Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Mild Pre-Eclampsia with GDMA2 - Coggle Diagram
Mild Pre-Eclampsia with GDMA2
พยาธิ
Pre-eclampsia
คือ การมีความดันโลหิตสูงและมีโปรตีนในปัสสาวะระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้เกิดความผิดปกติของการฝังตัวของรก ซึ่งโดยธรรมชาติรกจะฝังบริเวณเยื่อบุผนังมดลูก แต่ในกรณีที่แม่ครรภ์เป็นพิษรกจะฝังตัวไม่แน่น ส่งผลให้รกบางส่วนเกิดการขาดออกซิเจน ขาดเลือด เมื่อเลือดไปเลี้ยงรกได้น้อยลง จะค่อยๆหลั่งสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดของแม่ ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น เส้นเลือดสมองตีบ ตาพร่ามัว ตับวาย พบได้บ่อยที่สุดระหว่างตั้งครรภ์ประมาณ 1 ใน 20 ของการตั้งครรภ์ หากรักษาไม่ทันอาจเกิดอาการชักรุนแรงจนเสียชีวิตทั้งแม่และลูก
อาการที่พบบ่อย ได้แก่
น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (เกิดจากการกักเก็บของเหลว)
ความดันโลหิตที่สูงกว่า 140 / 90 มิลลิเมตร
อาการบวมของเท้าข้อเท้าใบหน้า และมือ
อาการปวดในช่องท้องส่วนบนขวา
ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ
ตาพร่ามัว
ปวดใต้ซี่โครงด้านขวา
คลื่นไส้อาเจียน
ตับทำงานบกพร่อง
ปัสสาวะน้อย
ปวดหัวรุนแรง
เกล็ดเลือดต่ำ
สาเหตุ
โรคเบาหวาน
โรคไต
โรคอ้วน
โรคข้ออักเสบ
โรคความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
มีอายุต่ำกว่า 15 ปีหรือ 35 ปีขึ้นไป
การตั้งครรภ์ครั้งแรก
มีประวัติเคยครรภ์เป็นพิษ
ในครอบครัวมีภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือความดันโลหิตสูงในระหว่างตั้งครรภ์
ตั้งครรภ์หลายครั้ง หรือเคยตั้งครรภ์แฝด ( การตั้งครรภ์เหล่านี้จะมีเนื้อเยื่อของรกจำนวนมาก )
ระดับความรุนแรง
Non Severe Pre-Eclampsia
ความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่เกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท ยังไม่พบภาวะแทรกซ้อน
Severe Pre-Eclampsia
ความดันโลหิตสูงกว่า 160/110 หรือตรวจพบความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบ ไตทำงานลดลง เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดแดงแตก
Eclampsia
ชัก เกร็ง หมดสติ อาจมีเลือดออกในสมอง หากอยู่ในระยะนี้ต้องรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะแม่และลูกมีอันตรายถึงแก่ชีวิต
การวินิจฉัย
Pre-eclampsia
1.ความดันโลหิต systolic > 140 mmHg diastolic > 90 mmHg เมื่อ GA > 20 wks.
2.มี Proteinuria 300 มิลลิกรัมหรือมากกว่า ตรวจปัสสาวะโดยใช้แถบตรวจปัสสาวะ (dipstick) พบมีระดับ 1+ หรือมากกว่า
3.ในกรณีที่ไม่มี proteinuria แต่พบความดันโลหิตสูง
ในสตรีท่ีความดันโลหิตปกติมาก่อน (new-onset) ร่วมกับการ ตรวจพบ new-onset ของกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้
Thrombocytopenia : เกล็ดเลือดต่ำกว่า100,000/ลูกบาศก์มิลลิเมตร
Renal insufficiency : ค่า serum creatinine มากกว่า
1.1 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือเพิ่มข้ึนเป็น 2 เท่าของ serum
creatinine เดิมในกรณีไม่ได้เป็นโรคไต
Impaired liver function : มีการเพิ่มขึ้นของค่า livertransaminase เป็น 2 เท่าของค่าปกติ
Pulmonary edema
Cerebral หรือ visual symptoms
Eclampsia
การชักในสตรีต้ังครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษ โดยการชักนั้นไม่ได้ เกิดจากสาเหตุอื่น
การรักษา
1.GA 37 wks.หรือมากกว่า ควรให้คลอด
2.GA < 37 wks. เฝ้าตรวจติดตามอาการของมารดาและทารกในครรภ์ พิจารณาให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอกหรือรับไว้ในโรงพยาบาลตามความเหมาะสม โดยให้การดูแลดังนี้
ประเมินอาการของมารดาและทารกเป็นระยะๆและนับลูกดิ้นทุกวัน
ไม่จำเป็นต้องให้ยาลดความดันโลหิต
วัดความดันโลหิต 2 ครั้ง/สัปดาห์
ตรวจหา proteinuria
ที่โรงพยาบาล สัปดาห์ละครั้ง
ตรวจนับเกล็ดเลือดและ liver enzyme ทุกสัปดาห์
ตรวจ U/S ติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ทุก 2-4 สัปดาห์ และประเมินสุขภาพทารกในครรภ์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
เบาหวานขณะตั้งครรภ์
ขณะตั้งครรภ์รกมีการสร้างฮอร์โมน human placental lactogen (hPL) ก่อให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน (insulin resistance) และเพิ่มการใช้พลังงานจากไขมัน เพื่อสงวนพลังงานจากน้ำตาลนั้นไว้ให้กับทารกในครรภ์ ส่งผลให้ในการตั้งครรภ์ปกตินั้นจะตรวจพบว่ามีภาวะfasting hypoglycemia และภาวะpostprandial hyperglycemia และภาวะhyperinsulinemia ซึ่งฮอร์โมน human placental lactogen จะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุครรภ์และเพิ่มสูงในช่วงอายุครรภ์ 24 – 28 สัปดาห์และสูงสุดที่ช่วงอายุครรภ์ 34 – 36 สัปดาห์
ผลต่อการตั้งครรภ์
มารดา
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Gestational hypertension) หรือครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia)
เพิ่มอัตราการคลอดทางหน้าท้อง (Caesarean delivery)
เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวานในอนาคต
Polyhydramnios
Preterm
ทารก
ภาวะทารกตัวโต (Macrosomia)
มีความเสี่ยงของการคลอดติดไหล่และการบาดเจ็บระหว่างการคลอด
ภาวะทารกน้ำตาลในเลือดต่ำภายหลังการคลอด (Neonatal hypoglycemia)
IUGR
พิการแต่กำเนิด
ทารกเสียชีวิตในครรภ์
Birth asphyxia
การตรวจและวินิจฉัย
ญาติสายตรงเป็นเบาหวาน
อายุ > 30 ปี
BMI มากกว่าหรือเท่า 27
ทารกเสียชีวิตในครรภ์
เคยคลอดบุตรน้ำหนัก > 4,000 g.
-เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
มีประวัติความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
1.ตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ ถ้ามากกว่าเท่า +1 ทำร่วมอย่างอื่น
2.ตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด
BS 50 g. GCT 1 hr. > 140 mg/dL ผิดปกติ
Dx. ด้วย 100 g. OGTT NPO 8-14 hrs.
FBS >= 95 mg/dL
1 hr. >= 180 mg/dL
2 hrs. >= 155 mg/dL
3 hrs. >= 140 mg/dL
ผิดปกติ 2 ค่า = GDM
ถ้าผิดปกติค่าเดียว อีก 1 เดือนมาตรวจซ้ำ
แยก class GDM NPO 8-14 hrs.
FBS >= 95 mg/dL
หลังกินข้าว 2 hrs. PP >= 120 mg/dL ผิดปกติ 1 ค่า = GDMA2
ข้อมูลผู้ป่วย
หญิงตั้งครรภ์ชาวไทย อายุ 37 ปี
GA 38+4 wks. G1P0000(Elderly Primigravidarum)
น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์ 80 kg. BMI = 30.4
ประวัติครอบครัว : มารดาหญิงตั้งครรภ์เป็น DM
ข้อวินิจฉัย
มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากมีความดันโลหิตสูง
ข้อมูลสนับสนุน
ผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูง 141/103 mmHg
ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะ
วัตถุประสงค์
ป้องกันภาวะแทรกซ้อน
เกณฑ์การประเมิน
ความดันโลหิตไม่เกิน 160/110 mmHg
ไม่มีอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่
ไม่พบ Proteinuria หรือพบไม่เกิน +2
กิจกรรม
1.เร่งคลอดด้วย 5%DN/2 1,000 ml. + synticinon 10 unit ตามแผนการรักษาของแพทย์
2.ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก และความก้าวหน้าของการคลอด (Assess uterine
contraction and signs of labor) เพื่อพิจารณาให้เกิดการคลอดโดยเร็ว
3.ติดตามการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์และการหดรัดตัวของมดลูกอย่างใกล้ชิด
4.วัดความดันโลหิตทุก 15 นาที เพื่อติดตามและประเมินความรุนแรงของโรค และเฝ้าระวังไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน
5.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นหรืออาการนาของภาวะชัก เช่น Headache, visual disturbance, epigastric pain เพื่อป้องกันการเกิดภาวะชัก
เสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเนื่องจากมารดามีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ข้อมูลสนับสนุน
- หลังตัดสายสะดือ ทารกจะไม่ได้รับกลูโคสจากมารดา
วัตถุประสงค์
ภาวะน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ
เกณฑ์การประเมินผล
- ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่าง 50-110 mg%
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินอาการที่นำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ตัวเขียว หายใจหอบ ชัก
2.วัดสัญญาณชีพเพื่อทราบอาการเปลี่ยนแปลง
3.ตรวจหาน้ำตาลในเลือดหลังคลอดทันที