Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
รายงานการวางแผนการพยาบาล ผู้สูงอายุในศูนย์บ้านบางละมุง,…
รายงานการวางแผนการพยาบาล ผู้สูงอายุในศูนย์บ้านบางละมุง
ข้อมูลส่วนบุคคล
ชื่อผู้สูงอายุ ชายไทย อายุ 70 ปี เพศ ชาย สัญชาติ ไทย เชื้อชาติ ไทย ศาสนา พุทธ สภานภาพสมรส หม้าย ระดับการศึกษา ประถมศึกษาปีที่ 2 อาชีพ ขายก๋วยเตี๋ยว รายได้ 8,000 บาท/เดือน ภูมิลำเนาเดิม กรุงเทพมหานคร ที่อยู่ปัจจุบัน กรุงเทพมหานคร
ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสุขภาพผู้สูงอายุ
โรคประจำตัวและการรักษา
กระดูกกดทับเส้นประสาท ยังไม่ได้ทำการรักษา
ความดันโลหิตสูง 140/90mmHg ระยะเวลา 5-6 ปี รับการรักษาที่โรงพยาบาลบางละมุง
เบาหวาน ระยะเวลา 5-6 ปี รับการรักษาที่โรงพยาบาลบางละมุง
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
เคยประสบอุบัติเหตุหกล้มในห้องน้ำเมื่อ15 ปีก่อน กระดูก ต้นแขนข้างซ้ายหัก มีการผ่าตัดเข้าเฝือกเป็นเวลา 7 เดือน, เคยผ่าตัดข้อมือเมื่อ 15 ปีก่อน ได้ใส่เผือกนานเป็นปีทำให้กล้ามเนื้อแขนซ้ายลีบ ที่ข้อมือซ้ายขยับได้เล็กน้อย
ข้อมูลเกี่ยวกับแบบแผนสุขภาพ
แบบแผนการรับรู้เกี่ยวกับสุขภาพและการดูแลสุขภาพ
ภาวะรับรู้สุขภาพในปัจจุบัน ผู้สูงอายุมีความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกายที่เริ่มเสื่อมไปตามอายุ ถ้าอายุมากขึ้นก็จะส่งผลทำให้ร่างกายแข็งแรงน้อยลง ทั้งยังพฤติกรรมการใช้ชีวิตในอดีตก็มีผลส่งถึงปัจจุบัน ผู้สูงอายุบอกว่า เมื่ออายุมากขึ้นจึงต้องดูแลสุขภาพของตัวเองให้มากขึ้นทั้งเรื่องการทานอาหาร การออกกำลังกาย
การดูแลเมื่อเจ็บป่วย เมื่อมีอาการเจ็บ ป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ผู้สูงอายุจะเดินไปที่ตึกพยาบาล เพื่อไปปรึกษากับคุณหมอและขอรับยามาทานเองแต่ถ้าเจ็บป่วยมาก ก็จะบอกพี่เลี้ยงให้พาไปโรงพยาบาล
พฤติกรรมเสี่ยง ผู้สูงอายุเคยสูบบุหรี่มา 20 ปีก่อน เมื่อก่อนสูบวันละ 1ซอง ทุกวัน ปัจจุบันเลิกบุหรี่มาได้ 3 ปี / ไม่เคยดื่มเหล้า
ประวัติการแพ้ ปฏิเสธการแพ้ยาแพ้อาหาร
สรุปปัญหาที่พบ
ไม่พบปัญหาเกี่ยวกับแบบแผนที่ 1 การรับรู้เกี่ยวกับสุขภาพและการดูแลสุขภาพ
แบบแผนอาหารและการเผาผลาญอาหาร
พฤติกรรมการรับประทานอาหาร ผู้สูงอายุรับประทานอาหารครบ 3 มื้อ เวลาในการรับประทานอาหาร ดังนี้ มื้อเช้า 7.00น. มื้อกลางวัน 11.30น. และมื้อเย็น 16.00น. ในแต่ละมื้อรับประทาน 1 ถาดหลุม ใน 1 หลุม ข้าว 1 ทัพพี ผู้สูงอายุท่านนี้ ชอบรับประทานข้าวต้มกุ๊ยกับอาการอ่อนๆ ชอบรสชาติ เค็ม มากกว่าอาหารที่รสจัด จะรับประทานอาหารอ่อนและเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน ถ้าเกิดหิวจะดื่มนมถั่วเหลือง ชอบดื่มน้ำหวาน และชานม สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ดื่มน้ำอัดลมในวันที่ไม่ได้ดื่มน้ำหวานและชานม สัปดาห์ละ 3-4 ครั้งผู้สูงอายุมีค่า BMI = 23.05 แปลผล ท้วมระดับที่ 1 กิจกรรมหลังรับประทานอาหาร นั่งเล่น เดินเล่น ใส่ฟันปลอมด้านบน ไม่มีสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับการกลืน
การดื่มน้ำ ดื่มน้ำเย็น วันละ 700-1000 มิลลิลิตร ดื่มน้ำก่อนนอน เวลา 20.00น. 2แก้ว เข้านอน 20.30น.
การตรวจร่างกายระบบทางเดินอาหาร
ไม่พบแผลในปาก - ลักษณะท้องสีผิวสม่ำเสมอ การเคลื่อนไหวสัมพันธ์กับการหายใจ - ฟังเสียงการเคลื่อนไหวของลำไส้ Browel Sound = 7 ครั้ง/นาที - คลำตับ ตับไม่โต - ไม่กดเจ็บ ไม่พบก้อน
สรุปปัญหาที่พบ
ชอบรสชาติ เค็ม ชอบดื่มน้ำหวาน และชานม สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ดื่มน้ำอัดลมในวันที่ไม่ได้ดื่มน้ำหวานและชานม สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ดื่มน้ำก่อนนอน เวลา 20.00น. 2แก้ว เข้านอน 20.30น.
แบบแผนการพักผ่อนและการนอนหลับ
การนอนหลับ ผู้สูงอายุจะนอนหลับเฉลี่ยวันละ 5-7 ชั่วโมง นอนตอนไหน 20.30น. ตื่นตอนไหน 04.00มาปัสสาวะ จากนั้นไม่หลับ ลุกจากที่นอน 05.00น. ใช้เวลาในการนอนหลับ 30 -1 ชั่วโมง
ปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ มีปัญหาการนอนหลับไม่สนิท มักตื่นขึ้นมาบ่อยครั้ง บางครั้งก็ลุกขึ้นไปปัสสาวะกลางคืนทำให้รบกวนการนอนหลับ
การปฏิบัติตนเพื่อผ่อนคลายและส่งเสริมการนอนหลับ ผู้สูงอายุบอกว่า ตนเองมีปัญหาในการนอนหลับพยายาม ดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุไปเรื่อย ๆ ให้หลับไปอง ก็พอจะช่วยได้บ้าง
แบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ (PSQI) 8 คะแนน แปลผล คุณภาพการนอนหลับไม่ดี
สรุปปัญหาที่พบ
พักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ เนื่องจากต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืน แบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ (PSQI) 8 คะแนน แปลผล คุณภาพการนอนหลับไม่ดี
แบบแผนสติปัญญาและการรับรู้
การได้ยิน ผู้สูงอายุได้ยินชัดเจนขณะพูดคุยกัน
การมองเห็น มีปัญหาสายตาสั้น มองไกลไม่ชัดเจน
การรับสัมผัส/ความสุขสบาย มีการรับความรู้สึกที่อวัยวะส่วนปลายผิดปกติ ที่แขนข้างช้ายเนื่องจากผู้สูงอายุมีปัญหาเรื่องเส้นประสาทถูกกดทับ ทำให้เวลาอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ แล้วลุกขึ้นเคลื่อนไหวจะรู้สึกชา กำลังซ้ายได้ 4+ ข้อมือไม่สามารถขยับได้อย่างอิสระ ทำได้แค่ท่า flextion การรับความรู้สึกที่ส่วนปลาย
ความผิดปกติที่แขนข้างข้ายซึ่งจะชา ทำให้ส่งผลต่อความสุขสบายของผู้สูงอายุอยู่เล็กน้อย
ความจำ ผู้สูงอายุบอกว่า ชอบลืมง่าย
แบบวัดภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุไทย ผลการประเมิน 2 คะแนน แปลผล ปกติไม่มีภสาวะซึมเศร้า
ประเมินสภาพสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย (MMSE -Thai 2002) ผลการประเมิน 17 คะแนน แปลผล มีอาการแสดงที่บ่งบอกว่าเกิดภาวะสมองเสื่อม
สรุปปัญหาที่พบ
1 more item...
แบบแผนการรับรู้ตนเองและอัตมโนทัศน์
ความรู้สึกต่อตนเอง ผู้สูงอายุบอกว่าถ้าอยากมีชีวิตอยู่ไปนาน ๆ ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อนตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขดี ไม่ใด้เป็นภาระให้กับใคร บางครั้งยังช่วยผู้อื่นได้อีกด้วย
ความรู้สึกผิดปกติของตนเองที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วย ผู้สูงอายุมีการรับรู้ถึงศักยภาพในการใช้ชีวิดของตนเองที่เปลี่ยนไป หลังจากได้รับอุบัติเหตุที่ข้อมือทำให้ไม่สามารถใช้งานมือได้อย่างปกติอีก ผู้สูงอายุต้องเลิกทำงานและยู่บ้านคนเดียว สามารถหาอาทารมารับประทานเองได้ แต่ก็ลำบากเวลาออกไปซื้อของข้างนอก เลยตัดสินใจมายู่ที่บ้านบางละมุง พราะไม่อยากให้ลูกต้องคอยมากังวล เรื่องสุขภาพผู้สูงอายุ ทราบวาสว่าตนเองมีปัญหาเกี่ยวกับการนั่งนานๆ หรือนอนตะแคงนานๆ ถ้าลุกขึ้นเดินจะชา บางครั้งถ้าบิดคอแรง ๆ ก็จะรู้สึกจี๊ดที่ดันคอ จนถึงศีรษะ แต่อาการอย่างอื่นเป็นปกติดีทุกอย่าง ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร
การเผชิญปัญหาและแก้ไขปัญหา หากผู้สูงอายุรู้สึกไม่สบายหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง มักจะเดินไปฟาสบินเพื่อขอคำปรึกษากับพยาบาลประจำ
สรุปปัญหาที่พบ
ไม่พบปัญหาเกี่ยวกับแบบแผนที่ 7 การรับรู้ตนเองและอัตมโนทัศน์
แบบแผนบทบาทและสัมพันธภาพ
สัมพันธภาพกับผู้อื่น ผู้สูงอายุมีการพูดคุยกับผู้สูงอายุรายอื่นบ้าง แต่ไม่สนิทกัน ส่วนมากจะเดินไปคุยกับผู้สูงอายุกลุ่มอื่นที่สนิทกันมากกว่า ให้ข้อมูลว่า ตนจะคุยฉพาะกับผู้สูงอายุที่พอคุยกันได้ ไม่ขอบยุ่งกับผู้สูงอายุที่นิสัยก้าวร้าว สกปรก แต่ผู้สูงอายุจะมีนิสัยชอบช่วยเหลือผู้อื่นในสิ่งที่ตัวเองพอจะช่วยได้บ้าง
สรุปปัญหาที่พบ
ไม่พบปัญหาเกี่ยวกับแบบแผนที่ 8 บทบาทและสัมพันธภาพ
แบบแผนเพศสัมพันธุ์
การมีเพศสัมพันธุ์ ผู้สูงอายุให้ข้อมูลว่า ภรรยาเสียไปตั้งแต่ 10 ปีก่อน หลังจากนั้นมาก็ไม่ใด้มีความสัมพันธ์กับใครอีกเลยผู้สูงอายุบอกว่า อายุมากขนาดนี้แล้ว ไม่สนใจเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เหมือนอย่างวัยรุ่น
ปัญหาเกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์ เวลาปัสสาวะรู้สึกว่า มันไม่ค่อยพุ่ง ต้องออกแรงเบ่งนะถึงจะออก เป็นมาประมาณ 1 ปีแล้ว
การตรวจร่างกายระบบเพศสืบพันธุ์
ไม่สามารถตรวจร่างกายระบบเพศสืบพันธุ์ได้
สรุปปัญหาที่พบ
เวลาปัสสาวะรู้สึกว่า มันไม่ค่อยพุ่ง ต้องออกแรงเบ่งนะถึงจะออก
แบบแผนการปรับตัวและการเผชิญกับความเครียด
ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียด ช่วงแรกที่มาอยู่ศูนย์บ้านบางละมุงผู้สูงอายุยังปรับตัวไม่ค่อยได้ แต่คอนนี้สามารถปรับตัวให้อยู่ใด้อย่างมีความสุข ผู้สูงอายุจะมีความเครียดเมื่อลูกโทรมาปรึกษาเวลาทะเลาะกัน
วิธีเผชิญและแก้ไขความเครียด เมื่อเกิดความเครียด ผู้สูงอายมักจะทำบุญตักบาตรเพื่อให้จิตใจสงบ
บุคคลที่คอยให้ความช่วยเหลือ บางครั้งก็จะไทรไปปรึกษาเพื่อน ๆ คนอื่น โทรหาลูกสาว แต่ถ้าอยู่ในสถานการณ์เร่งด่วนจะโทรหาพี่เลี้ยง
แบบประเมินความเครียดกรมสุขภาพจิต (ST-๕) ผลการประเมิน 0 คะแนน แปลผล เครียดน้อยหรือไม่มีภาวะเครียด
สรุปปัญหาที่พบ
ไม่พบปัญหาเกี่ยวกับแบบแผนที่ 10 การปรับตัวและการเผชิญกับความเครียด
แบบแผนค่านิยมและความเชื่อ
ผู้อายุจะสวดมนต์ทุกวันพระ เป็นการร่วมกิจกรรมกับทางศูนย์ ผู้สูงอายุจะเชื่อว่าการที่ร่างกายจะ
หรืออ่อนแอนั้น ขึ้นอยู่กับการดูแลร่างกายของตัวเอง ไม่มีไครจะดูแลร่างกายของเราได้ดีเท่ากับตัวเอง ถ้าอยากมีชีวิตอยู่นาน ๆ ก็ต้องดูแถรักษาร่างกาย อย่าให้เจ็บปวด
สรุปปัญหาที่พบ
ไม่พบปัญหาเกี่ยวกับแบบแผนที่ 11. ค่านิยมและความเชื่อ
แบบแผนกิจกรรมและการออกกำลังกาย
ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันขั้นพื้นฐาน ผู้สูงอายุมีภาวะเส้นประสาทถูกกดทับที่ไขสันหลัง ทำให้เวลาอยู่ผู้สูงอายุอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ จะชาบริเวณขา ไม่สามารถนอนตะแคงได้นานๆ ในบางครั้งถ้าบิดคอเร็ว ๆ จะรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ต้นคอไปถึงศีรษะ กล้ามเนื้อแขนข้ายลีบแต่ยังสามารถยกขึ้นลงได้อยู่ ข้อมือข้างช้ายเป็นอัมพฤษ์ เคลื่อนไหวได้เล็กน้อย มีความรู้สึกแค่การชา แต่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ผู้สูงอายุสามารถทำเองได้ตามปกติ
พฤติกรรมการออกกำลังกาย ไม่ได้ออกกำลังกาย
การตรวจ่างกายระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และหลอดเลือด
ระบบทางเดินหายใจหายใจ -อัตราการหายใจ 18 ครั้ง/นาที สม่ำเสมอ -การเคลื่อนไหวทรวงอกสม่ำเสมอ -การสั่นสะเทือนของปอด (tactile fermitus) เท่ากันทั้ง 2 ข้าง
ระบบหัวใจหลอดเลือด -อัตราการเต้นของหัวใจ 80 ครั้ง/นาที เร็วแรงสม่ำเสมอ ไม่พบภาวะหัวใจโต -ความดันโลหิต 140/90 mmHg -ไม่พบหลอดเลือดโปร่งพองบริเวณคอ
การตรวจร่างกายระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
-ความสมมาตรของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อแขนซ้ายลีบ -การเคลื่อนไหว เคล่อไหวได้ แต่แขนซ้ายเคลื่อนไหวได้ไม่มาก
1 more item...
แบบแผนการขับถ่าย
การขับถ่ายอุจจาจะ ผู้สูงอายุ ถ่ายวันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้า บางวันขับถ่าย 2 ครั้ง ลักษณะอุจจาระ ปกติ มีริดสีดวงที่ทวารหนักแต่ไม่มีการอักเสบเพราะกินยาเป็นประจำ สามารถกลั้นอุจจาระได้
การขับถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะวันละ 6-7 ครั้ง/วัน โดย ช่วงกลางวัน 1-2 ครั้ง ช่วงกลางคืน 4-5 ครั้ง สีเหลืองอ่อน ไม่ทราบปริมาณ ต้องเบ่งปัสสาวะ ปัสสาวะสดุด ไม่มีอาการปัสสาวะเล็ด หรือภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
สรุปปัญหาที่พบ
ปัสสาวะกลางคืน 4-5 ครั้ง ส่งผลถึงการนอนหลับไม่มีประสิทธิภาพ ต้องเบ่งปัสสาวะ ปัสสาวะสดุด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1.การนอนหลับไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากปัสสาวะมากตอนกลางคืน
วิเคราะห์
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
สรีรวิทยาของการนอนหลับในผู้สูงอายุ การนอนหลับถูกควบคุมด้วยสมดุลการนอนหลับควบคุมโคยระบบประสาทส่วนกลาง คือ เส้นประสาทส่วนที่ควบคุมการนอนหลับ (ventrolateral preoptic) และ ด้านข้างของไฮโพทาลามัส (lateral hypothalamic) เมื่อแสงสว่างลดลงหรือหายไปจากจอรับภาพของตา (ratina) เส้นประสาท ส่วนที่ควบคุมการนอนหลับ และสมองส่วนไฮโพทาลามัสจะสั่งการให้ต่อมไพเนียล (pineal gland) หลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน (melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญในการนอนหลับ (ศศิธร, 2562) การเปลี่ยนแปลงตามวัยต่อการนอนหลับ ระบบทางเดินปัสสาวะ ผู้สูงอายุมีกระเพาะปัสสาวะเล็ก เนื่องจาก elastin tissue แทนที่ด้วย fibrous tissue ความจุของกระเพาะปัสสาวะลดลง เหลือ 150 - 300 มล. จากปกติประมาณ600 มล. ทำให้ผู้สูงอายุปวดถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น ร่วมกับกล้ามเนื้อหูรูคกระเพาะปัสสาวะหย่อนตัว กล้ามเนื้อภายในอุ้งเชิงกรานหย่อนตัวมากขึ้น มีผลทำให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ทำให้ต้องตื่นมา ปัสสาวะบ่อย ก่อให้เกิดความไม่สุขสบายขณะนอนหลับ(ศศิธร, 2562) ทฤษฎีความเสื่อมโทรม (Wear and Tear Theory) ทฤษฎีความเสื่อมโทรม อธิบายว่าการบาคเจ็บหรือความผิดพลาดของเซลล์ที่เกิดขึ้น ตลอดเวลาเกิดจากการใช้งานของอวัยวะที่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน (วารี, 2562) ผู้สูงอายุบอกว่า“ช่วงกลางคืนปัสสาวะ 4-5 ครั้ง ดื่มน้ำก่อนนอน 2 แก้ว” “มีปัญหาการนอนหลับไม่สนิท มักตื่นขึ้นมาบ่อยครั้ง บางครั้งก็ลุกขึ้นไปปัสสาวะกลางคืนทำให้รบกวนการนอนหลับ” มีประวัติเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ปัสสาวะบ่อย แบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ (PSQI) 8 คะแนน แปลผล คุณภาพการนอนหลับไม่ดี ส่งผลให้เกิดการผักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ เพราะร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง และมีปัสสาวะเพิ่มขึ้นตอนกลางคืน ทำให้มีปัญหานี้
1.ประเมินและสอบถามถึงคุณภาพการนอนหลับของผู้สูงอายุ
2.สอบถามสาเหตุเกี่ยวกับการนอนไม่หลับ และวิธีปฏิบัติตน เพื่อทำให้นอนหลับ เพื่อเข้าใจถึงสาเหตุ และนำมาวางแผนในการดูแลที่เหมาะสม
3.ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตามวัยในผู้สูงอายุด้านการนอนหลับ
4.อธิบายให้ผู้สูงอายุทราบเกี่ยวกับผลเสียของการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
4.1ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันลดลง เนื่องจากการอดนอนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานหนัก (ศศิธร, 2562)
4.2 ทำให้ความทรงจำลดลง เนื่องจากส่งผลให้ระบบจัดเก็บความทรงจำระบบประสาทมีประสิทธิภาพลดล งเพราะฮิปโปแคมปัสจะทำหน้าที่โอนข้อมูลที่เรียนรู้ในระหว่างวันเข้าสู่ความจำระยะยาว ซึ่งจะทำงานตอนหลับเท่านั้น (ศศิธร, 2562)
1 more item...
S: ผู้สูงอายุบอกว่า “ช่วงกลางคืนปัสสาวะ 4-5 ครั้ง ดื่มน้ำก่อนนอน 2 แก้ว”
S: ผู้สูงอายุบอกว่า “มีปัญหาการนอนหลับไม่สนิท มักตื่นขึ้นมาบ่อยครั้ง บางครั้งก็ลุกขึ้นไปปัสสาวะกลางคืนทำให้รบกวนการนอนหลับ”
O: โรคประจำตัว เบาหวาน 130 mg/dlระยะเวลา 5-6 ปี
O: แบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ (PSQI) 8 คะแนน แปลผล คุณภาพการนอนหลับไม่ดี
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
1.เพื่อให้ผู้สูงอายุมีการพักผ่อนนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ
2.เพื่อให้ผู้สูงอายุตื่นกลางดึกเพื่อปัสสาวะลดลง
เกณฑ์การประเมิน 1.ไม่มีอาการแสดงของการนอนไม่หลับ เช่น หาวตลอดเวลา ขอบตาดำ งีบหลับกลางวันบ่อยครั้ง ไม่สดชื่นขณะตื่นนอน เป็นต้น 2.ระยะเวลาในการนอน 6-8 ชั่วโมง/วัน
3.นอนกลางวันไม่เกิน 6 ชั่วโมง
4.แบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ PSQI ≤5 คุณภาพการนอนหลับดี 5.ตื่นกลางดึกเพื่อปัสสาวะลดลง
6.สีหน้าสดชื่นขึ้น
2.มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนของภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเนื่องจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่เหมาะสม
S: ผู้สูงอายุบอกว่า “รู้สึกชาบริเวณขา เวลาที่นั่งนาน ๆ”
S: ผู้สูงอายุบอกว่า “ชอบดื่มน้ำหวาน และชานม สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง”
S: ผู้สูงอายุบอกว่า “ดื่มน้ำอัดลมในวันที่ไม่ได้ดื่มน้ำหวานและชานม สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง”
O: dtx 130 mg/dl
เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 diabetes) เกิดจากภาวะการดื้อต่ออินซูลิน (Insulin resistance) พบมากในผู้สูงอายุ และผู้ที่มีน้ำหนักมากกว่าปกติ (กระทรวงสาธารณสุข, 2554) การดำเนินของโรคจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ตับอ่อนของผู้ป่วยอาจจะสามารถผลิตอินซูลินได้ ตามปกติ หรือมากกว่าหรือน้อยกว่าปกติก็ได้ โดยอินซูลินที่มีอยู่ในร่างกายออกฤทธิ์ได้ไม่ดี ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างการตอบสนองต่ออินซูลินของ เนื้อเยื่อและการหลั่งอินซูลิน (นัยนา, 2562) การเปลี่ยนแปลงตามวัยในผู้สูงอายุที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน ในวัยสูงอายุทุกคนจะมีกระบวนการหนึ่งเกิดขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย คือ กระบวนการสูงอายุ (Aging process) โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมถอยและไม่สามารถข้อนกลับได้ การเปลี่ยนแปลงคังกล่าวเกิดขึ้นกับทั้งด้านร่างกาย และด้านจิตใจ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตามวัยที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน มีคังนี้ระบบต่อมไร้ท่อ ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนต่าง ๆ ส่งออกไปยังอวัยวะในร่างกาย เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตและการทำงานของร่างกาย แต่เมื่ออายุมากขึ้นการผลิตฮอร์โมนต่าง ๆ ก็ลดลง โดยในผู้สูงอายุโรคเบาหวานนั้นพบว่า ตับอ่อน มีการหลั่งอินซูลินลคลง เนื่องจากมีผนังหลอดเลือดที่แข็งและหนาขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงตามวัย (นัยนา, 2562) ทฤษฎีความเสื่อมโทรม (Wear and Tear Theory) การบาดเจ็บหรือความผิดพลาดของเซลล์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเกิดจากการใช้งานของอวัยวะที่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือใช้งานอย่างหนักมาเรื่อย ๆระบบต่างๆของร่างกาย จะทำงานเสื่อมลง จนในที่สุดก็ไม่สามารถทำงานได้ (วารี, 2562) ผู้สูงอายุบอกว่า“ชอบดื่มน้ำหวาน และชานม สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง” “ดื่มน้ำอัดลมในวันที่ไม่ได้ดื่มน้ำหวานและชานม สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง”ร่วมกับค่า dtx 130 mg/dl จึงทำให้ผู้สูงอายุรายนี้มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเนื่องจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่เหมาะสม
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล1.เพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง 2.เพื่อให้ผู้สูงอายุเข้าใจแลตะหนักถึงการตรวจเท้าทุกวัน
เกณฑ์การประเมิน 1.บอกถึงพฤติกรรมที่แสดงถึงภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงและปฏิบัติตนเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้ถูกต้อง
2.ปฏิบัติตนในด้านการควบคุมอาหาร การรับประทานยา อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน 3.ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ 4.สามารถตรวจเท้าได้ทุกวัน 5.ไม่มีอาการแสดงของภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูง เช่น เกิดภาวะหลังปัสสาวะมาก ผิวแห้ง ปากแห้ง ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ความดันโลหิตต่ำ และไม่มีอาการแสดงของระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว รู้สึกหิว ชาบริเวณรอบ หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ ปวดศีรษะ มึงงง สับสน หาวบ่อย ซึมลง และหมดสติ 6.ไม่มีแผลที่เกิดจากโรคเบาหวาน 7. มีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารมีค่าอยู่ระหว่าง 100 - 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และมีค่าความทนต่อน้ำตาลกลูโคสมีค่าอยู่ระหว่าง 140 - 199 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (สายฝน, 2563)
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุรายนี้ว่ามีความรุนแรงระดับเพื่อวางแผนการพยาบาลอย่างเหมาะสม
2.ประเมินความรู้ในการดูแลตนเองของผู้สูงอายุในการควบคุมระดับน้ำตาล เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เพื่อทราบแนวทางการให้คำแนะนำผู้สูงอายุยังไม่เข้าใจ
3.อธิบายให้ผู้สูงอายุเข้าใจถึงความจำเป็นในการควบคุมอาหาร ดังนี้
3.1 อาหารที่ห้ามรับประทาน ได้แก่อาหารที่เป็นน้ำตาลแปรรูปทุกชนิด เช่นทองหยิบ ฝอยทอง นมข้นหวาน น้ำอัดลม ชากาแฟ ผลไม้เชื่อม ผลไม้กระป๋อง ผลไม้ที่มีรสจัด เช่น ทุเรียน ขนุน มะม่วงสุก เงาะ องุ่น ลำไย ลิ้นจี่ (นัยนา, 2562)
1 more item...
3.มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่เหมาะสม
วิเคราะห์ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
โรคความดันโลหิตสูง หมายถึง ภาวะที่ความดันโลหิตในขณะที่หัวใจบีบตัว (systolic blood pressure: SBP มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 140 mmHg หรือ ความคันโลหิตในขณะที่หัวใจคลายตัว (diastolic blood pressure: DBP) มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 90 mmHg (นัยนา และวารี, 2562) การเปลี่ยนแปลงตามวัยในระบบหัวใจและหลอดเลือด เกิดกลไกการชดเชยหรือการปรับตัวต่อภาวะเครียดด้อยประสิทธิภาพ ปริมาตรพลาสมาลดลงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า (นัยนา และวารี, 2562) ทฤษฎีการเชื่อมตามขวาง (Cross-linking Theory) มีการเชื่อมตามขวางของโมเลกุลของโปรตีน การเชื่อมตามขวางพบได้มากที่สุด คือโปรตีนที่อยู่ภายนอกเซลล์คือ อีสาสติน และ คอลลาเจน ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน กล้ามเนื้อ ผนังหลอดโลหิตแดงและสารประกอบที่อยู่ใน ground substance การเชื่อมตามขวางจะค่อย ๆ เป็นไปตามอายุ ทำให้เนื้อเยื่อขาดความยืดหยุ่น และทำให้การขาคความยืดหยุ่นของผนังหลอดโลหิตเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะ ความดันโลหิตสูงและปัญหาต่าง ๆ อีกมากมาย (วารี, 2562) ในผู้สูงอายุรายนี้บอกว่า “ชอบรับประทานอาหารรสชาติ เค็ม” “ชอบดื่มน้ำหวาน และชานม สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง” “ดื่มน่ำอัดลมในวันที่ไม่ได้ดื่มน้ำหวานและชานม สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง” และยังมีโรคประจำตัว เป็นความดันโลหิตสูง 140/90 ระยะเวลาประมาณ 4-5 ปี อีกด้วย จึงมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่เหมาะสม
S: ผู้สูงอายุบอกว่า “ชอบรับประทานอาหารรสชาติ เค็ม”
S: ผู้สูงอายุบอกว่า “ชอบดื่มน้ำหวาน และชานม สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง”
S: ผู้สูงอายุบอกว่า “ดื่มน้ำอัดลมในวันที่ไม่ได้ดื่มน้ำหวานและชานม สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง”
O: โรคประจำตัว เป็นความดันโลหิตสูง 140/90 ระยะเวลาประมาณ 4-5 ปี
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
1.เพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะความดันโลหิตสูง
เกณฑ์การประเมิน
1.ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะความดันโลหิตสูง เช่น โรคหัวใจขาดเลือด เส้นเลือดสมองโป่งพอง หัวใจล้มเหลว โรคไตเสื่อม เป็นต้น 2.ความดันโลหิตน้อยกว่า140/90mmHg 3. มีการปฏิบัติพฤติกรรมที่เหมาะสมสำหรับโรคความดันโลหิตสูง เช่นรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอเปลี่ยนท่าช้าๆและรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับโรค ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และผ่อนคลายความเครียด
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินภาวะความดันโลหิตสูงของผู้สูงอายุ เพื่อทราบระดับความรุนแรง และนำมาวางแผนทางการพยาบาลได้อย่างเหมาะสม
2.สอบถามผู้สูงอายุเกี่ยวกับความเข้าใจของตนเอง เกี่ยวกับการรับประทานอาหารสำหรับผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง
3.อธิบายภาวะแทรกซ้อนให้ผู้สูงอายุรายนี้เข้าใจว่า หากยังคงมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม อาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด เส้นเลือดสมองโป่งพอง หัวใจล้มเหลว หรือโรคไตเสื่อม เป็นต้น
4.แนะนำผู้สูงอายุเกี่ยวกับการปฏิบัติตนให้เหมาะสม (นัยนา และวารี, 2562) ดังนี้
4.1แนะนำการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ อธิบายให้ผู้สูงอายุทราบว่าโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด (นัยนา และวารี, 2562)จำเป็นต้องทานยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอเพื่อช่วยควบคุมความดันโลหิตไม่ให้รุนแรงมากขึ้น และลดภาวะแทรกซ้อนให้เกิดช้าที่สุด
4.2 แนะนำการเปลี่ยนท่าช้าๆ จากการเปลี่ยนท่านอน เป็นท่านั่ง จากท่านั่ง เป็นท่ายืนและจากท่ายืน เป็นถ้าเดิน ใช้เวลาเปลี่ยนท่าประมาณ 1 นาที (นัยนา และวารี, 2562)
1 more item...
4.เสี่ยงต่อการเกิดภาวะข้อติดขัดเนื่องจากไม่มีการบริหารข้อ
S: ผู้สูงอายุบอกว่า “เวลาอยู่ผู้สูงอายุอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ จะชาบริเวณขา กล้ามเนื้อแขนข้ายลีบแต่ยังสามารถยกขึ้นลงได้อยู่ ข้อมือข้างช้ายเป็นอัมพฤษ์”
S: ผู้สูงอายุบอกว่า “ไม่ได้ออกกำลังกาย”
O: แขนข้างซ้ายลีบ และ ไม่ขยับข้อมือข้างซ้าย
วิเคราะห์ ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ภาวะข้อแข็งหรือติดขัด เป็นภาวะที่ร่างกายมีการเคลื่อนไหวของข้อต่อกระดูกผิดปกติ โดยผู้ป่วยจะมีองศาในการเคลื่อนไหวของข้อน้อยกว่าปกติ มีการหดรั้งของกล้ามเนื้อส่งผลให้มีการเคลื่อนไหวของข้อลดลง โดยผู้ป่วยจะรู้สึกมีการติดขัดของข้อและปวดขณะบริเวณเคลื่อนไหวข้อ ถ้าปล่อยไว้เป็นระยะเวลานานจะทำให้ผู้ป่วยเกิดความพิการอย่างถาวรและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ในที่สุด (ศศิธร, 2557) การเปลี่ยนแปลงตามวัยในผู้สูงอายุ มักมีความเสื่อมของเส้นใยกล้ามเนื้อ ทำให้มวลกล้ามเนื้อ ความแข็งเรงของกล้ามเนื้อ (muscle strengtb) และการเคลื่อนไหวของ กล้ามเนื้อลดลง ซึ่งทำให้เกิดข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวของข้อ ทฤษฎีความเสื่อมโทรม (Wear and Tear Theory) การบาดเจ็บหรือความผิดพลาดของเซลล์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเกิดจากการใช้งานของอวัยวะที่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือใช้งานอย่างหนักมาเรื่อย ๆระบบต่างๆของร่างกาย จะทำงานเสื่อมลง จนในที่สุดก็ไม่สามารถทำงานได้ (วารี, 2562) ในผู้สูงอายุรายนี้บอกว่า “เวลาอยู่ผู้สูงอายุอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ จะชาบริเวณขา กล้ามเนื้อแขนข้ายลีบแต่ยังสามารถยกขึ้นลงได้อยู่ ข้อมือข้างช้ายเป็นอัมพฤษ์” “ไม่ได้ออกกำลังกาย” แขนข้างซ้ายลีบ และ ไม่ขยับข้อมือข้างซ้าย จึงทำให้มีเสี่ยงต่อการเกิดภาวะข้อติดขัดเนื่องจากไม่มีการบริหารข้อ
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
1.เพื่อไม่ให้เกิดภาวะข้อติดขัด
เกณฑ์การประเมิน
1.มีการบริการข้อเป็นประจำทุกวัน 2.รับประทานอาหารครบ 5 หมู่
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินการเคลื่อนไหวของข้อมือข้างซ้ายและแขนข้างซ้ายว่าผู้สูงอายุมีการเคลื่อนไหวมากน้อยเท่าไหร่ เพื่อนำมาวิเคราะห์ และวางแผนการพยาบาล
ให้ความรู้กับผู้สูงอายุเกี่ยวกับผลเสีย หากไม่เคลื่อนไหวร่างกายอาจทำให้เกิดอาการ เช่น ทำให้ข้อมือไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ถาวร และส่งผลให้แขนข้างซ้ายลีบเพิ่มมากขึ้น
แนะนำการบริหารข้อให้แก่ผู้สูงอายุได้ปรับใช้ให้เข้ากับตนเองตามความเหมาะสม
จากวิทยานิพนธ์ของ (ศศิธร, 2557) ในเรื่อง ผลของโปรแกรมส่งเสริมการเคลื่อนไหวแบบมุ่งเป้าหมายต่อผลลัพธ์ทางกล้ามเนื้อกระดูกและข้อในผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บที่มีข้อจำกัดการเคลื่อนไหว ได้มีการแนะนำการเคลื่อนไหว ดังนี้
3.1 การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อเป็นวิธีการส่งเสริมการเคลื่อนไหวเพื่อให้ผู้สูงอายุมีการเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ได้แก่ ข้อมือ ข้อศอก ข้อไหล่ ข้อสะโพก ข้อเข่า และข้อเท้า อย่างต่อเนื่องโดยมีท่าทางการออกกำลังกาย วันละ1 ครั้ง ครั้งละไม่น้อยกว่า 30 นาที ดังนี้
3.2 ข้อนิ้วมือ และข้อมือ ออกกำลังกายโดยให้ผู้สูงอายุ กำมือ แบมือ กางนิ้ว กระดกข้อมือขึ้นลงทั้งสองข้าง
3.3 แขนและข้อศอก ออกกำลังกายโดยให้ผู้ป่วยพลิกคว่ำมือสลับกับหงายมือร่วมกับสลับกับเหยียด
1 more item...
5.มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงตามวัย
S: -
O: ประเมินสภาพสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย (MMSE -Thai 2002) ผลการประเมิน 17 คะแนน แปลผล มีอาการแสดงที่บ่งบอกว่าเกิดภาวะสมองเสื่อม
วิเคราะห์ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ภาวะสมองเสื่อม มีการสะสมของโปรตีนอะมัยลอยด์เบต้าในเนื้อเยื่อสมอง ร่วมกับมีภาวะมีกลุ่มใยประสาทในสมองพันกัน ทำให้ส่งผลกระทบต่อการหลั่งสารสื่อประสาทหลาย ซึ่งสารกลุ่มนี้เป็นตัวส่งสัญญาณเชื่อมโยงคำสั่ง ต่าง ๆ ของเซลล์สมองที่ควบคุมด้านความจำ ความคิด อารมณ์ บุคลิกภาพ และพฤติกรรมต่างๆและส่งผลให้สารอาหารต่าง ๆ ไปเลี้ยงสมองได้ไม่เพียงพอ เซลล์ประสาทจึงเสื่อมลงและ ตายมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดภาวะสมองฝ่อ ขนาดและน้ำหนักของสมองเล็กลงให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะค่อย ๆ สูญสียความจำในเหตุการณ์ชีวิตประจำวัน เริ่มมีปัญหาตามมา ความสามารถในการทำหน้าที่ต่าง ๆ ลดลงอย่างช้า ๆ (นัยนา และพรชัย, 2562) การเปลี่ยนแปลงตามวัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อม ไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม(WHO, 2015) จากการศึกยาแบบติดตามระยะยาว พบว่า การทำหน้าที่ทางสติปัญญาของบุคคลยังสามารถเป็นปกติหรือดีขึ้นได้จนถึงอายุ 50 หรือ 60 ปี ดังนี้ 1. มีการสูญเสียสมองส่วนที่เป็นเนื้อสีขาว (white matter) 2. มีปริมาณเลือดไหลเวียนที่สมองลดลง 3. ช่องสมอง (ventricles) และรอยย่น (sulci) กว้างขึ้น (นัยนา และพรชัย, 2562) ทฤษฎีความเสื่อมโทรม (Wear and Tear Theory) การบาดเจ็บหรือความผิดพลาดของเซลล์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเกิดจากการใช้งานของอวัยวะที่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือใช้งานอย่างหนักมาเรื่อย ๆระบบต่างๆของร่างกาย จะทำงานเสื่อมลง จนในที่สุดก็ไม่สามารถทำงานได้ (วารี, 2562) สำหรับผู้สูงอายุรายนี้ การประเมินสภาพสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย (MMSE -Thai 2002) ผลการประเมิน 17 คะแนน แปลผล มีอาการแสดงที่บ่งบอกว่าเกิดภาวะสมองเสื่อม จึงทำให้มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน จึงให้การพยาบาลที่ส่งเสริมคุณค่าในตนเอง ส่งสริมการช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
1.เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถดูแลตนเองได้และปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ เช่น การสวมเสื้อผ้า การเข้าห้องน้ำ การรับประทานอาหาร เป็นต้น
เกณฑ์การประเมิน
1.สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น การสวมเสื้อผ้า การเข้าห้องน้ำ การรับประทานอาหาร เป็นต้น
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินสภาพสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย (MMSE-Thai 2002) เพื่อประเมินระดับความรุนแรง และวางแผนในการให้การพยาบาล
2.ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุทำกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเองให้นานที่สุด เช่นการสวมเสื้อผ้า การเข้าห้องน้ำ การรับประทานอาหาร เป็นต้น (นัยนา และพรชัย, 2562)
3.ส่งเสริมการรับประทานอาหารดูแลให้ผู้สูงอายุได้รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เหมาะกับวัย ไม่ร้อนจัด ให้รับประทานอาหารในสถานที่และเวลาเดิม (นัยนา และพรชัย, 2562)
4.แนะนำและส่งเสริมการทำความสะอาดร่างกายแนะนำให้ผู้สูงอายุอาบน้ำตรงเวลาทุกวัน และดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในห้องน้ำ (นัยนา และพรชัย, 2562)
5.แนะนำการแต่งตัวให้เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ใส่ง่าย และถอดง่าย
คำแนะสำหรับการขับถ่าย คือ ควรกำหนดเวลาและทำตามเวลาอย่างสม่ำเสมอคอยสังเกตผู้สูงอายุว่า อยากเข้าห้องน้ำหรือไม่และแนะนำผู้ดูแลว่า ไม่ควรตำหนิผู้สูงอายุแต่ควรดูแล และปลอบโยน (นัยนา และพรชัย, 2562)
1 more item...
6.มีโอกาสเกิดภาวะต่อมลูกหมากโตเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงตามวัย
S: ผู้สูงอายุบอกว่า “เวลาปัสสาวะรู้สึกว่า มันไม่ค่อยพุ่ง ต้องออกแรงเบ่งนะถึงจะออก เป็นมาประมาณ 1 ปีแล้ว”
O: -
วิเคราะห์ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
พยาธิสภาพของภาวะต่อมลูกหมากโตในผู้สูงอายุ เซลล์เนื้อเยื่อบุผิว และโครงสร้างที่เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เซลล์เนื้อเยื่อทั้ง 2 ชนิดนั้นได้รับการกระตุ้นจาก 5-dihydrotestosterone [5-DHT] มีหน้าที่ในการควบคุมการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก หากเมื่อปัจจัยในการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมากขาดความสมดุลจะทำให้ขาคความสมดุลของการเจริญเติบโตและการตายของเซลล์ได้ ทำให้ทั้งเซลล์เนื้อเยื่อบุผิวและโครงสร้างของต่อมลูกหมากมีการเจริญเติบ โตมากกว่าปกติ จึงเกิดภาวะต่อมลูกหมากโตได้ (นัยนา, 2562) การเปลี่ยนแปลงตามวัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะต่อมลูกหมากโตในผู้สูงอายุ คือ การเปลี่ยนแปลงของระบบสืบพันธุ์โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของต่อมลูกหมาก ซึ่งเมื่ออายุเพิ่มขึ้นเนื้อเยื่อรอบ ๆ ต่อมลูกหมากจะมีการขยายมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อทางเดินปัสสาวะ ทำให้ เกิดการอุดกั้นการไหลของปัสสาวะ จึงเกิดปัญหาในการขับถ่ายปัสสาวะ ทั้งนี้ภาวะต่อมลูกหมากโตไม่ใช่โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก (นัยนา, 2562) ทฤษฎีความเสื่อมโทรม (Wear and Tear Theory) การบาดเจ็บหรือความผิดพลาดของเซลล์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเกิดจากการใช้งานของอวัยวะที่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือใช้งานอย่างหนักมาเรื่อย ๆระบบต่างๆของร่างกาย จะทำงานเสื่อมลง จนในที่สุดก็ไม่สามารถทำงานได้ (วารี, 2562) สำหรับผู้สูงอายุรายนี้ ผู้สูงอายุบอกว่า “เวลาปัสสาวะรู้สึกว่า มันไม่ค่อยพุ่ง ต้องออกแรงเบ่งนะถึงจะออก เป็นมาประมาณ 1 ปีแล้ว” ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอาการแสดงของภาวะต่อมลูกหมากโต จึงต้องมีการเฝ้าระวังและให้การพยาบาล
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
1.เพื่อให้ผู้สูงอายุทราบเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตามวัย 2.เพื่อให้ผู้สูงอายุทราบวิธีการปฏิบัติตัวเพื่อลดความรุนแรงของภาวะต่อมลูกหมากโต
เกณฑ์การประเมิน
1.สามารถลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดภาวะต่อลูกหมากโต เช่น หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน กาแก น้ำอัดลม 2.ผู้สูงอายุเข้าใจการเปลี่ยนแปลงตามวัยเกี่ยวกับภาวะต่อมลูกหมากโต
กิจกรรมทางการพยาบาล
1.ประเมินความรุนแรงของภาวะต่อมลูกหมากโต โดยสอบถามอาการและระยะเวลาที่เกิดขึ้น เช่น อาการปัสสาวะติดขัด ปัสสาวะไม่พุ่ง เบ่งนานกว่าจะออก กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะเล็ด หรือปัสสาวะบ่อยกางคืน เป็นต้น
2.ให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะต่อมลูกหมากโต ทั้งในเรื่องของโครงสร้าง สรีรวิทยา พยาธิสภาพ การรักษาภาวะแทรกซ้อน ของโรคเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการรักษา (นัยนา, 2562)
3.ให้ผู้สูงอายุตระหนังถึงว่า โรคต่อมลูกหมากโตอาจมีภาวะแทรกซ้อนได้แก่ ปัสสาวะไม่ออกเลย ทางเดินปัสสาวะอักเสบ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ไตเสื่อมหรือกระเพาะปัสสาวะเสื่อม ปัสสาวะเป็นเลือด เป็นต้น
4.แนะนำการจดบันทึกปัสสาวะและแนะนำการดื่มน้ำประมาณวันละ 1,500 - 2,000 ลิตร และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำก่อนเข้านอน 2 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ลุกมาปัสสาวะตอนกลางคืน(นัยนา, 2562) เพราะการที่เกิดภาวะต่อมลูกหมากโตทำให้เกิดการปัสสาวะบ่อยร่วมด้วย
5.หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเช่น กาแฟ เป็นต้น และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
6.แนะนำการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับโรค เพื่อป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงขึ้น เช่น ควรรับประทานอาหารที่มีผักและผลไม้ เพื่อป้องกันภาวะท้องผูก หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูงและโปรตีนสูง เช่น นม ขนม ปัง ไข่ เป็นต้น (นัยนา, 2562)
1 more item...
ข้อมูลลักษณะของบ้านบางละมุง
สิ่งแวดล้อมภายในเรือนนอน
สิ่งแวดล้อมภายในเรือนนอน ผู้สูงอายุอยู่ห้องเดี่ยวเป็นห้องขนาดกลาง อยู่หนึ่งคน ห้องมีความสะอาด ปลอดโปร่ง ไม่รก มีทางเดินกว้าง ภายในห้องมีสิ่งของอำนวยความสะดวก เช่น มีเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำภายในตัว ทีวี พัดลม ตู้เย็น กระติกน้ำร้อน มีขวดน้ำดื่มที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อ เป็นห้องน้ำขนาดเล็ก สะอาดใช้คนเดียวไม่เป็นห้องน้ำส่วนรวม ส่วนภายนอกจะเป็นตึกหินปูน ยกสูงหนึ่งขั้น มีบันไดขึ้นลงและทางลาดสำหรับผู้สูงอายุที่ใช้อุปกรณ์ช่วยในการเคลื่อนไหว มีระเบียงกั้นเพื่อป้องกันการตก อากาศถ่ายเทสะดวก สิ่งแวดล้อมรอบด้วยป่า มียุงค่อนข้างเยอะ มีถังขยะวางอยู่หลายจุดแต่ค่อนข้างไม่สะอาด
ผู้ดูแลหลัก (พี่เลี้ยง)
ชื่อ-สกุล นาง สิริสุข ทิพยรักษ์ เพศ หญิง อายุ 56 ปี ระดับการศึกษา จบ ปวช.
ภาวะสุขภาพ มีความดันโลหิตสูง
ความสัมพันธ์กับผู้สูงอาย ห่วงใย รู้สึกเหมือนผู้สูงอายุเป็นญาติคนหนึ่ง เป็นที่พึ่งพาของผู้สูงอายุยามลำบาก
ระยะเวลาที่ดูแล (ตั้งแต่เริ่มดูแลถึงปัจจุบัน) อยู่ศูนย์ฯบางละมุงเป็นเวลา 17-18 ปีแล้ว แต่ย้ายมาดูแลอาคาร 3 ได้ 1 เดือน (มีการหมุนเวียนไปอาการต่างๆทุก 6 เดือน)
ระยะเวลาที่ให้การดูแลต่อวันและกิจกรรม ทำงาน 24 ชั่วโมง (เข้า 7 โมง ออก 7 โมง) แล้วก็หยุดสลับกันกับพี่เลี้ยง อีก 2 คน มีหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุ ดูแลทำความสะอาดในเรือนนอน จัดหาอาหาร ดูแลความสะดวกให้ผู้สูงอายุ
ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว ปฏิเสธการเจ็บป่วยในครอบครัว
กิจกรรมของผู้ดูแล
1.ดูแลและแนะนำให้สูงอายุถ่ายปัสสาวะก่อนเข้านอนเพื่อป้องกันการตื่นกลางดึกเพื่อมาปัสสาวะ
2.ดูแลแนะนำผู้สูงอายุไม่ให้ดื่มน้ำมากในตอนเย็นและค่ำหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเช่นกาแฟอย่างน้อย 4 ชั่วโมงเพราะว่ามีฤทธิ์ขับปัสสาวะและยังกระตุ้นระบบประสาทอีกด้วย
3.แนะนำการจัดสภาพแวดล้อมห้องนอนให้ถูกสุขลักษณะให้เงียบสบาย สะอาด อากาศถ่ายเทแสงสว่างไม่มากเกินไป สวมเสื้อผ้าสบายไหมคับหรือแน่นเกินไป (ศศิธร, 2562)
4.แนะนำให้ผู้สูงอายุทำจิตใจให้สบายก่อนเข้านอน เช่น การสวดมนต์ หรือทำสมาธิให้จิตใจสงบปราศจากเรื่องกังวลจะทำให้หลับสบายคุณภาพการนอนดีขึ้น โดยหายใจเข้าลึกๆ ออกลึกๆ กำหนดลมหายใจเปรียบเสมือนการนอนสมาธิ มีสติอยู่กับตนเองจะทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น (ศศิธร, 2562)
กิจกรรมของผู้สูงอายุ
1.ถ่ายปัสสาวะก่อนเข้านอนเพื่อป้องกันการตื่นกลางดึกเพื่อมาปัสสาวะ
2.ไม่ให้ดื่มน้ำมากในตอนเย็นและค่ำหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเช่นกาแฟอย่างน้อย 4 ชั่วโมงเพราะว่ามีฤทธิ์ขับปัสสาวะและยังกระตุ้นระบบประสาทอีกด้วย
3.จัดสภาพแวดล้อมห้องนอนให้ถูกสุขลักษณะให้เงียบสบาย สะอาด อากาศถ่ายเทแสงสว่างไม่มากเกินไป สวมเสื้อผ้าสบายไหมคับหรือแน่นเกินไป (ศศิธร, 2562)
4.ทำจิตใจให้สบายก่อนเข้านอน เช่น การสวดมนต์ หรือทำสมาธิให้จิตใจสงบปราศจากเรื่องกังวลจะทำให้หลับสบายคุณภาพการนอนดีขึ้น โดยหายใจเข้าลึกๆ ออกลึกๆ กำหนดลมหายใจเปรียบเสมือนการนอนสมาธิ มีสติอยู่กับตนเองจะทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
1 more item...