Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5
การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มการเจ็บป่วยทางจิตเวช…
บทที่ 5
การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มการเจ็บป่วยทางจิตเวช บุคคลที่มีกลุ่มโรคจากเหตุสะเทือนขวัญและความเครียด
- ความหมาย ลักษณะอาการและอาการแสดงของกลุ่มโรคจากเหตุสะเทอนขวัญและความเครียด
ความหมาย
1.1 ความหมายของกลุ่มโรคจากเหตุสะเทือนขวัญและความเครียด กลุ่มโรคจากเหตุสะเทือนขวัญและความเครียด (trauma- and stressor - related disorder) เป็นกลุ่ม
โรคพบที่ได้ภายหลังการประสบเหตุการณ์ในชีวิต แบ่งออกเป็นโรคชนิดต่างๆหลากหลายโรคด้วยกัน ตามระยะเวลา และความรุนแรงของเหตุการณ์ที่มากระทบ ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะภาวะการปรับตัวผิดปกติ (adjustment
disorder), โรคเครียดแบบเฉียบพลัน (acute stress disorder : ASD) และโรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์สะเทือน
-
1.2
-
- ภาวะการปรับตัวผิดปกติ (adjustment disorder) เป็นการตอบสนองภายใน 3 เดือนนับเริ่มต้น ความกดดันที่เกิดขึ้นในชีวิตที่พบได้ในชีวิตประจำวัน เช่น เลิกกับคนรัก, ปัญหาทางธุรกิจ, ปัญหาในชีวิตสมรส หรือ ความกดดันที่เกิดขึ้นในชีวิตที่เกิดตามพัฒนาการ เช่น การไปโรงเรียน, การแต่งงาน, การคลอดลูก ซึ่งอาจมีด้านเดียว
หรือหลายด้านและอาจเกิดขึ้นครั้งเดียวแล้วจบ เกิดขึ้นซ้ำๆ หรือเกิดขึ้นต่อเนื่องก็ได้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงดานอารมณ์ และพฤติกรรมที่ชัดเจนรุนแรงมากกว่าความรุนแรงของความกดดันที่เกิดขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่สามารถ เข้ากับลักษณะอาการและอาการแสดงของโรคจิตเวชอื่น ๆ หรือไม่ใช่การกำเริบของโรคจิตเวชที่เป็นอยู่เดิม ส่งผลให้ เกิดความบกพร่องที่ชัดเจนในหน้าที่การงาน, การเข้าสังคมหรือหน้าที่อื่น ๆ และเมื่อความกดดันที่เกิดขึ้นหายไป
-
เหตุการณ์ที่มากดดันจะขึ้นอยู่กับบริบทของเหตุการณ์ที่กดดันและปัจจัยด้านวัฒนธรรม แต่การเปลี่ยนแปลงด้าน อารมณ์และพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้นไม่จำเป็นต้องขึ้นกับความรุนแรงของเหตุการณ์ที่มากดดัน
- โรคเครียดแบบเฉียบพลัน (acute stress disorder: ASD) เป็นโรคที่มีอาการและอาการแสดงตั้งแต่
3 วันขึ้นไปจนถึง 1 เดือนหลังเผชิญหรือถูกคุกคามจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เช่น ถูกทำร้ายร่างกายรุนแรง ประสบ อุบัติเหตุรุนแรง การถูกล่วงละเมิดทางใดทางหนึ่ง ลักษณะที่เผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญนั้นอาจเกิดขึ้นโดยตรงด้วย
ตนเอง, เป็นผู้พยานในเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดกับผู้อื่น, การรับทราบว่าเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญหรืออุบัติเหตุ กับครอบครัวหรือเพื่อนสนิท, การประสบเหตุการณ์สะเทือนขวัญหรืออุบัติเหตุซ้ำ ๆ จากงานที่ทำ เช่น พนักงาน หน่วยกู้ภัยที่ต้องเห็นศพ ตำรวจที่ต้องรับทราบข้อมูลการทารุณกรรมเด็กซ้ำ ๆ แต่ไม่รวมถึงการสัมผัสเหตุการณ์
-
- สาเหตุ การบำบัดรกษาของกลุ่มโรคจากเหตุสะเทือนขวัญและความเครียด
สาเหตุ
-
- ภาวะการปรับตัวผิดปกติ (adjustment disorder)
1) ปัจจัยทางด้านชีวภาพ พบว่า ผู้ที่มีประวัติความเจ็บป่วยรุนแรง เรื้อรัง ทุพพลภาพ หรือมีความ ผิดปกติทางด้านสมองมักมีความเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคนี้ได้มากกว่าคนทั่วไป
-
- ความสัมพันธ์ร่วมกันของลักษณะภาวะความกดดันที่เกิดขึ้นในชีวิตทั้งที่พบได้ในชีวิตประจำวัน
และที่เกิดขึ้นตามพัฒนาการกับสภาวะแวดล้อมของผู้ป่วยในขณะนั้น เช่น ขณะบุคคลตั้งครรภ์ใกล้คลอดแล้วสามีเกิด ประสบอุบัติเหตุ ความกดดันย่อมรุนแรงมากกว่าขณะที่บุคคลนั้นตั้งครรภ์แล้วใกล้คลอดตามปกติ
- ผู้ที่มีพื้นอารมณ์แต่กำเนินที่มีความวิตกกังวลสูงจะมีโอกาสเกิดปฏิกิริยารุนแรงต่อเหตุการณ์ กดดันที่เกิดขึ้นในชีวิตและตามมาด้วยภาวะปรับตัวผิดปกติ
- ความเปราะบางทางจิตใจของบุคคล พบว่า ผู้ที่มีประวัติสูญเสียพ่อหรือแม่ หรือมีประสบการณ์ เลวร้ายจากการเลี้ยงดู, ไม่ได้รับความใส่ใจ, ถูกทำร้ายในวัยเด็ก เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้บุคคลเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรค นี้
- โรคเครียดแบบเฉียบพลัน (acute stress disorder: ASD) 1) ปัจจัยทางด้านชีวภาพ พบว่า
- มีความผิดปกติของสารสื่อประสาทได้แก่ norepinephrine และdopamine
- มีการใช้สารเสพติดหรือความผิดปกติด้านระบบประสาทอัตโนมัติที่ไวเกินไป
- มีการหลั่ง glucocorticoid ออกมามากจากการทำลายเซลล์บริเวณ hippocampus receptor ของ glucocorticoid ที่เป็นผลมาจากการอยู่ในเหตุการณ์ที่มีความเครียดในระยะเวลายาวนาน ๆ ซึ่งเมื่อ ตรวจด้วย MRI จะพบว่าผู้ป่วยโรคเครียดแบบเฉียบพลันจะมีขนาดของ hippocampus ที่เล็กลง
-
- ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ มองว่า อาการและอาการแสดงของโรคที่เกิดขึ้นเมื่อความขัดแย้งในจิตไร้ สำนึกถูกกระตุ้นโดยเหตุการณ์ที่รุนแรง ทำให้ผู้ป่วยเกิดพฤติกรรมถดถอยและหันไปใช้กลไกป้องกันตนที่ไม่เหมาะสม
-
- ทฤษฎีทางความคิดและพฤติกรรม มองว่า อาการและอาการแสดงของโรคที่เกิดขึ้นมีความ เชื่อมโยงกับการเผชิญหรือถูกคุกคามจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในชีวิตกับสิ่งที่เตือนให้นึกถึงการเผชิญหรือ
ถูกคุกคามจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้น เช่น ภาพ เสียง กลิ่น ทำให้พอเจอสิ่งเตือนให้นึกถึงการ เผชิญหรือถูกคุกคามจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นก็จะมีอาการ หวาดกลัวราวกับเจอเหตุการณ์ สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นจริง ๆ
- โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (post-traumatic stress disorder: PDST) มีสาเหตุ เหมือนผู้ป่วยโรคเครียดแบบเฉียบพลันดังกล่าวไปแล้วข้างต้น
-
- ภาวะการปรับตัวผิดปกติ (adjustment disorder) ประกอบด้วย 2 ส่วนที่สำคัญ คือ
1) การบำบัดด้วยยา เพื่อบรรเทาความรุนแรงของอาการโดยในระยะแรกจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถ ปรับตัวที่ดีขึ้น เช่น ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้า, วิตกกังวลสูง อาจจะได้ยาคลายกังวลหรือยาแก้ซึมเศร้า ซึ่งการได้รับการ
บำบัดด้วยยาจะใช้ในระยะเวลาสั้น ๆ เป็นวันหรือสัปดาห์และต้องระมัดระวังหากได้รับยาในกลุ่ม benzodiazepine
-
2) การบำบัดทางจิตใจ เป็นการบำบัดที่สำคัญที่สุดเพื่อลดอาการของผู้ป่วย และช่วยเหลือให้ผู้ป่วย มีการปรับตัวที่ดีขึ้นอย่างน้อยก็เท่าเดิมก่อนที่จะเกิดปัญหา โดยมีเป้าหมายระยะยาวเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน
-
- โรคเครียดแบบเฉียบพลัน (acute stress disorder: ASD) มักเป็นใช้การบำบัดด้วยยาร่วมกับการ บำบัดทางจิตใจ
1) การบำบัดด้วยยา ซึ่งยาหลักที่ใช้ในการบำบัด คือ ยาในกลุ่ม SSRIs เช่น sertraline, paroxetine ส่วนยาในกลุ่ม TCAs เช่น amitriptyline, imipramine ก็สามารถใช้ในการบำบัดได้เช่นกัน โดยขนาดยาที่ได้รับจะได้ เท่ากับที่ใช้ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและจะได้รับยาต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ปี
-
เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เผชิญมาเท่าที่ผู้ป่วยต้องการ โดยไม่ต้องลงรายละเอียดของเหตุการณ์เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยแย่ลง อีก นอกจากนี้ยังต้องช่วยแนะนำวิธีการปรับตัว การใช้เทคนิคการผ่อนคลายความเครียด (relaxation techniques)
-
- โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (post-traumatic stress disorder: PDST) นอกจากการ
บำบัดจะเหมือนผู้ป่วยโรคเครียดแบบเฉยบพลันดังกล่าวไปแล้วข้างต้น การบำบัดทางจิตใจในผู้ป่วยโรคเครียดหลังผ่าน
เหตุการณ์สะเทือนขวัญ จะมีการบำบัดด้วยจิตบำบัดหลายรูปแบบ เช่น ให้ผู้ป่วยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ
อีกครั้งผ่านการจินตนาการ ( exposure therapy) หรือการสอนวิธีการปรับตัวกับภาวะเครียด ( stress management) และการให้ผู้ป่วยนึกภาพเหตุการณ์สะเทือนขวัญไปพร้อมกับมองตามนิ้วมือของผู้บำบัดที่เคลื่อนไหว ไปมาตามขวาง (eye movement desensitization and reprocessing : EMDR)
- การพยาบาลบุคคลที่มีกลุ่มโรคจากเหตุสะเทือนขวัญและความเครียด
การพยาบาล
-
ควรที่จะครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และความคิดแล้ว ควรที่ต้องหาสาเหตุ ผลกระทบ วิธีการ ตอบสนองของผู้ป่วยต่อของความกดดันที่เกิดขึ้นในชีวิตหรือเหตุสะเทือนขวัญและความเครียดที่เผชิญหรือถูกคุกคาม ให้ชัดเจน รวมทั้งระดับความรุนแรง ระยะเวลาความผิดปกติที่เกิดขึ้น
-
หลังรวบรวมข้อมูล อาจพบว่าผู้ป่วยโรคโรคจากเหตุสะเทือนขวัญและความเครียดนั้นอาจมีปัญหาต่าง ๆที่ ต้องการการช่วยเหลือให้การพยาบาล เช่น
- การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันบกพร่อง
- หวาดกลัวจนไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวัน บทบาทและหน้าที่ของตนเองได้ตามปกติ
-
- แยกตัวจากสังคม กลัวการเข้าสังคม
- การเผชิญปัญหาไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ใช้สารเสพติดหรือใช้ยาระงับประสาท
- การรับรู้ ความคิด และสมาธิบกพร่อง
- มีอารมณ์ซึมเศร้าหรือพยายามทำร้ายตนเอง
3) การวางแผนและการปฏิบัติทางการพยาบาล (planning and implementation) มีเป้าหมายเพื่อช่วยลดอาการและช่วยเหลือให้ผู้ป่วยมีการปรับตัวที่ดีขึ้นอย่างน้อยก็เท่าเดิมก่อนท่ีจะเกิด
ปัญหา ซึ่งในระยะยาวหากสามารถทำได้ก็เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการต่อสู่ปัญหาของผู้ป่วย พยาบาลจึง ควรช่วยให้ผู้ป่วยในสิ่งต่าง ๆเหล่านี้ ได้แก่
- เข้าใจและสามารถระบายปัญหาความกดดันทางจิตใจออกมาได้
- มีวิธีการแก้ปัญหาได้ดีขึ้น
การปฏิบัติการพยาบาล มุ่งเน้นในการช่วยลดอาการ มีการปรับตัวที่ดีขึ้นหรือเ ท่าเดิม และเกิดการ เปลี่ยนแปลงในวิธีการต่อสู่ปัญหาของผู้ป่วย จนสามารถประกอบกิจวัตรประจำวันตามบทบาทและหน้าที่ของตนเองได้ ตามปกติ โดย
- สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด (therapeutic relationship) ที่ดีกับผู้ป่วยเพื่อให้เกิดความไว้วางใจ โดยพยาบาลมีการยอมรับ (accept) อาการของผู้ป่วยทั้งความรู้สึกทางด้านบวก ด้านลบ และความรู้สึกไม่สุขสบาย ของผู้ป่วย ด้วยการตั้งใจรับฟัง ใส่ใจกับคำพูดและการกระทำที่ผู้ป่วยแสดงออกมา ซึ่งจะช่วยให้พยาบาลได้ข้อมูลที่เป็น
ปัญหาของผู้ป่วย และแสดงออกถึงความเข้าใจ (empathy) ผู้ป่วย เช่น การใช้เทคนิคสะท้อนความรู้สึก (reflecting)
-
- สนับสนุนให้ผู้ป่วยได้มีสำรวจ พูด สิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นกับตนเอง ทั้งทางด้านความรู้สึกไม่สบายใจ วิตก
กังวล พฤติกรรม ความกดดันต่าง ๆ การเผชิญต่อปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ก็ เพื่อให้ผู้ป่วยตระหนักรู้ เข้าใจ และระบายความกดดันทางจิตใจออกมาได้
- หลังระดับความกดดันทางจิตใจลดลงแล้ว จึงช่วยให้ผู้ป่วยได้มีการพัฒนาในสิ่งใหม่และมีกลไกการ ปรับตัวที่เหมาะสม โดยให้ผู้ป่วยสำรวจถึงวิธีการเดิมที่เคยใช้ในการการปรับตัวเพื่อลดความความกดดันทางจิตใจใน
-
- ช่วยให้ผู้ป่วยได้เห็นถึงวิธีการและขั้นตอนต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพและไม่มีประสิทธิภาพในการปรับตัว
เพื่อลดความกดดันต่าง ๆ และเพิ่มการปรับตัวเพื่อลดความวิตกกังวลด้วยการนำวิธีการที่เหมาะสมสร้างสรรคมาใช้
เช่น การฝึกและใช้การผ่อนคลาย (relaxation exercise) การทำงานอดิเรก (hobbies) การทำกิจกรรมเพื่อพักผ่อน หย่อนใจ (recreational activity)
- ให้คำแนะนำหรือให้ความเห็นเพื่อช่วยในการตัดสินใจในการปรับตัวในการลดความกดดันต่าง ๆ หาก ผู้ป่วยไม่สามารถตัดสินใจได้เอง หรือการตัดสินใจอาจยังไม่เหมาะสม
- กรณีสภาพแวดล้อมของผู้ป่วยเป็นสิ่งกดดน เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล
-
- สนับสนุนให้ผู้ป่วยได้รับการบำบัดในรูปแบบต่าง ๆที่เหมาะสมกับปัญหาความกดดันของผู้ป่วย เช่น การบำบัดครอบครัว (family therapy) กรณีความกดดันมาจากสมาชิกในครอบครัว การบำบัดพฤติกรรม (behavior
therapy) ที่เป็นเหตุกดดันของปัญหา หรือหากผู้ป่วยขาดความมั่นใจ กำลังใจ หรือไม่มีแนวทางในการจัดการความ กดดันอาจสนับสนุนให้เข้ารับการบำบัดร่วมกันกับผู้ป่วยในกลุ่มที่มีปัญหาคล้ายกัน (self-help groups)
กรณีผู้ป่วยโรคเครียดแบบเฉียบพลัน (acute Stress disorder : ASD) และผู้ป่วยโรคเครียดหลังผาน เหตุการณ์สะเทือนขวัญ (post-traumatic stress disorder : PDST)
- สนับสนุนให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกปลอดภัย โดยจัดสิ่งแวดล้อมหรือสถานที่ที่ปลอดภัย มีคนที่คุ้นเคย ดูแลประคับประคอง มีกิจวัตรที่คุ้นเคยตามปกติ
- ให้ความรู้เกี่ยวกับการสนองตอบหลังการเผชิญหรือถูกคุกคามเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เพื่อความเข้าใจ และตระหนักในตนเอง
- สนับสนุนให้ผู้ป่วยได้รับการบำบัดในรูปแบบต่าง ๆที่เหมาะสมกับปัญหาความกดดันของผู้ป่วย เช่น การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (cognitive behavior therapy) ในการปรับวิธีคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วยในการ สนองตอบต่อเหตุการณ์สะเทือนขวัญ หรือการบำบัดเพื่อช่วยให้สมองผู้ป่วยได้จัดการข้อมูลของประสบการณ์จาก
-
ด้วยการบำบัดที่ใช้การกระตุ้นสองฝั่งร่างกาย เช่น การกรอกตา (eye movement desensitization and reprocessing: EMDR)
- ดูแลให้ยาตามแผนการรักษาเพื่อควบคุมและลดระดับอาการและอาการแสดงของโรค
-
จะประเมินตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นสามารถประเมินได้จากการบอกกล่าวของผู้ป่วยเอง ครอบครัวผู้ป่วย หรือจากการสังเกตจากพยาบาล ข้อบ่งชี้ที่แสดงให้เห็นว่าการพยาบาลได้ผลทางบวกได้แก่
- สามารถบอกวิธีในการเผชิญหรือแก้ปัญหาของตนเองได้
-
-
- ประกอบกิจวัตรประจำวัน บทบาทและหน้าที่ของตนเองได้
สรุป
คือ
-
-
แสดงออกที่ผิดปกติต่อบุคคล ซึ่งไม่ได้ขึ้นกับความรุนแรงของเหตุการณ์ความกดดันหรือเหตุสะเทือนขวัญความเค แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวในการเผชิญกับความกดดันหรือเหตุสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้น การ พยาบาลผู้ป่วยโรคจากเหตุสะเทือนขวัญและความเครียด จึงมุ่งเน้นในการช่วยลดอาการที่เกิดขึ้นไม่ให้คงอยู่น หรือจัดการอาการที่เกิดขึ้นให้หมด และช่วยเหลือให้ผู้ป่วยมีการปรับตัวที่ดีขึ้นหรืออย่างน้อยก็เท่าเดิมก่อนตาม ความเหมาะสม ซึ่งในระยะยาวผู้ป่วยเกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการต่อสู่ปัญหาจนสามารถประกอบกิจวัตร ประจำวันได้ตามปกติ