทุนแล้วได้กำไรตอบแทน
ชนชั้นที่ก่อให้เกิดผลผลิต
2.ชนชั้นแรงงาน
ได้ค่าจ้างเป็นค่าตอบแทน
ชนชั้นที่ก่อให้เกิดผลผลิต
3.ชนชั้นขุนนาง
ผูกขาดที่ดิน
ได้ค่าเช่า
ไม่ก่อให้เกิดผลผลิต