Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5 การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีการารเจ็บป่วยทางจิตเวช …
บทที่ 5
การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีการารเจ็บป่วยทางจิตเวช
โรคความผิดปกติของการรับประทานอาหาร
ความหมาย ลักษณะอาการและอาการแสดงของโรคความผิดปกติของการรับประทานอาหาร
1.1 ความหมายของโรคความผิดปกติของการรับประทานอาหาร
คือ
โรคความผิดปกติของการรับประทานอาหาร (eating disorder) เป็นกลุ่มอาการของโรคทางจิตเวช
บุคคลมีความคิด ความรู้สึก ต่อรูปร่าง น้ำหนัก และการกินอาหารของตนที่บิดเบือนจากความเป็นจริงอย่างรุนแรง ส่งผลทำให้บุคคลมีลักษณะความผิดปกติของพฤติกรรมการรับประทานอาหาร มีความเข้มงวดกับการพยายามลด หรือควบคุมน้ำหนักอย่างมาก โดยมีกลวิธีทั้งการอดอาหาร การหักโหมออกกำลังกาย และทำให้ตนอาเจียนออก หลังจากรับประทานอาหาร ซึ่งกลวิธีดังกล่าวส่งผลการพัฒนาการด้านจิตใจ ชีวภาพ จิตสังคมของบุคคลนั้น
ความผิดปกติของการกิน (eating disorder) ที่พบได้บ่อยมี 2 ชนิด ได้แก่ อนอเรคเซีย เนอร์โวซ่า (anorexia nervosa) และบูลิเมีย เนอร์โวซ่า (bulimia nervosa)
1.2 ลักษณะอาการและอาการแสดงของโรคความผิดปกตของการรับประทานอาหาร
อาการและอาการแสดง
อนอเรคเซีย เนอร์โวซ่า (anorexia nervosa) เป็นภาวะที่บุคคลปฏิเสธการมีน้ำหนักตัวปกติ มีความ วิตกกังวลเกี่ยวกับน้ำหนักตัวของตนเองตลอดเวลา มีความกลัวอย่างรุนแรงเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวหรือ
กลัวอ้วนมากๆ ทั้งที่มีน้ำหนักตัวน้อย และไม่คำนึงถึงผลกระทบของร่างกายที่เกิดจากการปฏิเสธอาหาร เป็นความ ผิดปกติทางจิตเวชเรื้อรังชนิดหนึ่งที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุด ซึ่งอนอเรคเซีย เนอร์โวซ่าสามารถจำแนกเป็น 2 แบบ ได้แก่
แบบที่ 1 แบบจำกัด (restricting type) คือ ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมแบบรับประทานมากและไม่มีการ ขับอาหารออกจากร่างกาย (binge eating / purging type) เช่น ทำให้ตนเองอาจาเจียน หรือการใช้ยาระบาย ยาขับ ปัสสาวะ หรือยาสวนถ่ายอย่างพร่ำเพรื่อ ในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา
แบบที่ 2 แบบรับประทานมากและมีการขับอาหารออกจากร่างกาย (binge eating / purging type) คือ ผู้ป่วยมีพฤติกรรมรับประทานมากและมีการขับอาหารออกจากร่างกาย (binge eating / purging type) เช่น ทำให้ตนเองอาจาเจียน หรือการใช้ยาระบาย ยาขับปัสสาวะ หรือยาสวนถ่ายอย่างพร่ำเพรื่อ ในระยะ 3 เดือนที่ ผ่านมา
โดยอนอเรคเซีย เนอร์โวซ่าจะมีลักษณะอาการและอาการแสดงดังต่อไปนี้
ผู้ป่วยปฏิเสธการรับประทานอาหารเพื่อคงไว้ซึ่งน้ำหนักตัวในระดับปกติ เพราะกลัวน้ำหนักที่จะ เพิ่มขึ้นจากการรับประทานอาหาร หรือมีความรู้สึกกังวลและกลัวว่าตนเองจะอ้วนมากเกินไป กลายเป็นความคิด หมกมุ่นอยู่กับรูปร่างและน้ำหนักตัวของตนเอง แม้ว่าตนเองจะมีน้ำหนักตัวน้อย ทำให้ผู้ป่วยบางรายไม่รู้สึกอยาก รับประทานอาหารหรือบางรายอาจมีความอยากรับประทานอาหารเป็นปกติ แต่พยายามอดทนหรือเก็บกดไว้เพื่อ พยายามควบคุมน้ำหนักของตนเอง หรือพยายามที่จะลดน้ำหนักด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การออกกำลังกายอย่างหักโหม งดรับประทานอาหารอย่างคร่งครัด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้ป่วยน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ปกติอย่างมีนัยสำคัญ และปฏิเสธที่ จะคงน้ำหนักตัวไว้ที่ระดับต่ำสุดหรือสูงกว่าระดับต่ำสุดของน้ำหนักตัวปกติตามอายุและส่วนสูง นั่งก็คือการมีน้ำหนักตัว น้อยกว่าน้ำหนักตัวมาตรฐานขั้นต่ำที่ควรจะเป็น สำหรับเด็กและวัยรุ่นการมีน้ำหนักตัวน้อยน้อยกว่าน้ำหนักตัวมาตรฐาน ขั้นต่ำที่ควรจะเป็นพิจารณาด้วยเกณฑ์ของ อายุ เพศ ระยะพัฒนการ และภาวะสุขภาพทางกาย เป็นต้น
ผู้ป่วยจะให้คุณค่ากับตนเองในการประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักตัวและรูปร่าง การ
ประเมินตนเองของผู้ป่วยจึงขึ้นอยู่กับเรื่องน้ำหนักตัวหรือรูปร่าง ในผู้ป่วยอนอเรคเซีย เนอร์โวซ่า (anorexia nervosa)
นจะมีความผิดปกติในการรับรู้ตนเองเกี่ยวกับน้ำหนักตัวหรือรูปร่างของตน หรือปฏิเสธความรุนแรงของน้ำหนักตัวที่ต่ำ อยู่ในขณะนั้น
ผู้ป่วยมักมีความคิดเห็นกี่ยวกับผู้อื่นผิดปกติไปเพราะมักคิดว่าตนเองปกติแต่ผู้อื่นผิดปกติ ทำให้ เกิดการปฏิเสธการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนักและความผอมของตนเอง รูปแบบความคิดไม่ยืดหยุ่นและไม่ ยอมรับความเป็นจริงนส่งผลให้การให้ประวัติในการรักษาของผู้ป่วยไม่ตรงตามความจริง
ผู้ป่วยมักมีการขาดประจำเดือนร่วมด้วย ส่วนใหญ่จะแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นตอนต้น
บูลิเมีย เนอร์โวซ่า (bulimia nervosa) เป็นภาวะที่ร่างกายมีความรู้สึกผิดปกติ เห็นอาหารแลวเกิด ความอยากบริโภคและบริโภคได้ในปริมาณมากกว่าปกติ โดยไม่สามารถควบคุมตนเองได้ โดยเฉพาะอาหารประเภท
แป้งและน้ำตาล การบริโภคอาหารแต่ละครั้งจะบริโภคในปริมาณมากในเวลารวดเร็ว เมื่อบริโภคเสร็จแล้วจะรู้สึกผิด ไม่สบายใจ และพยายามเอาอาหารที่บริโภคเข้าไปออกด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ล้วงคอให้อาเจียน กินยาระบาย หรือ ออกกำลังกายอย่างหนักติดต่อกันนานหลายชั่วโมง เพื่อใช้พลังงานจากอาหารที่บริโภคให้หมด หรือบางคนอาจใช้
วิธีการอดอาหาร 2-3 วันเพื่อชดเชยปริมาณพลังงานที่ได้รับจากอาหารที่บริโภคไปในปริมาณมากมาก่อนหน้า และ ก่อนหน้าที่ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารมากผิดปกติ ผู้ป่วยมักจะมีความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น รู้สึก
เหงา เบื่อ หรือมีปัญหาด้านสัมพันธภาพมาก่อน โดยลักษณะอาการและอาการแสดงของบูลิเมีย เนอร์โวซ่า (bulimia nervosa)ดังนี้
มีการรับประทานอย่างมากป็นระยะๆ ซงึ่ ช่วงดงั ล่าวอาจมลักษณะ 2 ประการ คือ
ลักษณะที่ 1 มีช่วงของการรับประทานที่รับประทานอาหารในช่วงเวลาสั้นๆ ครั้งละมากๆ มากกว่าคนทั่วไปจะบริโภคได้ในช่วงเวลาและในสถานการณ์ที่เท่ากันหรือคล้ายคลึงกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลา
รับประทานอาหารน้อยกว่า 2 ชั่วโมง
ในระยะแรกผู้ป่วยจะรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่ได้รับประทานอาหาร ทำให้ไม่สามารถหยุด พฤติกรรมการรับประทานอาหารของตนเองได้ ผู้ป่วยจะพยายามปกปิดอาการที่ตนเป็น โดยอาจรับประทานในที่ลับ ตาคน หรือสำรองอาหารไว้ในรถหรือเลือกการรับประทานอาหารประเภทอาหารจานด่วน (fast food) และเปล่ียน
ร้านไปเรื่อยๆเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นรู้ว่าตนเองรับประทานอาหารไปจำนวนมากเท่าใด โดยพบว่าผู้ป่วยอาจขับรถไป
รับประทานอาหารจานด่วน (fast food) จำนวน 6 -7 ร้านภายในระยะเวลา 1 – 2 ชั่วโมง โดยพฤติกรรมที่แสดงออก ดังกล่าวมานี้มีระยะเวลาที่แสดงออกมานานเป็นปีกว่าที่ครอบครัวหรือเพื่อนใกล้ชิดจะสังเกตเห็น
ลักษณะที่ 2 มีความรู้สึกว่าไม่สามารถที่จะควบคุมการรับประทานได้ในระหว่างนั้น เช่น รู้สึกว่า
ตนเองหยด
การรับประทานไม่ได้หรือควบคุมชนด
หรือปริมาณอาหารไม่ได
แสดงออกทางพฤติกรรมชดเชยในลักษณะที่ไม่เหมาะสมอยู่เป็นระยะๆ ในการพยายามป้องกัน น้ำหนักไม่ให้เพิ่มขึ้น เช่น ทำให้ตนเองอาเจียน ใช้ยาระบาย ใช้ยาขับปัสสาวะ หรือใช้ยาสวนถ่ายหรือยาอื่นอย่าง ไม่หมาะสม อดอหารติดต่อกัน 3 - 4 วัน หรือ ออกกำลังกายอย่างหักโหมติดต่อกันมากกว่า 5 ชั่วโมง
มีทั้งการรับประทานที่มากกว่าปกติ และพฤติกรรมชดเชยที่ไม่หมาะสม เกิดขึ้นเฉลี่ยอย่างน้อย
สัปดาห์ละ 2 ครั้งเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน 3 เดือน
มีการประเมินตนเองเกี่ยวกับเรื่องของน้ำหนักตัวหรือรูปร่างอย่างมาก
ความผิดปกติดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในช่วงของ anorexia nervosa ที่บุคคลมีการปฏิเสธการ
มีน้ำหนักตัวปกติ, ความวิตกกังวลเกี่ยวกับน้ำหนักตัวของตนเองตลอดเวลาหรือมีความกลัวอย่างรุนแรงเกี่ยวกบ เพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวหรือกลัวอ้วนมากๆทั้งที่มีน้ำหนักตัวน้อยเท่านั้น
การ
สาเหตุ การบำบัดรกษาโรคความผิดปกติของการรับประทานอาหาร
สาเหตุ
2.1 สาเหตุของโรคความผิดปกตของการรับประทานอาหาร
ความผิดปกตของการกินเป็นภาวะที่ซับซ้อน ไม่ได้เกดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารเท่านั้น แต
ยังเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ปัจจย
ที่ทำให้เกิดความผิดปกติของการรับประทานอาหาร มด
งั นี้
1) ปัจจัยด้านชีวภาพ (biological factors)
ด้านพันธุกรรม จากการศึกษาพบว่า ปัจจัยด้านพันธุกรรมส่งผลทำให้บุคคลมีโอกาสเกิดความ ผิดปกติของการรับประทานอาหาร คือ บุคคลที่เป็นอนอเรคเซีย เนอร์โวซ่า พบว่า คู่แฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกันมี โอกาสเสี่ยงที่จะเป็นร้อยละ 44 คู่แฝดที่เกิดจากไข่คนละใบ มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นร้อยละ 12.5 และบุคคลท่ีเป็นบลิ
เมีย เนอร์โวซ่า พบว่า คู่แฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นร้อยละ 22.9 และคู่แฝดที่เกิดจากไข่คนละ ใบ มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นร้อยละ 8.7 แต่ยังไม่ทราบวิธีการถ่ายทอดทางที่ชัดเจน
ด้านสารสื่อประสาทในสมอง จากการศึกษาพบว่าความผิดปกติของการรับประทานอาหารกับ โรคซึมเศร้า (depression disorder) มีความสัมพันธ์กับสารสื่อประสาทในสมอง (neurotransmitters) จากผลร ศึกษาปัจจัยทางซวภาพพบว่ มีความส้มพันธ์กับความผิดปกติของระบบซีโรโทนิน (serotonin) มากที่สุด ซึ่งพบว่า
บุคคลที่มีความผิดปกติของการรับประทานอาหารทั้ง 2 กลุ่ม มีการตอบสนองกับการรักษด้วยยาต้านเศร้า
(antidepressant drugs) ซึ่งยาไม่ได้ชวยให้ความผิดปกติของการรับประทานอาหารหาย แต่จะช่วยลดอาการแสดง
ของโรคลง จึงเชื่อว่าความผิดปกติของการรับประทานอาหารน่าจะเกิดจากความผิดปกติของสารสื่อประสาทซีโรโทนนิ (serotonin) ซึ่งเป็นตัวควบคุมอารมณ์และความพึงพอใจ
ปัจจัยทางด้านจิตใจ (psychological factors)
พัฒนาการของจิตใจ เนื่องจากโรคนี้มักพบมากในกลุ่มวัยรุ่น จึงมีการสันนิษฐานว่าการ พัฒนาการของจิตใจน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความผิดปกติของการการรับประทานอาหาร ซิกมันด์ ฟรอยด์
(Sigmund Freud) ผู้เขียนทถษฎีจิตวิเคราะห์ (psychoanalytic theories) อธิบายว่า บุคคลที่เป็นอนอเรคเซีย เนอร์ โวซ่า เกิดจากความพยายามยับยั้งแรงขับทางเพศในระดับจิตใต้สำนึกของตนเองที่เพิ่มขึ้นในระยะวัยรุ่น ซึ่งมี
พัฒนาการติดอยู่ที่ระยะปาก (oral stage) วัยรุ่นจึงให้ความหมายความพึงพอใจจากการรับประทานอาหาร เหมือนกับ ว่าเป็นความพึงพอใจทางเพศ และวัยรุ่นเป็นวัยที่มีสถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น ความต้องการเป็นตัว
ของตนเอง มีอิสระทางความคิด มีการพัฒนาด้านเอกลักษณ์ และขณะเดียวกันวัยรุ่นจะให้ความสำคัญกับรูปร่าง หน้าตาของตนเองเป็นพิเศษ โดยมีความคิดว่าความรู้สึกมีคุณค่าของตนเองอยู่ที่รูปร่างหน้าตามากกว่าอย่างอื่น วัยรุ่น จึงให้ความสำคัญกับการควบคุมน้ำหนัก เพื่อให้ตนเองมีรูปร่างสวยงามตามการรับรู้ของตนเอง ส่งผลให้มีความเสี่ยงตอ่ การเกิดความผิดปกติของการรับประทานอาหารได้สูงกว่าวัยอื่น ๆ
บุคลิกภาพ บุคคลที่มีบุคลิกภาพพื้นฐานลักษณะเจ้าระเบียบ จริงจัง ต้องการความสำเร็จสูง ทำ
ทุกอย่างสมบูรณ์แบบอยู่ตลอดวลา (perfectionist) และบุคคลที่มีบุคลิกภาพไม่ค่อยแสดงอารมณ์ ขาดทักษะในการ ใช้ชีวิตในสังคม มีปัญหาความขัดแย้งในจิตใจ ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองต่ำ (low self-esteem) ขาดความมั่นใจใน ตนเอง (self-doubts) ไม่กล้าตัดสินในในเรื่องต่างๆ ด้วยตนเอง มักทำตามความคาดหวังของผู้อื่นเพื่อให้ผู้อื่นยอมรับ
บุคคลที่มีบุคลิกภาพแบบนจะหันเหความสนใจของการมีคุณค่าในตนเองมาที่น้ำหนักและรูปร่างแทน มีการมองภาพ
ตนเองบิดเบือนมองเห็นสัดส่วนร่างกายอ้วนไปทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อ้วน ปฏิเสธว่าไม่หิว แยกแยะความหิวไม่ได้ ส่งผลให้ บุคคลกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความผิดปกติของการรับประทานอาหารได้
ลักษณะการเลี้ยงดู พบว่า มารดาที่มีลักษณะปกป้องลูกมากเกินไป(overprotection) เจ้า ระเบียบและกลัวการพลัดพรากมากผิดปกติ หรือครอบครัวที่บิดามีลักษณะเข้มงวดในกฎระเบียบมาก หรือไม่ค่อย
แสดงออก ย้ำคิดย้ำทำและขาดความชื่อมั่นในตนเอง บุคคลนั้นจะรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถควบคุมสิ่งใดได้เลยรวมทั้ง การรับประทานอาหาร อาจแสดงอาการเก็บกดด้านจิตใจ ขาดความเชื่อมั่นในตนเองไม่สามารถตัดสินใจหรือแก้ไข ปัญหาได้ด้วยตนเอง หรือเกิดความรู้สึกขัดแย้งในใจ จึงใช้วิธีการควบคุมน้ำหนักและการรับประทานอาหารอย่าง จริงจัง เพื่อแสดงว่าตนเองมีความสามารถในการควบคุมบางอย่างได้ ใช้การปฏิเสธอาหารเพื่อแสดงอำนาจต่อต้าน
ความต้องการของพ่อแม่ ดังนั้นบุคคลที่มาจากครอบครัวที่มีการเลี้ยงดูลักษณะนี้จึงมีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความ ผิดปกติของการรับประทานอาหารได้
3) ปัจจยทางสังคมและวัฒนธรรม (sociocultural factors)
สัมพันธภาพในครอบครัว บุคคลที่มีลักษณะสัมพันธภาพในครอบครัวไม่ค่อยดีมีความขัดแยัง
เกิดขึ้นภายในครอบครัว หรือครอบครัวที่เกดการหย่าร้าง การทารุณกรรมทางเพศหรือคนในครอบครัวมปัญหาการตด
สุราเรื้อรัง จากงานวิจยพบว่าบุคคลหล่นี้จะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดควาผิดปกตของของการรับประทานอาหารได้สูง
กว่าครอบครัวที่สัมพันธภาพในครอบครัวดี
สังคมเมืองที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอุตสหกรรม มีฐานะทางสังคมและ เศรษฐกิจดี ทำให้บุคคลต้องใช้ความสวยงามและรูปร่างของตนเองในการประกอบอาชีพ เช่น ดารา, นักแสดง, นางแบบ และนายแบบ เป็นต้น จะพบว่าบุคคลกลุ่มนี้มีโอกาสเกิดความผิดปกติของการรับประทานอาหารได้มากกว่า
บุคคลกลุ่มอื่น ๆ และเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ส่งผลให้กลุ่มวัยรุ่นในสังคมปัจจุบันมีการเปรียบเทียบรูปร่างของตนเองกับ มาตรฐานความงามของบุคคลในอุคคติที่สังคมยกย่อง ทำให้วัยรุ่นเกิดความรู้สึกที่ไม่พอใจในรูปร่างของตนเอง เกิด ความกดดันและแสวงหาวิธีการลดความอ้วนที่ไม่ถูกต้อง เช่น การอดอาหารอย่างรุนแรง การใช้ยาลดความอ้วน ยา ระบาย รวมไปถึงการล้วงคอให้อาเจียน นำไปสู่การเกิดความผิดปกติของการรับประทานอาหารแบบเรื้อรังในที่สุด
2.2 การบำบัดรักษาโรคความผิดปกติของการรับประทานอาหาร โรคความผิดปกติของการรับประทานอาหาร เป็นโรคที่มีความซับซ้อนที่ต้องใช้ทีมสหสาขาวิชาชีพ
ช่วยกันดูแลซึ่งประกอบด้วย จิตแพทย์ อายุรแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา นักโภชนาการ นักสังคมสังเคราะห์ และนัก อาชีวบำบัด โดยพยาบาลจะมีบทบาทเป็นผู้ประสานความร่วมมือและวางแผนการรักษาร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ และนำการดูแลรักษาสู่การปฏิบัติ ซึ่งรูปแบบของการบำบัดรักษาโรคความผิดปกติของการรับประทานอาหารมี ดังต่อไปนี้
1) การบำบัดรักษาทางกาย อายุรแพทย์จะดูแลรักษาภาวะแทรกซ้อนทางร่างกายตามอาการ ที่เกิดขึ้น ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหญ่มาจากสาเหตุภาวะขาดสารอาหารของบุคคลที่มีความผิดปกติของการ
รับประทานอาหาร โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นอนอเรคเซีย เนอร์โวซ่า มากกว่าร้อยละ 15 จะมีน้ำหนักต่ำกว่า เกณฑ์มาตราฐาน จึงต้องการการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดให้ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอไม่ว่าจะทางปาก ทาง
สายให้อหาร หรือทางหลอดเลือดดำ โดยระยะแรกจะเริ่มให้สารอาหารประมาณ 1,000-1,600 kcal/day และ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง 3,000-4,000 kcal/day เป้าหมายของการเพิ่มน้ำหนักประมาณ 1-1.4 กิโลกรัม/สัปดาห์
ในกรณีที่รับการรักษาเปนผู้ปว
ยใน และ 0.5 กิโลกรัม/สัปดาห์ในกรณีที่รับการรกษาเป็นผป
่วยนอก และควรให้
บุคคลที่มีความผิดปกติของการรับประทานอาหารมีส่วนร่วมในการควบคุมน้ำหนัก และการเลือกการ
รับประทานอาหาร ของตนเองให้มากที่สุดหากไม่ได้อยู่ในภาวะอันตราย นอกจากการขาดสารอาหารปัญหา สำคัญอีกอย่าง คือ การขาดความสมดุลของสารน้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งโปแตสซียมที่มีระดับต่ำกว่าปกติ ซึ่ง ผลข้างเคียงนี้จะสัมพันธ์กับพฤติกรรมล้วงคออาเจียน ดังนั้นการดูแลให้ได้รับสารน้ำตามความต้องการของ ร่างกายและติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ จึงมีความจำเป็นอย่างมาก
2) การบำบัดรักษาด้วยยา (pharmacotherapy) ยาที่ใช้รักษาบุคคลที่มีความผิดปกติของการ รับประทานอาหารมีดังนี้
ยาต้านเศร้ากลุ่ม selective serotonin reuptake inhibitor (SSR) ได้แก่ ยาฟูลออกซีทีน (fluoxetine) ใช้รักษาบุคคลที่เป็นอนอเรคเซีย เนอร์โวซ่า และบุคคลที่เป็นบูลิเมียเนอร์โวซ่า
ยาต้านเศร้ากลุ่ม tricyclic antidepressant (ICAs) ได้แก่ ยาอะมิทริปไทลีน (amitriptyline)
และยาอิมิพรมิน (imipramine) ใช้รักษาบุคคลที่เป็นบูลิเมีย เนอร์โวซ่า
ยาต้านโรคจิตกลุ่มใหม่ ได้แก่ ยาโอลานชาปืน ( olanzapine) และ ยาริสเพอริโดน
(risperidone) ใช้รักษาบุคคลที่เป็นอนอเรคเซีย เนอร์โวซ่า
ยากระตุ้นความอยากอาหาร ได้แค่ megestrol acetate ใช้รักษาบุคคลที่เป็นอนอเรคเซีย
เนอร์โวซ่า
3) จิตบำบัดรายบุคคล (individual psychotherapy) เป็นการรักษาอันดับแรก ๆ ในบุคคลที่มี
ความผิดปกติของการรับประทานอาหาร ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ปี ซึ่งจะช่วยให้บุคคลท่ีมี ความผิดปกติของการรับประทานอาหารเข้าใจ ยอมรับการเจ็บป่วย และให้ความร่วมมือในการรักษาเพิ่มขึ้น การทำ
จิตบำบัดยังช่วยรักษาด้านจิตใจของบุคคลที่มีความผิดปกติของการรับประทานอาหารเกิดความรู้สึกล้มหลวจากการไม่ สามารถควบคุมน้ำหนักหรือจำกัดอาหารไดสำเร็จ ตลอดจนสอนทักษะการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น และให้การบำบัด เชิงรุก เช่น เทคนิคการปรับพฤติกรรมเพื่อจัดการกับอาการแสดงที่เกิดขึ้น
4) การบำบัดความคิด (cognitive therapy) บุคคลที่มีความผิดปกติของการรับประทานอาหาร ส่วนใหญ่จะมีความคิดและความเชื่อที่สัมพันธ์กับอาหาร น้ำหนัก มโนทัศน์แห่งตน (self-concept) และสัมพันธภาพ ระหว่างบุคคล การบำบัดด้านความคิดจึงมีเป้าหมาย เพื่อแก้ไขความคิดและความคิดรวบยอด เกี่ยวกับตนเองทั้งเรื่อง
รูปร่างและน้ำหนักตัวที่บิดเบื่อนจากความจริงอย่างรุนแรง ช่วยให้รับรู้สิ่งเร้าจากภายในร่างกาย เช่น ความหิว และ อารมณ์หรือความต้องการที่แท้จริงของตนเองได้ตามความเป็นจริง ปรับเปลี่ยนความคิดให้มีความคิดแบบมีเหตุผล เปลี่ยนความคิดที่บิดเบือนและลดพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิดปกติ
5) พฤติกรรมบำบัด (behavioral therapy) ผู้บำบัดจะต้องสังเกตอาการของการรับประทาน อาหาร และอาการแสดงของความผิดปกติของการรับประทานอาหารอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนในการบำบัดที่
เหมาะสมในแต่ละรายเพื่อเพิ่มน้ำหนัก ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายเพราะผุดคลที่มี ความผิดปกติของการรับประทานอาหาร แต่ละรายจะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน
6) ครอบครัวบำบัด (family therapy) เป้าหมายอันดับแรกของครอบครัวบำบัด คือ พยายามให้
ครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมในการหยุดพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิดปกติ มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าครอบครัว บำบัดจะช่วยหยุดพฤติกรมการกินรับประทานอาหารที่ผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิผล เป้าหมายที่สำคัญของการทำ ครอบครัวบำบัดของวัยรุ่นที่มีความผิดปกติของการรับประทานอาหารที่ผิดปกติ คือ การให้ความรู้ครอบครัวเพื่อให้ เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับโรคความผิดปกติของการรับประทานอาหารที่ผิดปกติซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ
7) กลุ่มบำบัด (group therapy) บุคคลที่มีความผิดปกติของการการรับประทานอาหารที่ผิดปกติ ส่วนใหญ่จะมีพฤติกรรมแยกตัวออกจากคนอื่น พยายามหลีกเลี่ยงการการรับประทานอาหารร่วมกับคนอื่น เพื่อเก็บ
ความลับเกี่ยวกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิดปกติของตนองไว้ การทำกลุ่มบำบัดเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะ ช่วยให้บุคคลที่มีความผิดปกติของการรับประทานอาหารรู้สึกปลอดภัยและรู้สึว่าตนเองไม่ได้แตกต่างไปจากบุคคลอื่น เมื่อได้พูดคุยเกี่ยวกับปัญหาและแบ่งปันประสบการณ์กับบุคคลอื่นที่มีอาการและความรู้สึกเหมือนกัน บุคคลเหล่านี้จะ เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และมีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิดปกติร่วมกัน
8) โภชนาการบำบัด (nutrition therapy) นักโภชนการจะดูแลวางแผนจัดเมนูอาหารที่เหมาะสม
สำหรับบุคคลที่มีความผิดปกติของการรับประทานอาหารและให้ความรู้เกี่ยวกับอาหาร เช่น การคำนวณการวางแผน โปรแกมการรับประทานอาหาร วางแผนมื้ออาหาร ซึ่งการคำนวณความต้องการสารอาหาร จะต้องคงไว้ซึ่งความ ต้องการสารอาหารมากกว่าแคลอรี่ที่ควรได้รับในระดับปกติ ร้อยละ 30-50
9) อาชีวบำบัต (occupational therapy) นักอาชีวบำบัดช่วยให้บุคคลที่มีความผิดปกติของการ
รับประทานอาหาร ได้เรียนรู้การวางแผนในการเลือกซื้อหารและประกอบอาหารตัวยตนเอง เพื่อให้บุคคลที่มความ
ผิดปกติของการรับประทานอาหารสามารถวางแผนจัดเมนูอาหารออกมาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น การแนะแนวอาชีพและฝึก อาชีพเพื่อให้บุคคลที่มีความผิดปกติของการรับประทานอาหาร สามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพเมื่อออกจาก โรงพยาบาล
การพยาบาลบุคคลที่มีโรคความผิดปกติของการรับประทานอาหาร
การพยาบาล
บุคคลที่มีความผิดปกติของการรับประทานอาหาร ส่วนหญ่มักปฏิเสธการเจ็บป่วย ไม่ยอมรับฟัง ปัญหาของตนเอง จะมารับการรักษาก็ต่อเมื่อมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น จากการขาดสารอาหารอย่างรุนแรง ดังนั้นบทบาทพยาบาลจึงต้องให้การพยาบาลครอบคลุมตามกระบวนการให้การพยาบาลดังนี้
1) การประเมินสภาพ (assessment) การประเมินอาการของบุคคลที่ความผิดปกติของการรับประทานอาหาร ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญ
เนื่องจากบุคคลมักไม่ยอมรับว่าอาการเหล่านั้นเป็นปัญหา มีความรู้สึกไม่เห็นด้วยกับการบำบัด พยาบาลจึงต้องสร้าง สัพันธภาพเพื่อให้เกิดความไว้วางใจ และให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่เป็นจริงเพื่อเป็นประโยชน์ในการวาง แผนการพยาบาลที่เหมาะสมต่อไป
การซักประวัติ เพื่อประเมินเกี่ยวกับประวัติการเจ็บป่วยทั้งด้านความคิดและพฤติกรรม
ข้อมูลที่ประเมิน ดังนี้
ความคิดและการรับรู้เกี่ยวกับรูปร่างและน้ำหนัก เช่น ความคิดเกี่ยวกับรูปร่างและน้ำหนักตัว
ที่เหมาะสมในอุดมคติ การรับรู้เกี่ยวกับลักษณะรูปร่างของตนเอง และความรู้สึกที่มีต่อภาพลักษณ์ของตนเอง
พฤติกรรมการรับประทานอาหารและการควบคุมอาหาร เช่น ชนิด ปริมาณ ความถี่ และ พฤติกรรมหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร วันที่เริ่มมีพฤติกรรมควบคุมอาหาร สาเหตุที่ทำให้บุคคลนั้นรู้สึกอยาก ควบคุมอาหาร
พฤติกรรมการลดน้ำหนัก เช่น ประวัติการใช้ยาระบาย ยาขับปัสสาวะที่ไม่เหมาะสม รวมถึง การใช้ยาสมุนไพรต่าง ๆ การล้วงคออาเจียน และการออกกำลังกายอย่างหักโหม เพื่อให้น้ำหนักลดลงตามความคิด ของตนเอง ประวัติการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวและช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง เช่น พฤติกรรมชั่งน้ำหนักบ่อย ๆ พฤติกรรมแยกตัวจากคนอื่น โดยเฉพาะเวลารับประทานอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร
อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง เช่น อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย รู้สึกผิดหลังรับประทานอาหาร หรือรู้สึก ตนเองไร้ค่าเมื่อไม่สามารถควบคุมน้ำหนักได้ อารมณ์เศร้า ท้อแท้ และสิ้นหวัง
รูปแบบการใช้ชีวิต พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต การประกอบอาชีพ สัมพันธภาพกับคนรอบข้าง และการทำหน้าที่ต่างๆ
สัมพันธภาพภายในครอบครัว เพื่อน ประวัติการถูกทำร้ายร่างกาย ถูกทารุณกรรมทางเพศ
ประวัติการเจ็บป่วยทางจิตเวช ประเมินว่าในระหว่างการรักษมีอาการทาง จิตเวชอื่นร่วมด้วย หรือไม่ เช่น ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล พฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ การใช้สารเสกติด, และประวัติการฆ่าตัวตาย เป็นต้น
การประเมินจากการตรวจร่างกาย เป็นการประเมินลักษณะทางกายภาพ และการทำหน้าที่ ต่าง ๆ ของร่างกายที่สำคัญดังนี้
การเจริญเติบโต น้ำหนัก ส่วนสูง ความหนาแน่นของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เส้นรอบแขน เปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน คำนวณค่าดัชนีมวลกาย body mass index (BMI) ค่าปกติ 18.5 - 22.9 กิโลกรัม/ เมตร2
ระบบทางเดินอาหาร เช่น ปาก ฟัน เหงือก เยื่อบุในช่องปาก คอ หลอดอาหารที่เป็นผลจาก การล้วงคออาเจียนทำให้มีกรดขย้อนขึ้นมาจากกระเพาะอาหาร
ระบบหัวใจและหลอดเลือด จังหวะการเต้นของหัวใจ ชีพจร และความดันโลหิต
ระบบการขับถ่าย การปัสสาวะ ประเมินปริมาณสารน้ำที่ขับออกลักษณะสี จำนวนของ ปัสสาวะเพื่อประเมินภาวะขาดน้ำ การถ่ายอุจจาระเพื่อประเมินภาวะท้องผูก
ระบบสืบพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการทางเพศ ลักษณะทางเพศระดับทุติยภูมิ (secondary sex characteristics) ประวัติการขาดประจำเดือน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiogram) เพื่อค้นหาการเต้นของหัวใจช้ากว่าปกติ (bradycardia) ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) และช่วง QT ยาวกว่าปกติ (prolong OT interval) ซึ่งความ ผิดปกติเหล่านี้เป็นผลจากการเสียสมดุลภาวะอิเล็กโตรไลท์ (electrolyte imbalance)
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (laboratory test) จะมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยโรคร่วมกับการ ซักประวัติและตรวจร่างกาย ใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนการรักษาพยาบาลเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ประกอบด้วย
1) การตรวจ CBC เพื่อประเมินความผิดปกติของเม็ดเลือด ในบุคคลที่มีความผิดปกติของ การรับประทานอาหารอาจพบภาวะซีด (anemia) เนื่องจากขาดธาตุเหล็ก และวิตามินบี 12 ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (leucopenia) เม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่ำ (neutropenia) และภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) ได้
2) การตรวจ blood chemistry test เพื่อประเมินความผิดปกติของสารอิเล็กโดรไลท์ (electrolyte) ซึ่งในบุคคลที่มีความผิดปกติของการรับประทานอาหารอาจพบภาวะโซเดียมต่ำกว่าปกติ (hyponatremia) เนื่องจากการขาดน้ำจะกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนต้านการปัสสาวะซึ่งทำให้ร่างกายเก็บน้ำเอาไว้ ไม่ขับออก โชเดียมจึงเจือจางลงเกิดป็นภาวะโซเดียมในเลือดตำได้ ภาวะโปแทสเซียมต่ำกว่าปกติ (hypokalemia) พบ
เนื่องจากเกิดการสูญเสียโปแทสเซียมออกทางปัสสาวะและทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ท้องเสีย หรือภาวะขาด สารอาหาร ประเมินระดับน้ำตาลในกระแสเลือด อาจพบระดับน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำ (hypoglycemia) เนื่องจาก กินน้อย และการทำงานของไตอาจพบระดับยูเรียไนโตรเจนในกระแสเลือดสูงกว่ปกติ (blood urea nitrogen) ใน
กรณีที่มีการสังเคราะห์ยูเรียมากเกินไปสาเหตุจากภาวะขาดน้ำ
3) การตรวจต่อมไร้ท่อ เพื่อประเมินระดับโกรทฮอร์โมน (GH) ในบุคคลที่มีความผิดปกติของ การรับประทานอาหารอาจพบระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเลือดต่ำ (hypoestrogenic) ฮอร์โมนฟอลลิเคิล สติมูเลติง (FSH) และฮอรโมนลูทิไนชิง (LH) ลดลงอย่างมาก ทำให้มีภาวะขาดประจำเดือน (amenorrhea) ซึ่งเป็นผลมาจาก การขาดสารอาหาร
2) การวินิจฉัยทางการพยาบาล (nursing diagnosis) การกำหนดข้อวินิจฉัยจะต้องครอบคลุมปัญหาทั้งร่างกายที่เป็นภาระแทรกซ้อนที่เกิดจากพฤติกรรม
การนอหารที่ผิดปกติ และปัญหาทางดานจิตไที่ส่งผลห้กด
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
พฤติกรมการการรับประทานอาหารที่ผิดปกต
มีภาวะขาตสารอาหารเนื่องจากปฏิเสธการรับประทานอาหารหรือความอยากอาหารลดลง
เกด
ภาวะไม่สมดุลของอิเล็กโตรไลท์ในร่างกายเนื่องจากมีพฤตก
รรมล้วงคออาเจียน
เสี่ยงต่อการบาดเจ็บในช่องปากเนื่องจากมีพฤติกรรมล้วงคออาเจียน
เสี่ยงต่อการผลัตตกหกล้มเนื่องจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง
มีวิธีการจัดการกับปัญหาที่ไมเ่ หมาะสมเนื่องจากขาดความรู้
มีความวิตกกงั วลเนื่องจากการรับรู้เกยวกับภาพลักษณ์ที่บิดเบือน
ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองลดลงเนื่องจากการรับรู้เกยวกับภาพลักษณ์ที่บิดเบือน
3) การวางแผนและการปฏิบัติทางการพยาบาล (planning and implementation)
บุคคลที่มีความผิดปกติของการรับประทานอาหาร ถือว่าเป็นโรคที่ซับซ้อนที่ต้องการ การพยาบาลที่ ครอบคลุมทั้งร่างกาย และจิตสังคม กิจกรรมการพยาบาลที่สำคัญมีดังนี้
1) การดูแลให้ได้รับสารอาหารและน้ำที่เพียงพอ ผู้รับบริการที่มีความผิดปกติของการรับประทาน อาหาร จะมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานพยาบาลจึงต้องดูแลให้ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นทางปาก
หรือทางสายให้อาหาร โดยพยาบาลจะต้องวางแผนกำหนดตารางการได้รับอาหารในแต่ละวันให้ชัดเจน และดูแลให้ ได้รับสารอาหารและน้ำตามเวลาที่กำหนด แจ้งให้ผู้รับบริการทราบเมื่อถึงเวลาอาหาร ชนิดอาหารและข้อปฏิบัติต่าง ๆ ตามความเป็นจริง เพื่อให้ผู้รับบริการเข้าใจเหตุผล เห็นความสำคัญและทราบเป้าหมายของการพยาบาลที่ชัดเจน ปริมาณสารอาหารที่ควรได้รับในแต่ละวัน ระยะแรกจะเริ่มให้ประมาณ 1,000 - 6,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน และเพิ่มขึ้น
เรื่อย ๆ จนถึง 3,000-4,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน เป้าหมายของเพิ่มน้ำหนักประมาณ 1-1.4 กิโลกรัม/สัปดาห์ หลักการ
ในการให้อาหาร ดังนี้
ดูแลให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำส่วนกลาง (central venous catheter) กรณีมีข้อบ่งชี้ที่
จำเป็น เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับสารอาหารที่เพียงพอตามความต้องการของร่างกาย เนื่องจากการให้สารอาหารทาง หลอดเลือดดำผู้รับบริการไม่สามารถล้วงคอเอาอาหารอออกมาได้ พยาบาลต้องเฝ้าระวังอาการและอาการแสดงการ
ติดเชื้ออย่งใกล้ชิดเนื่องจากผู้รับบริการที่มีภาวะขาดสารอหารที่รุนแรงจะมีภูมิต้านทานของร่างกายที่ลดลงเสี่ยงต่อ การติดเชื้อได้ง่าย
ดูแลให้อาหารทางสายให้อาหาร (tube feeding) กรณีมีข้อบ่งชี้ที่จำเป็นต้องให้อาหารทาง สายให้อาหาร ให้บอกเหตุผลของการใส่สายให้อาหารให้ผู้รับบริการทราบตามความเป็นจริง และอธิบายผู้รับบริการให้
เข้าใจว่าการใส่สายให้อาหารไม่ใช่เป็นการลงโทษ และพยาบาลต้องต้องทนต่อการต่อรองผู้รับบริการ ค่อยดูแลกำกับ อย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษภายหลังจากให้อาหารทางสายให้อาหาร เพื่อลดโอกาสที่ผู้รับบริการจะอาเจียนหรือดูดเอา อาหารเหลวออกมาทางสายให้อาหาร ในรายที่มีความเสี่ยงสูงที่จะดูดอาหารเลวออกมาทางสายให้อาหาร อาจต้อง พิจารณาให้เอาสายออกภายหลังให้อาหาร
ดูแลให้อาหารทางปาก กรณีผู้รับบริการสามารถควบคุมพฤติกรรมการรับประทานอาหารได้ตี ขึ้น พยาบาลอาจเสนอให้ผู้รับริการการรับประทานอาหารทางปากได้ เนื่องจากการรับประทานอาหารเองทางปากจะ
ทำให้ ผู้รับบริการเกิดความรู้สึพึงพอใจมากกว่าการให้อาหารทางสายให้อหาร ถ้าผู้รับบริการการรับประทานอาหาร ทางปากอย่างเดียวแต่ยังได้พลังงานไม่เพียงพอ หรือน้ำหนักตัวลดลง พยาบาลต้องให้ข้อมูลกับทีมสุขภาพเพื่อร่วมกัน พิจารณาให้อาหารทางสายให้อาหารร่วมด้วย
บันทึกปริมาณสารอาหารและน้ำที่ได้รับในแต่มื้อ โดยพยาบาลจะต้องลงบันทึกปริมาณ
สารอาหารและน้ำที่ได้รับตามความป็นจริง เพื่อประเมินปริมาณสารอาหารที่ผู้รับบริการได้รับตลอดทั้งวันและวางแผน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เหมาะสมในแต่ละราย
ดูแลผู้รับบริกรอย่างใกล้ชิดระหว่างรับประทานอาหารและหลังรับประทานอาหาร ไม่อนุญาต ให้เข้าห้องน้ำภายหลังการรับประทานอาหารอย่างน้อย 30 นที ภายหลังอาหารในแต่ละมื้อพยาบาลต้องเฝ้าระวัง ผู้รับบริการช่อนห่อหรือโยนอาหารทิ้ง และป้องกันไม่ให้ผู้รับบริการเข้าไปล้วงคออาเจียนในห้องน้ำ เพื่อให้ได้รับ
สารอาหารครบตามปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน
ผู้รับบริการมีความสึกอยากล้วงคออาเจียนภายหลังการรับประทานอาหาร ให้พยาบาลอยู่เป็น เพื่อนและกระตุ้นให้ทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเบียงเบนความรู้สึก แต่จะไม่อนุญาตให้ผู้รับบริการทำกิจกรรมหรือออก
กำลังกายที่หักโหมเพราะจะทำให้สูญเสียพลังงานและทำให้น้ำหนักลดลง
การปรับพฤติกรรมการกินอหารโดยการให้หรือการจำกัดสิทธิพิเศษสำหรับผู้รับบริการ เกณฑ์
การให้สิทธิพิเศษจะไม่เน้นพฤติกรรมการรับประทานอาหาร จำนวนมื้อของการรับประทานอาหาร จำนวนแคลอรี่ของ อาหารที่ได้รับต่อวัน หรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่จะเน้นที่น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของผู้รับบริการป็นเกณฑ์ เช่น ถ้าน้ำหนักตัวลดลงอาจจะต้องลดสิทธิพิเศษต่าง ๆ ลง และพูดคุยค้นหา สาเหตุ ความรู้สึก ที่เกี่ยวข้องกับ สถานการณ์ และทำข้อตกลงร่วมกับผู้รับบริการ การทำข้อตกลงจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยส่งเสริมให้ผู้รับบริการมี ความรับผิดชอบต่อตนเอง และช่วยให้มีเป้าหมายที่ชัดเจน การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารแบ่งได้ 2
ลักษณะ ดังนี้
ลักษณะที่ 1 โปรแกรมเข้มงวด (strict program) เป็นการกำหนดกิจกรรมการรับประทาน อาหารการออกกำลังกาย และกิจกรรมอย่างอื่นเพื่อให้ผู้รับบริการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด รวมทั้งการให้พักอยู่บนเตียง ด้วย
ลักษณะที่ 2 โปรแกรมผ่อนผัน (lenient program) เป็นการกำหนดกิจกรรมที่มีลักษณะยึด หยุ่น ผู้รับบริการสามารถเลือกรับประทานอาหาร ออกกำลังกาย และทำกิจกรรมอื่น ๆ ตามความต้องการได้มากขึ้น
แต่ต้องเพิ่มน้ำหนักตัวให้ได้ตามป้าหมาย ถ้าไม่สามารถทำได้ตามกำหนดต้องกลับมาทำแบบโปรแกรมเข้มงวด (strict program) วิธีการนี้จะช่วยให้สัมพันธภาพระหว่างผู้รับบริการกับพยาบาลดีขึ้น โดยเฉพาะผู้รับบริการที่มีสาเหตุด้าน จิตใจจากการถูกควบคุมมากเกินไป
การประเมินน้ำหนัก พยาบาลจะต้องชั่งน้ำหนักผู้รับบริการทุกวัน ก่อนการรับประทานอาหาร
มื้อเช้า โดยให้ผู้รับบริการปัสสาวะก่อนชั่งน้ำหนักเพื่อให้ได้ค่าน้ำหนักที่แน่นอน เพราะผู้รับบริการบางรายจะกลั้น ปัสสาวะไว้เมื่อชั่งน้ำหนักเพื่อให้ได้ค่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นซึ่งไม่ใช่ค่าที่ถูกต้องตามความเป็นจริง พยาบาลต้องอธิบายให้ ผู้รับบริการเข้าใจด้วยว่า น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นแสดงถึงภาวะสุขภาพไม่ใช่แสดงว่าผู้รับบริการประสบความสำเร็จหรือ ล้มเหลว
ประเมินการขับถ่าย พยาบาลจะต้องประเมินการขับถ่ายของผู้รับบริการและดแประทานอาหารที่มีกากใยและน้ำที่เพียงพอ เพื่อป้องกันปัญหาท้องผูก
ลให้ได้รับ
สนับสนุนให้ผู้รับบริการได้ค้นหาสาเหตุของความเครียดและความรู้สึกผิดเกี่ยวกับการ
รับประทานอาหาร เปิดโอกาสให้พูดระบายความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นภายหลังการรับประทานอาหารหรือพูดระบาย ความรู้สึกผิดเกี่ยวกับสิ่งที่กระตุ้นที่ทำให้รู้สึกอยากล้วงคออาเจียน เพราะการพูดคุยกับพยาบาลจะช่วยเบี่ยงเบนความ สนใจมาที่ประเด็นความรู้สึกมากกว่าที่จะมุ่งเน้นเรื่องอาหารที่ผู้รับบริการรับประทาน
จัดสภาพแวดล้อมให้ผ่อนคลายให้เกิดความตึงเครียดน้อยที่สุด พยาบาลควรจัดสภาพแวดล้อม ให้ผ่อนคลาย เนื่องจากผู้รับบริการที่มีความผิดปกติของการรับประทานอาหาร อาจมีความรู้สึกผิดเวลารับประทาน
อาหาร และมีความเครียดเกิดขึ้น นอกจากนั้นพยาบาลควรฝึกเทคนิคการผ่อนคลายและกระตุ้นให้ผู้รับบริการฝึก เทคนิคการผ่อนคลายทั้งก่อนและหลังการรับประทานอาหาร
2) การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้รับบริกาที่มีความผิดปกติของ การรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะผู้รับบริการมักไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาเนื่องจากไม่ยอมรับว่า
อาการเหล่านั้นเป็นปัญหาและมีความรู้สึกว่าตนเองมีปมด้อย รวมทั้งไม่เห็นด้วยกับการรักษา มีความคิดว่าเป็นการ บังคับจึงมีพฤติกรรมต่อต้านการรักษา ดังนั้น ในการสร้งสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดพยาบาลจะให้การช่วยเหลือเพื่อ ช่วยบรรเทาความไม่สบายใจในสิ่งที่เป็นปัญหา ส่งเสริมให้ผู้รับบริการสามารถมองเห็นและเข้าใจถึงปัญหา และมีการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในทางที่เหมาะสมต่อไป การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดเมื่อผู้รับบริการมีความเข้าใจ ตนเอง จะช่วยให้ผู้รับบริการสามารถมองเห็นและเข้าใจถึงปัญหามากขึ้นเกิดความศรัทธา และร่วมมือในการปฏิบัติ ตามคำแนะนำเพิ่มขึ้น
3) การรักษาด้วยยา บทบาทที่สำคัญของพยาบาล คือ การดูแลให้ผู้รับบริการได้รับยา ครบถ้วนตามแผนการรักษา ส่งเสริมให้ผู้รับบริการเห็นความสำคัญของการรับประทานยา ร่วมมือรับประทาน
ยาอย่างต่อเนื่อง และต้องเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรับประทานยา ถ้าผู้รับบริการรู้สึกทุกข์ ทรมานจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากยา จะส่งผลให้ความร่วมมือในการรับประทานยาลดลง
4) การให้คำปรึกษา
ให้ผู้รบบริการสำรวจความเชื่อความรู้สึกของตนเองที่มต
่อรูปร่างและน้ำหนักของตนเอง โดยมี
เป้าหมายของการให้คำปรึกษาเพื่อให้ผู้รับบริการได้ปรับเปลี่ยนความคด
เกย
วกับน้ำหนักของตนเองให้ดขึ้น
สนับสนุนให้ผู้รับบริการได้พูดระบายความรู้สึกที่มีต่อตนเอง ความรู้สึกที่มีต่อน้ำหนักและ
รูปร่างของตนเอง ความรู้สึกเครียดเกี่ยวกับอาหารและน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ความรู้สึกที่มีต่อครอบครัว เช่น รูปแบบ การเลี้ยงดู บทบาทของคนในครอบครัว กิจกรรมต่าง ๆ การสื่อสารและสัมพันธภาพภายในครอบครัว หรือเหตุการณที่ ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวด เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการจัดการกับความรู้สึกเหล่านั้น
ปรับปลี่ยนทัศนคติของผู้รับบริการในการรับรู้ภาพล้กษณ์ของตนเองในทางบวกช่วยสร้างความ กระจ่างเกี่ยวกับความคิดที่มีต่อรูปร่างของตนเอง และปรับปลี่ยนความคิดที่บิดเบือนจากความเป็นจริง
การเสริมพลังอำนาจในตนเองให้กับบุคคลที่มีความผิดปกติของการรับประทานอาหารมี ความรู้สึกเชื่อมั่นในตนเองในการควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เพราะผู้รับบริการสวนใหญ่จะมีความรู้สึกว่าตนมีปมด้อย มีความรู้สึกอ่อนไหวง่าย วิธีนี้จะช่วยให้ผู้รับบริการได้เรียนรู้ที่จะเคารพตนเอง เชื่อว่าตนเองเป็นอิสระ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ พ่อแม่ ครอบครัวหรือสังคมเท่านั้น
ให้สุขภาพจิตศึกษา ถือเป็นกิจกรรมการพยาบาลที่สำคัญ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา
พยาบาลจะต้องให้ความรู้แก่ผู้รับบริการและญาติผู้ดูแลเกี่ยวกับโรค สาเหตุของโรค อาการ อันตรายจาก ภาวะแทรกซ้อน ความจำเป็นในการเพิ่มน้ำหนักตัวให้อยู่ในเณฑ์ปกติ และแนวทางการรักษาพยาบาลแต่ละระยะของ โรค ความรู้เกี่ยวกับทักษะการจัดการกับปัญหา ทักษการเข้าร่วมสังคม ทักษะการตัดสินใจ ถ้าผู้รับบริการสามารถทำ ได้ตามคำแนะนำ พยาบาลควรให้กำลังใจเพื่อเป็นการเสริมแรง ให้ผู้รับบริการมีความรู้สึกอยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ของตนเอง
ครอบครัวบำบัด มีความสำคัญมากเพราะผู้รับบริการโดยเฉพาะวัยรุ่นส่วนใหญ่ยังต้องอศัยอยู่
กับครอบครัว บางครั้งเมื่อพ่อแม่ทราบว่ลูกเป็นโรคความผิดปกติของการรับประทานอาหาร มักปฏิกิรยาต่อการเป็น โรคด้วยความรู้สึกเสียใจ ผิดหวัง
กลุ่มบำบัด เป็นอีกหนทางสำหรับบุคคลที่มีความผิดปกติของการรับประทานอาหารจะช่วยให้ รู้สึกปลอดภัยและรู้สึกว่าตนเองไม่ได้แตกต่างจากบุคคลอื่น เมื่อได้พูดคุยเกี่ยวกับปัญหา และแบ่งปันประสการณ์
ร่วมกับบุคคลอื่นที่มีอาการและความรู้สึกเหมือน ๆ กัน บุคคคจะเกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และมีโอกาส แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิดปกติร่วมกัน
การเยี่ยมน ในกรณีผู้รับบริการที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมีอาการดีขึ้นก่อนที่จะให้ ผู้รับบริการกลับบ้าน ทีมสุขภาพอาจจะให้ผู้รับบริการทดลองกลับไปเยี่ยมบ้านก่อนเพื่อประเมินอาการและความสมา
รถในการควบคุมตนเองที่ต้องกลับไปเผชิญกับตัวกระตุ้นหรือความกดดันที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายในบ้าน แนว
ทางการปฏิบัติเมอ ตัวได้ถูกต้อง
ให้ผู้รับบริการกลับไปเยี่ยมบ้าน คือ
พยาบาลต้องอธิบายวัตถุประสงค์และวิธีปฏิบัติตัวเมื่อกลับไปอยู่บ้านเพื่อให้สามารถปฏิบัติ
พยาบาลประเมินความคิด ความรู้สึกของผู้รับบริการก่อน และหลังการกลับไปเยี่ยมบ้านว่า
เมื่อผู้รับบริการต้องกลับไปอยู่ในสภพแวดล้อมเดิม ๆ ผู้รับบริการจะสามารถควบคุมอารมณ์ที่เกิดจากควากดดันและ จัดการกับความรู้สึกเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสมหรือไม่ เพราะการอยู่โรงพยาบาลอาจเป็นการช่วยลดความกดดันที่เกิด จากสภาพแวดล้อมภายในบ้าน
สนับสนุนให้ญาติมีส่วนร่วมในการสังเกตพฤติกรรมการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ พฤติกรรมการออกกำลังกาย และการลดน้ำหนักของผู้รับบริการขณะกลับไปเยี่ยมบ้าน เพื่อจะได้นำข้อมูลเหล่านี้ มา ประเมินอาการและปรับแผนการพยาบาลให้เหมาะสมกับผู้รับบริการแต่ละราย และถ้าผู้รับบริการสามารถควบคุม อารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมที่เกิดจากความกดดันขณะกลับไปเยี่ยมบ้านและจัดการกับความรู้สึกเหล่านั้นได้ เหมาะสม พยาบาลและทีมสุขภาพจะพิจารณาเรื่องการกลับบ้านต่อไป
4) การประเมินผล (evaluation) ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะช่วยให้พยาบาลทราบว่าการพยาบาลที่ให้กับผู้รับบริการเหมาะสม
หรือไม่และบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ ถ้าไม่เป็นไปตามหมายที่วางไว้มีมาจากสาเหตุใด เพื่อนำข้อมูลที่ไต้จาก การประเมินผลไปใช้ในการปรับแผนการพยาบาลให้เหมาะสมกับผู้รับบริการในแต่ละราย นำไปสู่เป้าหมายที่ได้ วางแผนไว้โดยจะมีการประเมินผลการพยาบาลด้านต่าง ๆ ดังนี้
ด้านร่างกาย
น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1-14 กิโลกรัมต่อสัปดาห์หรือประเมินดัชนีมวลกายอยู่ในช่วง
18.5 22.9 กิโลกรัมต่อเมตร2 ผิวหนังชุ่มขึ้น มีความยืดหยุ่นดีขึ้น
ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น จังหวะการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิต
ระบบทางเดินอหาร ไม่พบภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากพฤติกรรมการล้วงคออาเจียน เช่น การ ฉีกขาดของหลอดอาหารหรือเยื่อบุลำคอ
ระบบสืบพันธุ์ การเจริญเติบโตและพัฒนาการทางเพศและประจำเดือนมาปกติ
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการปกติ
การตรวจ CBC ปกติ ไม่พบภาวะซีด (anemia) ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (leucopenia) เม็ด เลือดขาวนิวโทรฟิลต่ำ (neutropenia) และภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia)
การตรวจ blood chemistry test เพื่อประเมินความผิดปกติของสารอิเล็กโตรไลท์ (electrolyte) โดยเฉพาะระดับโปแตสเซียมและโซเดียมในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ การทำงานของไตมีระดับยูเรีย ไนโตรเจนในกระแสเลือดปกติ (blood Urea Nitrogen: BUN)
การตรวจต่อมไร้ท่อ เพื่อประมินระดับโกรทฮอร์โมน (GH) พบระดับฮอร์โมเอสโตรเจน ฮอร์โมนฟอลลิเคิล สติมูเลติง (FSH) และฮอร์โมนลูทิไนซิง (LH) ในเลือดปกติ
ด้านความคิดและความรสึก
ความคิดที่บิดเบือนจากความป็นจริงลดลง เช่น มีการรับรู้น้ำหนักตัว หรือรูปร่างของตนเอง
ตามความเป็นจริง
ความรู้สึกที่มีต่อภาพล้กษณ์ของตนเองดีขึ้น ความรู้สึกผิดที่ลดลง ความมีคุณค่าในตนเอง
เพิ่มขึ้น ไม่มีความคิดทำร้ายตนเอง
ด้านพฤติกรรม
รูปแบบการรับประทานอาหารเป็นปกติ พฤติกรรมการชั่งน้ำหนักตัวบ่อย ๆ และหมกมุ่นอย กับการลดน้ำหนักลดลง ไม่มีพฤติกรรมการลดน้ำหนัก เช่น การใช้ยาระบายและยาขับปัสสาวะที่ไม่เหมาะสมหรือออก
กำลังกายที่หักโหมเพื่อให้น้ำหนักตัวลดลง
สรุป
คือ
ความผิดปติของการกิน (eating disorder) เป็นกลุ่มอาหารของโรคทางจิตเวชที่มีลักษณะความผิดปกติของ
พฤติกรรมการรับประทานอาหาร บุคคลจะมีความผิดหมกมุ่นอย่างมากเกี่ยวกับอาหาร น้ำหนักตัว แลรูปร่างของ
ตนเอง ซึ่งผลกระทบต่อจิตใจ ร่างกาย และการทำหน้าที่ทางสังคมองบุคคลนั้น พยาบาลจึงมีบทบาทสำคัญในการ ช่วยเหลือบุคคลกลุ่มนี้ให้ได้รับการช่วยหลืออย่างเหมาะสม และส่งเสริมความสามารถในการทำหน้าที่ต่าง ๆ กลับมา เป็นปกติ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้พยาบาลยังควรมีการส่งเสริมและป้องกันระดับปฐมภูมิด้วยการให้ ความรู้แก่ครอบครัวเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคนี้