Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Previous C/S with Polyhydramnios with Fetal duodenal atresia, นศพต.สุพรรษา…
Previous C/S with Polyhydramnios with Fetal duodenal atresia
พยาธิสภาพ Polyhydramnios
ครรภ์แฝดน้ำหรือครรภ์มานน้ำ (hydramniosหรือ polyhydramnios) หมายถึง ภาวะตั้งครรภ์ที่มีจำนวนน้ำคร่ำ > 2000 ml เกินเปอร์เซนไตล์ที่ 95 ของแต่ละอายุครรภ์ หรือ AFI > 25 cm.
และการตั้งครรภ์จะสัมพันธ์กับปริมาณปัสสาวะของทารก การสร้างของเหลวจากปอด การกลืน และการดูดซึมผ่านทางเนื้อเยื่อของทารก ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ ในช่วงครึ่งหลังน้ำคร่ำจะมาจากปัสสาวะร้อยละ 30ของน้ำหนักตัว จากการกลืน ร้อยละ 20-25 และสร้างจากปอด ร้อยละ 10 ดังนั้นความผิดปกติของปริมาณน้ำคร่ำจะสัมพันธ์กับความผิดปกติของสมดุลจะมากหรือน้อยขึ้นกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น
Chronic hydramnios
จำนวนน้ำคร่ำที่มากมักจะค่อยๆเพิ่มขึ้น ลักษณะน้ำคร่ำจะเหมือนกับครรภ์ปกติ
Acute hydramnios
มีการเพิ่มขึ้นของน้ำคร่ำอย่างรวดเร็ว
สาเหตุ
ทารก👼🏻
ความพิการของทารก ซึ่งส่วนใหญ่สัมพันธ์กับการกลืนของทารกตั้งแต่ความผิดปกติของระบบประสาทลงมาถึงการอุดกั้นของทางเดินอาหารที่พบได้บ่อยที่สุดได้แก่ มีปัญหาในการกลืนน้ำคร่ำ ทารกไม่มีกะโหลก (anencephaly) เนื้องอกที่หน้า (epinagthus), ปากแหว่งเพดานโหว่ (cleft lip / palate) และการตีบตันของทางเดินอาหาร เช่น หลอดอาหาร หรือดูโอดีนั่มตีบตัน นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาท เช่น spina bifida myotonic dystrophy นอกจากนี้ยังมีภาวะไส้เลื่อนกระบังลม (diaphragmatic hernia) เป็นต้น
ความผิดปกติอื่น ๆ เช่น trisomy 18, ทารกบวมน้ำ (hydrops fetalis) ทำให้การทำงานของหัวใจล้มเหลวจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ทารกซีดจากโรคฮีโมโกลบินบาร์ท การติดเชื้อของทารกในครรภ์ เช่น toxoplasmosis cytomegalovirus (CMV), fetomaternal hemorrhage, isoimmunization, การเต้นผิดจังหวะ (supraventricular tachycardia) หรือ มี diuresis จากการเพิ่มขึ้นของ atrial natriuretic peptide (ANP) or brain natriuretic peptide (BNP)
ครรภ์แฝด ที่มีภาวะแทรกซ้อนคือ twin-to- twin transfusion syndrome พบได้ร้อยละ 7 โดยเกิดได้ สองในสาม ของแฝดที่เป็นตัวรับ
มารดา🙆🏼♀️
ได้แก่ มารดาเป็นเบาหวาน โดยเฉพาะในรายที่ควบคุมไม่ดีซึ่งพบได้ถึงร้อยละ 25 ทารกในครรภ์จะมีภาวะ hyperglycemia ส่งผลต่อระบบ osmotic ทำให้สร้างปัสสาวะมากขึ้น ( polyuria ) และถ้าทารกมีภาวะ macrosomia จะมีการเพิ่มขึ้นของ cardiac output และ ปริมาตรของเลือดในร่างกาย ส่งผลให้ glomerular filtration rate เพิ่มขึ้น ทำให้มีปัสสาวะออกมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ภาวะ hypercalcemiaในมารดาก็ทำให้เกิดครรภ์แฝดน้ำเช่นกัน
การตรวจวินิจฉัย
การวินิจฉัยด้วยอัลตราซาวด์
ปัจจุบันมีการวัดปริมาณน้ำคร่ำหลายวิธี แต่ที่ใช้อย่างแพร่หลาย คือ การวัดแอ่งที่ใหญ่ที่สุด (SDP) และ AFI โดยมีเกณฑ์วินิจฉัยและแบ่งระดับความรุนแรงดังแสดงในตารางที่ 1 นอกจากวัดปริมาณน้ำคร่ำแล้ว ควรตรวจหาความผิดปกติของทารกในครรภ์ ที่สัมพันธ์กับภาวะครรภ์แฝดน้ำ ซึ่งมากกว่าร้อยละ 80 สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ในครรภ์ มีความผิดปกติบางอย่างที่ตรวจไม่พบ และไม่สามารถวินิจฉัยได้ ที่พบบ่อย ได้แก่ tracheoesophageal fistula, cardiac septal defects และ cleft palate
ดัชนีปริมาณน้ำคร่ำ (amniotic fluid index : AFI)
ถ้า < 5 cm. ถือว่าเป็น Oligohydramnios
25 cm. ถือว่า Polyhydramnios
การวัดแอ่งน้ำคร่ำที่ลึกที่สุดจากการแบ่งหน้าท้องมารดาเป็น 4 ส่วน โดยอาศัยแนวของสะดือและ linea nigra
ระดับความรุนแรง
ชนิดรุนแรงน้อย (Mild) 25.0-29.9 cm.
ชนิดรุนแรงปานกลาง (Moderate) วัด AFI 30.0-34.9 cm.
ชนิดรุนแรงมาก (Severe) วัด AFI > 35.0 cm.
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
:<3: ตรวจคัดกรองเบาหวานในช่วงตั้งครรภ์ (glucose challenge test)
:<3: ตรวจหาภาวะเลือดออกของทารกในครรภ์เข้าไปสู่กระแสเลือดแม่ (fetomaternal hemorrhage) ด้วยวิธี Kleihauer-Betke
:<3: ตรวจหาการติดเชื้อในครรภ์ เช่น syphilis, parvovirus, cytomegalovirus, toxoplasmosis, rubella
:<3: ตรวจหาสาเหตุของภาวะซีด เช่น ธาลัสซีเมีย หมู่เลือด เป็นต้น
:<3: ตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด ในรายที่สงสัยความผิดปกติของโครโมโซม หรือมีข้อบ่งชี้อื่น ๆ เป็นต้น :<3:
:red_flag: การซักประวัติ
เคยตั้งครรภ์แฝดน้ำ
มารดามีประวัติเป็น DM
มารดาบอกว่า หายใจลำบาก หอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ ต้องอยู่ในท่า upright
:red_flag: การตรวจร่างกาย
มดลูกขยายใหญ่ เส้นรอบท้อง > 100 cm.
ผนังหน้าท้องตึงใส
เส้นเลือดขยายชัดเจน Striae garvidarum มากกว่าปกติ
มี Fluid thrill
FHS ได้ยินไม่ชัด หือไม่ได้ยินเลย
ข้อมูลผู้ป่วย
มารดาอายุ 26 ปี G2P1 GA 37+5 wks by date
7/03/64 มาตรวจครรภ์ตามนัด มีมูกใสไหลออกมา ไม่มีเจ็บครรภ์ ไม่มีมูกเลือด ลูกดิ้นน้อยลง < 10 ครั้ง/วัน
8/03/64 มีน้ำเดิน Vaginal pooling positive, Cough test positive ย้ายลง LR plan C/S 9.00 น.
ประวัติการคลอด
ท้องแรก 2560 FT C/S due to maternal request
หญิงตั้งครรภ์มีประวัติการใช้สาระเสพติด
สูบบุหรี่ 6 ม้วนต่อวัน จนถึงอายุครรภ์ 33 wks
ดื่มแอลกอฮอล์ จนถึงอายุครรภ์ 35+2 wks by date
มารดาเสพสารเสพติด Ketamine
:star: สูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์
สารนิโคติน คาร์บอนมอนนอกไซด์ในควันบุหรี่ และทาร์จะมีผลต่อการทำงานของสารสื่อประสาทอะเซติลโคลีน (acetylcholine) โดปามีน (dopamine) และนอร์อีพิเนฟริน (nor epinephrine) ส่งผลให้มีการขัดขวางการพัฒนาของเซลล์ประสาทของทารก มีการหดตัวของหลอดเลือดดำมดลูก ทำให้เลือดผ่านรกลดลง ทารกจึงได้รับอาหารและออกซิเจนไม่เพียงพอ มีผลให้น้ำหนักแรกเกิดน้อย ขาดสารอาหารในระยะตั้งครรภ์และเพิ่มอัตราการตายในวัยทารก นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดปัญหาพัฒนาการและพฤติกรรม เช่น เชาวน์ปัญญาบกพร่อง มีปัญหาการเรียน ซุกซนมากผิดปกติ สมาธิสั้น พฤติกรรมก้าวร้าว ตลอดจนมีปัญหาด้านการเข้าสังคม
:star: มารดาดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์
ช่องตาสั้น
ร่องริมฝีปากบน (Phil rum) เรียบ
ริมฝีปากบนยาวและบาง
หนังคลุมหัวตามาก (epicanthal folds)
จมูกแบน
ปลายจมูกเชิดขึ้น
บริเวณส่วนกลางใบหน้ามีการพัฒนาน้อยกว่าปกติ (midface hypoplasia)
ไม่ได้ตรวจคัดกรองเบาหวาน
ตรวจคัดกรองธาลัสซีเมียของหญิงตั้งครรภ์ ได้ผล MCV 88.3 ปกติ DCIP ผล Hb Negative
มาตรวจครรภ์ตามนัด วันที่ 7/3/64 on monitoring ได้ผล non-reassuring fetal heart sound
น้ำหนักตัว 58.9 kg. ส่วนสูง 152 cm. BMI 19.47 กิโลกรัม/ตารางเมตร (ปกติ)
ผลตรวจ Urine protein ได้ผล Negative น้ำตาลในปัสสาวะ Negative
สัญญาณชีพ อุณหภูมิ 36.0 องศาเซลเซียส ชีพจร 82 ครั้ง/นาที หายใจ 18 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต 105/75 mmHg. O2 sat 100% Pain Score = 0
ตรวจร่างกาย : เยื่อบุตาไม่ซีด ไม่ฟันผุ ต่อมไทรอยด์ ไม่โต หัวนมปกติ ไม่บอด ไม่บุ๋ม No pitting edema
ตรวจครรภ์ : HF 3/4 เหนือสะดือ Vertex presentation PV os closed
ประวัติการฝากครรภ์
ทั้งหมด 9 ครั้ง ครั้งแรกตอน GA 13+6 by date ตรวจ TFT (Thyroid function test) ผล TSH = 0.105 น้อยกว่าปกติ
GA 30+6 wks by date ตรรวจ Chromosome study (AFP) for Amniotic fluid (MGC) ได้ผล AFP in amniotic fluid 2006.18 ng/mL
GA 32+2 wks by date U/S ผล EFW = 1700 gm.
GA 35+2 wks by date U/S พบ Amniotic fluid index = 44.3 cm. Placenta grannum grade 2 และพบ Double Bobble sign suspected dupdenal atresia (ถุงน้ำทั้งสองโป่งพองจากลำไส้ส่วนต้นอุดตัน)
แพทย์วินิจฉัยเป็น Polyhydramnios
Amniocentesis + amnioreduction (700 ml clear) การเจาะน้ำคร่ำร่วมกับเจาะดูดน้ำคร่ำออก 700 ml
karyotype ผล 46,XX ผล U/S พบ Fetal duodenal atresia (ลำไส้ส่วนดูโอดีนัมของทารกตีบตัน)
การพยาบาล
ทารกอาจเกิดสายสะดือพลัดต่ำ (Prolapse cord)
การพยาบาล
จัดท่าเทียบท่าให้อยู่ในท่าที่ช่วยป้องกันส่วนนำไม่ให้ลงมากดสายสะดือให้ก้นสูงเช่นท่า Trendelenburg, knee-chest, หรือ Sim's position โดยใช้หมอนรองก้นให้สูงขึ้น
ให้ออกซิเจน mask 8-10 LPM
ฟัง FHS ทุก สังเกตอาการที่ผิดปกติของทารก FHS 110-160 ครั้ง/นาที (ปกติ) ทุก 30 นาที และตรวจ NST เพื่อการหดรัดตัวของมดลูกที่สัมพันธ์กับอัตราการเต้นของหัวใจทารก หากพบอาการผิดปกติให้ออกซิเจนแก่หญิงตั้งครรภ์และนอนตะแคงซ้าย เพื่อให้ทารกมากขึ้น
สอดใส่เข้าไปในช่องคลอดแล้วดันส่วนนำไว้ไม่ให้เดินลงมากดสายสะดือ (funic disspression)
ถ้าสายสะดือโผล่ออกมานอกช่องคลอด ใช้ผ้าสะอาดปราศจากเชื้อชุบ NSS อุ่นและเปียกหุ้มสายสะดือแแบบหลวมๆ
ถ้า Fully dilate เตรียม F/E ถ้าปากมดลูกเปิดน้อย เตรียม C/S
ดูแลให้ได้รับสารน้ำตามการรักษาของแพทย์
มารดามีโอกาสเกิดภาวะช็อกจากการตกเลือดหลังคลอด
การพยาบาล
ให้มารดาหลังคลอดนอนพักลดการใช้พลังงาน และงดอาหารและน้ำทางปาก
สังเกตระดับความรู้สึกตัวและอาการผิดปกติ เช่น หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น
ซีด เพื่อ ประเมินการตอบสนองของร่างกายต่อปริมาณเลือดที่ลดลงในระบบไหลเวียนเลือด
ตรวจนับชีพจรและวัดความดันโลหิตทุก 15 นาที หรือบ่อยกว่านี้ตามความจ าเป็น
เพื่อประเมินภาวะช็อก
เจาะเลือดเพื่อส่งหาหมู่เลือด และขอเลือดเตรียมไว้ให้พร้อมที่จะใช้ได้ทันที
ประเมินดูสาเหตุของการตกเลือดเฉียบพลัย คือ การหดรัดตัวของมดลูก การเหลือค้างของส่วนการตั้งครรภ์ การบาดเจ็บของช่องคลอด เช่น มดลูกแตก และความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด เช่น ภาวะเกล็ดเลือดต่ำหรือการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
ตรวจดูการหดรัดตัวของมดลูก และระดับยอดมดลูก
ให้ยาเพิ่มการหดรัดตัวของมดลูกตามแผนการรักษา
บันทึกจำนวนน้ำที่เข้าและออกจากร่างกาย เพื่อรักษาความสมดุลของน้ำและเกลือแร่
ประเมินกระเพาะปัสสาวะไม่ให้เต็มเนื่องจากจะไปขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูก
มารดาขาดความตระหนักในการดูแลตนเองขณะตั้งครรภ์
การพยาบาล
สอบถามเกี่ยวกับความเข้าใจการดูแลตนเองขณะตั้งครรภ์ เพื่อที่จะให้คำแนะนำได้อย่างถูกต้อง
ให้คำแนะนำแก่หญิงตั้งครรภ์เกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนจากการใช้สารเสพติดเพื่อให้หญิงตั้งครรภ์ปฎิบัติตัวให้ถูกต้องและเหมาะสม
ให้ความรู้แก่มารดาเกี่ยวกับผลกระทบจากการที่ทารกได้รับสารเสพติด และแนะนำการดูแลตนเองแก่มารดาเพื่อให้มารดาตั้งครรภ์อย่างมีประสิทธิภาพ
ทารกเสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากการไหลเวียนเลือดของทารกในครรภ์ไม่สมดุลและการไหลเวียนเลือดที่รกไม่มีประสิทธิภาพ
การพยาบาล
1.ดูแลให้หญิงตั้งครรภ์ Bed rest บนเตียงให้มากที่สุด นอนตะแคงซ้าย เพื่อลดการกดทับของเส้นเลือด Inferior Vena Cava ให้เลือดสามารถไปเลี้ยงทารกได้มากขึ้น
ฟัง FHS สังเกตอาการที่ผิดปกติของทารก FHS 110-160 ครั้ง/นาที (ปกติ) ทุก 30 นาที และตรวจ NST เพื่อการหดรัดตัวของมดลูกที่สัมพันธ์กับอัตราการเต้นของหัวใจทารก หากพบอาการผิดปกติให้ออกซิเจนแก่หญิงตั้งครรภ์และนอนตะแคงซ้าย เพื่อให้ทารกมากขึ้น
สอนวิธีการหายใจเพื่อให้มารดาและทารกได้รับออกซิเจนได้อย่างเพียงพอ คือ หายใจเข้าปอดลึกๆ ช้าๆ โดยการนับจังหวะ 1-2-3-4-5 แล้วค่อยๆ หายใจออกทางปากช้าๆ นับจังหวะ 1-2-3-4-5 ให้เป็นจังหวะตลอดระยะเวลาที่มดลูกบีบตัว (ประมาณ 1 นาที)
เมื่อมดลูกเริ่มคลายจังหวะจะเจ็บน้อยลง ให้หายใจเข้า – ออกเต็มที่อีก 1 ครั้ง แล้วหายใจตามปกติเป็นการเสร็จสิ้น การหายใจลึกและช้า 1 ครั้ง เมื่อมดลูกบีบตัวใหม่จึงค่อยเริ่มการหายใจเข้า
ดูแลให้หญิงตั้งครรภ์ได้รับสารน้ำตามแผนการรักษาของแพทย์ คือ RLS 1000 ml rate 100ml/hr.
ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
💁🏼♀️ ผลกระทบต่อมารดา
:star: สะดือย้อย Prolap cord
:star: หายใจลำบาก หายใจเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้
:star: คลอดก่อนกำหนด
:star: ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
เป็นต้น
:star: ตกเลือดหลังคลอด
👼🏻ผลกระทบต่อทารก
อัตราตายปริกำเนิด จะเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า ในรายที่น้ำคร่ำเยอะโดยไม่ทราบสาเหตุโดยเฉพาะในรายที่เด็กหัวโต
การรักษา
🤰🏻ระยะก่อนคลอด
ควรมีการตรวจสุขภาพทารกในครรภ์เนื่องจากในภาวะครรภ์แฝดน้ำ เพิ่มอัตราตายปริกำเนิดขึ้น 4-5 เท่า จึงจำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังและตรวจติดตามสุขภาพทารกในครรภ์ โดยวิธี nonstress test, contraction stress test, biophysical profile แต่อาจมีข้อจำกัดในเกณฑ์ปริมาณน้ำคร่ำที่เยอะอยู่แล้ว รวมถึงการใช้คลื่นเสียงดอพเลอร์ในการตรวจติดตาม 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์จนกระทั่ง 40 สัปดาห์
🤰🏻กรณีอายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์
ในรายที่มีอาการแทรกซ้อนชนิดรุนแรง แนะนำให้ทำ amnioreductionและอาจพิจารณาให้ร่วมกับ indomethacin ในการควบคุมไม่ให้น้ำคร่ำกลับขึ้นมาเยอะใหม่ ลดความเสี่ยงในการเจาะน้ำคร่ำซ้ำ และควรหยุดเมื่ออายุครรภ์ 32- 34 สัปดาห์ เพื่อป้องกัน การตีบแคบของ ductus arteriosus
🤰🏻กรณีอายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์
ให้เจาะน้ำคร่ำเพื่อบรรเทาอาการได้ ไม่แนะนำให้ indomethaciin แต่ให้ได้กรณีที่ต้องการหลีกเลี่ยงการเจาะน้ำคร่ำหลายๆ ครั้ง
🤱🏻ระยะคลอด
ต้องระวังภาวะน้ำคร่ำแตกรั่ว เพราะอาจทำให้เกิด prolapse cord หรือ abruption. ถ้าจำเป็นต้องเจาะถุงน้ำคร่ำ ให้ค่อย ๆ เจาะและปล่อยน้ำคร่ำให้ไหลออกมาช้า ๆ โดยใช้ Iowa trumpet ในรายที่ต้องเร่งคลอดสามารถใช้ oxytocin หรือ prostaglandins ได้ หลังคลอดทันทีต้องระวังภาวะตกเลือดหลังคลอด การใช้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกหลังคลอดจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด amniotic fluid embolism
นศพต.สุพรรษา สมจิโน เลขที่ 55