Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 4 การพยาบาลเด็กและวัยรุ่นที่มีการเจ็บป่วยทางจิต เด็กที่มีภาวะบกพรอ…
บทที่ 4
การพยาบาลเด็กและวัยรุ่นที่มีการเจ็บป่วยทางจิต
เด็กที่มีภาวะบกพรองทางสติปัญญา
ความหมาย ลักษณะอาการและอาการแสดง
ระดับ
1.1 ความหมายภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา (intellectual disability) ปัจจุบันถูกนำมาใช้แทนคำว่า ภาวะปัญญา อ่อน (mental retardation) หมายถึง ภาวะที่เกิดขึ้นในระยะพัฒนาการจากการที่สมองของเด็กหยุดพัฒนาหรือมีการ
พัฒนาอย่างไม่สมบูรณ์ เกิดความบกพร่องของการทำหน้าที่ของสติปัญญาและการปรับตว ส่งผลให้พัฒนาการด้านตา่ ง
ๆ ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม ภาษา สติปัญญา ซึ่งมีผลต่อการพึ่งตนเองในชีวิตประจำวัน การเรียน การทำงาน และการมีส่วนร่วมทางสังคมเกิดความความบกพร่อง
1.2 ลักษณะอาการและอาการแสดง
เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ต้องมีลักษณะประกอบกันของใน 3 ลักษณะได้แก่ ความบกพร่อง ทางสติปัญญา ความบกพร่องของการปรับตัว และภาวะบกพร่องทางสติปัญญาและการปรับตัว
ความบกพร่องทางสติปัญญา (deficits in intellectual function) เช่น การให้เหตุผล การ แก้ปัญหา การวางแผน ความคิดนามธรรม การตัดสินใจ การเรียนรู้ในโรงเรียนหรือการเรียนรู้จากประสบการณ์ ซึ่ง
ตรวจพบได้ด้วยการประเมินทางคลีนิกและการทดสอบระดับสติปัญญา
ความบกพร่องของการปรับตัว (deficits in adaptive function) ส่งผลให้บุคคลมีพัฒนาการที่ ไม่หมาะสม ไม่สามารถพึ่งพาตนเอง และรับผิดชอบต่อสังคมได้ ทำให้มีความจำกัดในการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น การ
สื่อสาร การส่วนร่วมในสังคม และการพึ่งตนเองในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เช่น บ้าน โรงเรียน และชุมชน ซึ่งตรวจพบได้ ด้วยการประเมินทางคลีนิกและการทำหน้าที่ในการปรับตัว
ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาและการปรับตัวดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ในระยะของพัฒนาการ โดยมีลักษณะอาการและอาการแสดงที่สำคัญ ได้แก่
1) มีพัฒนาการล่าซ้ำ สามารถพบพัฒนาการที่ล่าช้ากว่าเกณฑ์ในทุกด้าน แต่จะมีพัฒนาการ ล่าช้ามากหรือน้อยระดับใดนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความบกพร่องทางสติปัญญา
2) มีความบกพร่องด้านเชาว์ปัญญา เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยจะไม่พบ อาการหรือพฤติกรรมที่ผิดปกติจนกว่าจะถึงวัยเรียน ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับปานกลางจะพบพัฒนาการ
ล่าช้าเมื่ออายุ 3-5 ปี ภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรงสามารถเห็นความผิดปกติได้ตั้งแต่ในขวบปีแรก ภาวะ บกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรงมากสังเกตพบความผิดปกติได้ตั้งแต่แรกเกิด
3) มีปัญหาด้านพฤติกรรม เด็กบางรายอาจพบว่ามีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา เช่น พฤติกรรมซน อยู่ไม่นิ่ง ไม่มีสมาธิ และพฤติกรรมก้าวร้าว เป็นต้น
4) มีลักษณะผิดปกติของรูปร่างอวัยวะต่าง ๆ เช่น ดาวน์ซินโดรม มีศีรษะขนาดเล็ก ตั้งจมูกแบน ตา ห่าง หางตาชี้ขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะผิดปกติที่ปรากฏให้เห็นได้
1.3 ระดับความรุนแรงของภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
สามารถแบ่งระดับความรุนแรงเป็น 4 ระดับ โดยพิจารณาจากความบกพร่องในการทำหน้าที่ 3 ด้าน ได้แก่ ความคิด (conceptual domain) สังคม (social domain) และการปฏิบัติ (practical domain) ได้แก่
1) บกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย (mild intellectual disability) ระดับ IQ 50-69 ต้องการความ ช่วยเหลือเป็นครั้งคราว พบร้อยละ 80 เด็กจะมีความบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อยในเด็กวัยก่อนเรียนอาจจะไม่เห็น ความผิดปกติที่ชัดเจน มักได้รับการวินิจฉัยเมื่อเด็กเข้าสู่วัยเรียนแล้ว
ด้านความคิด เด็กจะมีความยากลำบากในการเรียนรู้ทักษะเกี่ยวกับการอ่าน การเขียน การคิด คำนวณและความบกพร่องของความคิดเชิงนามธรรม
ด้านสังคม เด็กจะไม่มีวุฒิภาวะ มีปัญหาในการปฏิสัมพันธ์ด้านทางสังคมกับบุคลอื่น เนื่องจากความ ยากลำบากในการรับรู้ระเบียบทางสังคม การสื่อสาร การสนทนาภาษาเป็นรูปธรรม และการควบคุมอารมณ์และ พฤติกรรมให้เหมาะสมตามวัย ขาดความสามารถในการตัดสินใจจึงเสี่ยงต่อการถูกล่อลวงได้ง่าย
ด้านการปฏิบัติ สามารถดูแลตนเองได้เหมาะสมตามวัย อาจต้องการความช่วยหลือในการทำ กิจกรรมที่มีความซับซ้อน เด็กกลุ่มนี้มักไม่พบโรคทางกายหรือทางสมองที่เป็นสาเหตุ รูปร่างหน้าตาไม่พบความ ผิดปกติที่เห็นได้ชัดเจน
2) บกพร่องทางสติปัญญาปานกลาง (moderate intellectual disability) ระดับ IQ 35-49 ต้องการ
ความช่วยเหลือปานกลาง พบร้อยละ 12 มักได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่วัยก่อนเรียนซึ่งจะพบว่าเดก ๆ ล่าช้ากว่าวัยเดียวกัน
มีการเรียนรู้ในด้านตา่ ง
ด้านความคิด ทักษะการสื่อสารการพูด การอ่าน การเขียน ทักษะความคิดการคำนวณ การเขาใจ เวลา และการเงินมีข้อจำกัด ต้องการความช่วยเหลือในการทำงานในชีวิตส่วนตัวและการดำเนินชีวิต
ด้านสังคม จะรับรู้ระเบียบทางสังคมได้ไม่ถูกต้อง มีข้อจำกัดในการตัดสินใจทางสังคม และการ สื่อสาร ซึ่งมีผลต่อการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น
ด้านการปฏิบัติ สามารถดูแลตนเองในการรับประทานอาหาร แต่งกาย ขับถ่ายสุขอนามัย และการ ทำงานบ้าน โดยต้องใช้เวลาในการฝึกมากกว่าเด็กที่มีพัฒนาการปกติ แต่สามารถฝึกอาชีพการทำงานที่ไม่ต้องอาศัย ทักษะได้ แต่ต้องอาศัยการช่วยเหลือจากผู้อื่นและต้องใช้เวลาในการเรียนรู้
3) บกพร่องทางสติปัญญารุนแรง (severe intellectual disability) ระดับ IQ 20-34 ต้องการ ความช่วยเหลือมาก พบร้อยละ 3-4 ความผิดปกติของพัฒนาการพบได้ตั้งแต่ขวบปีแรก
ด้านความคิด มีข้อจำกัด ด้านการคิด การใช้ภาษา ต้องช่วยเหลือในการแก้ปัญหาตลอดชีวิต ด้านสังคม มีข้อจำกัดใการพูด อาจพูดได้เป็นคำ ๆ หรือวลี จะมีสัมพันธภาพกับสมาชิกใน
ครอบครัวและผู้คุ้นเคย
ด้านการปฏิบัติ ต้องการความช่วยเหลือทุกอย่างในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การ รับประทานอาหาร แต่งตัว อาบน้ำ ขับถ่าย การทำงาน การเล่น ต้องใช้เวลาอย่างต่อเนื่องในการฝึกและช่วยเหลือบาง รายพบพฤติกรรมที่เป็นปัญหาร่วมด้วย
4) บกพร่องทางสติปัญญารุนแรงมาก (profound intellectual disability) ระดับ IQ < 20
ต้องการความช่วยหลือตลอดเวลา พบร้อยละ 1-2 จะพบความบกพร่องทางสติปัญญาตั้งแตแ ทางหน้าตาและร่างกายร่วมด้วย
รกเกิด อาจมีความพิการ
ด้านความคิด และด้านสังคม มีข้อจำกัดในการเข้าใจสัญลักษณ์ของการสื่อสารด้วยคำพูด หรือ ท่าทาง อาจเข้าใจคำหรือท่าทางง่าย ๆ แสดงความต้องการหรืออารมณ์โดยไม่ใช้ภาษาหรือสัญลักษณ์ มีสัมพันธภาพที่ ดีกับสมาชิกครอบครัวและผู้ดูแลที่คุ้นเคย มีความบกพร่องทางร่างกาย และการรับความรู้สึกทำให้ไม่สามารถมี กิจกรรมทางสังคมร่วมกับคนอื่นได้
ด้านการปฏิบัติ ต้องพึ่งพาผู้อื่นในทุกด้านของการทำกิจวัตรประจำวัน การดูแลสุขภาพ ความ ปลอดภัย ต้องอาศัยการฝึกอย่างมากในการช่วยเหลือตนเอง
สาเหตุ การบำบัดรักษา
2.1 สาเหตุของภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ทารกที่เกิดภาวะบกพร่องทางสติปัญญาอาจเกิดจากสภาวะใด ๆ ก็ตามที่ทำให้การพัฒนาการของสมอง
ลดลง ทั้งก่อนคลอด ระหว่างคลอด หลังคลอดหรือในช่วงวัยเด็ก พบว่าประมาณ 1 ใน 3 ที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน สำหรับปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะบกพร่องทางสติปัญญาสามารถแบ่งได้ ดังนี้
1) ปัจจัยทางพันธุกรรม เกิดจากความผิดปกติของยีนที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมทำให้เกิดความ ผิดพลาดของการรวมตัวของยีน (genes combine) หรือความผิดปกติเกิดขึ้นที่โครโมโชม เช่น
ดาวน์ซินโดรม (down syndrome) มีความผิดปกติของโครโมโชมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง เด็กจะ
มีศีรษะเล็กกลม ตั้งจมูกแบน ตาห่าง หางตาชี้ขึ้น ใบหูต่ำกว่าปกติ ริมฝีปากโค้งขึ้น มีลิ้นใหญ่จุกปาก ซึ่งเด็กกลุ่มนี้จะมี หน้าตาคล้าย ๆ กัน
กลุ่มอาการฟลาจิลเอกซ์ (flaggy X syndrome) มีความผิดปกติของโครโมโชม X ขาดหายไป เฟนิลคีโตนยูเรีย (phenylketonuria) เป็นโรคที่ร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนสารอาหาร
เฟนิลอลานีน (phenylalanine) ให้เป็นไทโรซีน (tyrosine) ทำให้มีการสะสมเฟนิลอลานินมากกว่าปกติส่งผลต่อ พัฒนาการของสมอง
2) ปัจจยในระยะตงั้ ครรภ์ ระยะคลอด และหลังคลอด
ระยะตั้งครรภ์ จากการศึกษาพบว่า ในระหว่างการตั้งครรภ์ถ้ามารดามีการใช้แอลกอฮอล์ ยา
หรือสารเคมีอื่น ๆ อาจส่งผลต่อพัฒนาการของสมองทารกในครรภ์ได้ ปัจจุบันพบว่าการสูบบุหรี่จะทำให้เพิ่มโอกาส การเกิดภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเพิ่มขึ้น และนอกจากนั้นยังมีปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่น เช่น การขาดอาหาร สภาพแวดล้อมที่มีสารพิษ และการเจ็บป่วยของมารดาระหว่างตั้งครรภ์ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะบกพร่องทาง สติปัญญาเพิ่มขึ้น เช่น การติดเชื้อหัดเยอรมัน ซิฟิลิส และเอดส์ เป็นต้น
ระยะคลอด พบว่า การคลอดก่อนกำหนด เด็กทารกจะมีน้ำหนักตัวแรกคลอดต่ำกว่าเกณฑ์ มาตรฐาน กระบวนการคลอดนานผิดปกติ สมองได้รับบาดเจ็บจากการคลอด และจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ทารกมี
การขาดออกซิเจนชั่วคราว สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะบกพร่องทางสติปัญญได้
ระยะหลังคลอด พบว่า สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากโรคที่เกิดในวัยเด็ก เช่น โรคไอกรน โรค อีสุกอีใส โรคหัด อาจนำไปสภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis) และสมองอักเสบ (encephalitis) นอกจากนี้ สมองที่ได้รับการบาดเจ็บจากการถูกกระทบกระเทือนหรือจากการได้รับสารตะกั่ว ปรอท และสารพิษต่าง ๆ จาก
สิ่งแวดล้อม ทำให้สมองได้รับความเสียหายจนไม่อาจฟื้นหายกลับมาสภาพเดิมได้ ส่งผลทำให้เกิดภาวะบกพร่องทาง สติปัญญา
3) ปัจจัยทางจิตสังคม พบว่า เด็กที่เติบโตมาท่ามกลางความยากจน ครอบครัวแตกแยกและผู้เลี้ยงด มีความผิดปกติทางจิต เช่น ซึมเศร้า หรือติดสารเสพติด ส่งผลให้เด็กไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสม ทำให้เด็กในกลุ่มนี้
มักได้รับการดูแลด้านสุขภาพไม่ดีพอ มีความเสี่ยงสูงที่จะขาดสารอาหาร มีโอกาสเจ็บปวยและสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่ เป็นอันตราย จึงทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะบกพร่องทางสติปัญญาได้
2.2 การบำบัดรักษาภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
ไม่ได้มุ่งรักษาให้หายจากโรค แต่การรักษามุ่งหวังเพียงเพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้ใกล้เคยงกับ
เด็กปกติมากที่สุด สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตามศักยภาพ ไม่เป็นภาระแก่ครอบครัวและสังคมมากเกินไป การ บำบัดรักษาประกอบด้วย
การรักษาโรคทางกาย ที่เป็นสาเหตุและความผิดปกติที่อาจพบร่วมด้วย เช่น อาการชัก หัวใจ พิการแต่กำเนิด หรือภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนที่พบในกลุ่มอาการดาวน์ เป็นต้น
กายภาพบำบัด เป็นการส่งเสริมพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เพื่อแก้ไขการเดินการเคลื่อนไหว ที่ผิดปกติ ช่วยลดการยึดติดของข้อต่อ ปรับและควบคุมความตึงตัวกล้ามเนื้อให้ใกล้เคียงภาวะปกติมากที่สุด ป้องกัน การผิดรูปของข้อต่อต่าง ๆ จัดท่าให้ส่วนต่าง ๆของร่างกายอยู่ในแนวที่ถูกต้องเหมาะสม เพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวของ
ข้อต่อและความยาวของกล้ามเนื้อ กระตุ้นให้เกิดการเรียนรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ปกติและสามารถรักษาสมดุลเพื่อ ทรงตัวอยู่ได้ การใช้เครื่องช่วยและอุปกรณ์พิเศษทางกายภาพบำบัด เพื่อช่วยให้เด็กช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น กายภาพบำบัดไม่มีวิธีการที่แน่นอนตายตัวขึ้นกับลักษณะของความผิดปกติและความรุนแรงของพยาธิสภาพเฉพาะ สำหรับเด็กแต่ละราย
การจัดโปรแกรมการฝึกทักษะที่จำเป็นในการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในทุก ๆ ด้าน พบว่า เด็กที่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่เล็ก ๆ จะสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าการกระตุ้นพัฒนาการเมื่อเด็กโตแล้ว
โปรแกรมจะเน้นการจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็กและฝึกทักษะที่จำเป็นต่าง ๆ อย่างเป็นระบบและ ต่อเนื่อง
กิจกรรมบำบัด เป็นการบำบัดที่ช่วยแก้ไขปัญหาที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในดำเนินชีวิต เช่น
การส่งเสริมพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็กเพื่อใช้ในการหยิบจับสิ่งของ
ฝึกการทำงานของกล้ามเนื้อให้สามารถทำงานสัมพันธ์กันระหว่างตาและมือ (eye-hand
ส่งเสริมความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การดื่มน้ำจากแก้ว การแปรงฟัน
การใช้ซ้อนตักอาหาร เพื่อส่งเสริมให้เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาสามารถดูแลตนเองได้ตามศักยภาพที่ควรจะ เป็น
อรรถบำบัด เป็นการส่งเสริมพัฒนาการด้านการสื่อสาร โดยฝึกเด็กให้ใช้กล้ามเนื้อในการพูด การ เปล่งเสียง และการออกสียงที่ถูกต้อง การฝึกพูดต้องกระทำในเด็กอายุน้อยกว่า 4 ปี จึงจะได้ผลดีที่สุด โดยก่อนการ แก้ไขการพูด เด็กจะต้องได้รับการเตรียมความพร้อมของอวัยวะต่ง ๆ ที่ใช้ใการพูด ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ได้แก่ การ
บริหารลิ้น การบริหารริมฝีปาก จึงจะเข้าสู่วิธีการแก้ไขการพูดซึ่งมีลำดับขั้นตอนตั้งแต่การฝึกฟังเน้นให้เด็กสามารถ แยกความแตกต่างของเสียงที่ได้ยิน เพื่อยอมรับว่าตนเองพูดไม่ชัดหรือต่างจากครู และฝึกฟังเสียงที่ถูกต้องไปในเวลา เดียวกัน และฝึกออกเสียงเน้นให้เด็กใช้อวัยวะในการออกเสียงให้ถูกต้อง
และฝึกให้เด็กปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา การจัดการศึกษาพิเศษเฉพาะเด็กที่มีภาวะบกพร่องทาง สติปัญญา ซึ่งจะจัดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น แต่ควรส่งเสริมให้ได้เรียนร่วมกับเด็กปกติให้มากที่สุดและสามารถนำความรู้ที่
ได้จากชั้นเรียนนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง
การพื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพ เป็นการฝึกอาชีพให้กับเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ซึ่ง
จะต้องเป็นงานที่ไม่ซับซ้อน เช่น การรับส่งเอกสาร การถ่ายเอกสาร การทำงานบ้าน เป็นต้น การฝึกอาชีพไม่เพียงให้ เด็กงานทำเพื่อเพิ่มรายได้ การทำงานยังช่วยให้เด็กได้ฝึกความรับผิดชอบ การตรงต่อเวลา รู้จักมารยาทในสังคม และ ทำงานร่วมกับผู้อื่น
การให้คำแนะนำครอบครัว เน้นการให้ข้อมูลในเรื่อง สาเหตุ แนวทางการรักษา และการพยากรณ์ โรค รวมถึงข้อมูลหน่วยงานที่สามารถให้คำปรึกษาและความช่วยหลือในด้านต่าง ๆ ซึ่งครอบครัวจะมีความสำคัญใน การดูแลเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา นอกจากนี้จะเน้นดูแลด้านจิตใจของสมาชิกภายในครอบครัว ช่วยให้
ครอบครัวยอมรับและมีความคาดหวังเก
วกับเดก
ที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ตลอดจนส่งเสริมให้บิดามารดาและคน
เลี้ยงดูมีส่วนร่วมในการฝึกเด็กตามโปรแกรมอย่างสม่ำเสมอ
การพยาบาล
การให้การพยาบาลเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสตปัญญา มีกระบวนการพยาบาลตามขั้นตอน
1) การประเมินสภาพ (assessment) การรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินปัญหาความผิดปกติในเด็กที่มภาวะ
บกพร่องทางสติปัญญานั้นต้องอาศัยทักษะการปฏิสัมพันธ์กับเด็ก บิดา มารดา หรือผู้เลี้ยงดู และครูร่วมกับการสังเกต
พฤติกรรมของเด็ก และการตรวจต่าง ๆ โดยการประเมินให้ครอบคลุมทั้งกาย จิตสังคม และจิตวิญญาณ
การซักประวัติ เป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาการสำคัญ เช่น อายุของมารดา ภาวะสุขภาพ ของมารดา การดื่มสุรา การใช้สารเสพติด และการได้รับยาอื่น ๆ ระหว่างการตั้งครรภ์ อายุครรภ์ การคลอด ภาวะ สุขภาพเด็กแรกเกิด ประวัติการกิน การนอนหลับ การเจริญเติบโต และการได้รับยาในขวบปีแรก พัฒนาการของ
กล้ามเนื้อ ด้านสังคม ด้านการใช้ภาษา พฤติกรรมการแยกตัว ความสนใจ ภาวะอารมณ์ และการได้รับวัคซีน เป็นต้น
การประเมินดานร่างกาย (physical assessment)
การตรวจร่างกาย เป็นการตรวจตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เพื่อประเมินความผิดปกติ ได้แก่ ลักษณทั่วไป ศีรษะและคอ ระบบหัวใจและหลอดเลือด และระบบประสาท เป็นต้น
ผลการตรวจอื่น ๆ เช่น ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจคลื่น หัวใจ เป็นต้น
การประเมินพัฒนาการ (developmental assessment) เป็นการตรวจหรือทดสอบพัฒนาการ ทั้ง 5 ด้าน ประกอบด้วย การใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก และสติปัญญาการใช้ภาษา การเข้าใจภาษา และการช่วยเหลือตนเองและสังคม ซึ่งเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้าจะมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและผู้
ประเมิน มักมีพฤติกรรมต่อต้าน หรือมีพฤติกรรมที่เป็นอุปสรรคในการประเมิน ดังนั้นการประเมินพัฒนาการของเด็ก สามารถประเมินได้จาก
การซักถามพ่อ แม่ หรือผู้ใกล้ชิด เพื่อช่วยในการประเมินความสามารถที่แท้จริงเด็กบางคน อาจไม่ให้ความร่วมมือในการประเมิน ทำให้ผลการประเมินพัฒนาการไม่ได้เป็นไปตามพัฒนาการที่แท้จริงของเด็ก ข้อมูลที่ได้จากพ่อแม่หรือผู้ใกล้ชิด จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่นำมาใช้ประกอบการประเมินพัฒนาการของเด็ก
สังเกตจากพฤติกรรมการเล่นของเด็ก เช่น การเล่นคนเดียว การเล่นกับคนอื่น ลักษณะการ เล่น การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ การใช้ภาษา และการเข้าใจภาษา เป็นต้น เพื่อประเมินว่าพัฒนาการของเด็ก เป็นไปตามช่วงวัยหรือไม่
ใช้แบบคัดกรองพัฒนาการ
แบบคัดกรองพัฒนาการอนามัย 55 (พัฒนาการเด็กปฐมวัย) ประกอบด้วยข้อทดสอบ 4 ด้าน คือ ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่, ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กและการใช้ตา, ความสมารถใน การใช้เสียงและพฤติกรรมที่แสดงออกเพื่อสื่อความเข้าใจ, ความสามารถด้านสังคมและการช่วยเหลือตนเอง
คู่มือคัดกรองและส่งเสริมพัฒนาการเด็กแรกเกิดถึง 5 ขวบ (Thai Deployment Skills Inventory: TDSI) แบบประเมินมี 70 ข้อ แบ่งการประเมินเด็กเป็นๆประกอบด้วยข้อทดสอบ 5 ด้าน คือ
ด้านการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ (gross motor: GM)
ด้านการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา (fine motor: FM)
ด้านการเข้าใจภาษา (receptive language: RL)
ด้านการใช้ภาษา (expressive language: EL)
ด้านการช่วยเหลือตนเองและสังคม (personal social: PS)
การตรวจสภาพจิต ได้แก่ การตรวจลักษณะทั่วไป สีหน้าท่าทาง การแสดงออก การรับรู้ สภาพแวดล้อม กรพูดและการใช้ภาษา อารมณ์ ความคิด และการรับรู้ต่อตนเอง ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น การ
เคลื่อนไหว สติปัญญา ความจำ สมาธิ ภาพลักษณ์ การตัดสินใจและแก้ปัญหา ความสนใจ
การประเมินด้านจิตสังคมและจิตวิญญาณ
สัมพันธภาพในครอบครัว เป็นการประเมินข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนสมาชิกในครอบครัว
ลักษณะนิสัยและบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัวแต่ละคน ความสัมพันธ์ระหว่าง
สมาชิกในครอบครัว อารมณ์ที่รุนแรง
รูปแบบการติดต่อสื่อสารของบุคคลในครอบครัว เช่น การสื่อสารที่คลุมเครือ มีการแสดง
รูปแบบการเลี้ยงดู เช่น เลี้ยงดูแบบปกป้อง เคร่งครัด หรือตามใจ เป็นต้น
2) การวินิจฉัยทางการพยาบาล (nursing diagnosis) เป็นขั้นตอนการนำความต้องการหรือปัญหาทาง สุขภาพของเด็กที่มีความบกพร่องทางสตปัญญา มาวิเคราะห์ข้อมูลข้อเท็จจริงและสรุปเป็นข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ที่ครอบคลุมปัญหาของเด็กและครอบครัว ซึ่งจะช่วยให้การวางแผนการปฏิบัติการพยาบาลมีความเหมาะสมสอดคล้อง กับความต้องการกับเด็กและครอบครัวมากขึ้น
ตัวอย่างการเขียนข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ไม่สามารถสื่อสารบอกความต้องการของตนเองได้เนื่องจากพัฒนาการด้านการใช้ภาษาล่าช้า
เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากอยู่ไม่นิ่งและการทรงตัวไม่ดี กล้ามเนื้ออ่อนแรง
มีความกพร่องในการช่วยเหลือตนเองตามวัยเนื่องจากพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่และ กล้ามเนื้อมัดเล็กล่าช้า
3) การวางแผนและการปฏบัติการพยาบาล (planning and implementation)
เป้าหมายเพื่อให้เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้ใกล้เคียงกบเด็ก ปกติมากที่สุด โดยให้เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาได้รับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพโดยเร็วตั้งแต่อายุ น้อย ๆ ซึ่งจะทำให้เด็กได้รับผลจากการกระตุ้นพัฒนาการดีกว่าเด็กที่มีอายุมากขึ้น กิจกรรมการพยาบาลจะมีทั้ง กิจกรรมต่อตัวเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาโดยตรง กิจกรรมต่อครอบครัวเด็ก และกิจกรรมการป้องกันภาวะ บกพร่องทางสติปัญญา ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
กิจกรรมการพยาบาลต่อตัวเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
มี 3 ลักษณะได้แก่ การส่งเสริมพัฒนาการตามความสามารถของเด็กที่มีภาวะบกพร่องทาง สติปัญญา, การช่วยเหลือเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาที่มีปัญหาทางจิตเวช, ด้านการศึกษาและการฝึกอาชีพ
ลักษณะที่ 1 การส่งเสริมพัฒนาการตามความสามารถของเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
โดยใช้หลักพัฒนาการตามวัยปกติ ทฤษฎีการเรียนรู้และการปรับพฤติกรรม การฝึกพัฒนาการเด็กที่มีโดยมีขั้นตอน ดังนี้
ประเมินพัฒนาการเด็กที่ภาวะบกพร่องทางสตปัญญาด้วยเครื่องมือประเมินที่คลอบคลุม เกี่ยวกับพัฒนาการดานการเคลื่อนไหว ภาษา การสื่อความหมาย และการช่วยเหลือตนเองและสังคม
การจัดโปรแกรมการสอนที่เฉพาะเจาะจงสำหรับเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสตปัญญา ในแต่ละราย ซึ่งต้องวางแผนร่วมกับพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันลดความขัดแย้งและเกิดความ ร่วมมือจากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู โดยมีขั้นตอนดงั นี้
กำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยระบุพฤติกรรมที่ต้อง เงื่อนไขการฝึกพฤติกรรม วิธีการทดสอบและเกณฑ์ตัดสินในการพิจารณาว่าเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาสามารถทำได้
การพิจารณาเรื่องที่สอน ไม่ให้มีความง่ายหรือยากจนเกินไป ควรเป็นเรื่องที่ทำใน ชีวิตประจำวันและสามารถสอนทักษะด้านอื่นๆไปด้วยพร้อมกันได้ ขั้นตอนของสอนในแต่ละกิจกรรมควรแบ่งการสอน
เป็นขั้นตอนย่อย ๆ และควรเริ่มจากขั้นง่ายไปยากและฝึกซ้ำๆบ่อยอย่างสม่ำเสมอ
วิธีการสอน เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เป้าหมายเพื่อให้เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา สามารถนำทักษะต่าง ๆ ไปใช้ในสภาพแวดล้อมที่อยู่จริง ผู้สอนควรจัดให้เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาได้มี โอกาสนำทักษะเหล่านั้นไปใช้ ด้วยการแนะนำให้ผู้ปกครองนำไปฝึกอย่างต่อเนื่องที่บ้านร่วมกับทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เด็กได้ใช้ทักษะเหล่านั้น หลักการสอนมีดังนี้
คำสั่งที่ใช้ในการสอนในเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสตปัญญ ควรเป็นคำสั่งที่งาย ชัดเจน คงที่ ให้เวลาเด็กที่ในการปฏิบัติพอสมควร ถ้าเด็กไม่ทำควรออกคำสั่งเดิมซำ้
กรณีหลังออกคำสั่ง เด็กไม่สามารถทำตามคำสั่ง หรือเด็กไม่ทำแม้จะมีการกระตุ้นด้วย
คำสั่งเดิมซ้ำๆ จะต้องให้การช่วยเหลือประกอบด้วย การช่วยเหลือทางกาย เช่น จับมือทำ การแตะข้อศอกและกระตุ้น ตือน การช่วยเหลือทางวาจา เช่น การบอก การช่วยเหลือโดยใช้ท่าทาง เช่น การชี้ การผงกศีรษะ ส่ายหน้า ช่วยเหลือ ให้ทำจนเสร็จ แล้วค่อยๆลดการช่วยเหลือลงเมื่อเด็กเริ่มทำได้ด้วยตนเอง
เมื่อเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา สามารถทำตามคำสั่งได้ไม่ว่าจะทำเองหรือ ได้รับการช่วยเหลือก็ตาม ควรให้การแรงเสริมทันที โดยชนิดของแรงเสริมที่ให้ต้องเหมาะสมกับวัยเด็ก และแรงเสริม
จะต้องเป็นสิ่งที่เด็กชอบด้วยเช่น ปรบมือ สัมผัส การให้ขนมหรือของเล่นที่ชอบ จะทำให้เด็กอยากจะทำพฤติกรรมนั้น
อีก และให้การแรงเสริมบ่อยขึ้นเมื่อต้องการให้เด็กเกิดทักษะหรือพฤตก ได้แล้ว แต่ยังคงให้เป็นระยะ ๆ เพื่อให้พฤติกรรมนั้นคงอยู่
รรมใหม่จากนั้นจึงลดการให้แรงเสริมลงเมื่อทำ
เมื่อเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญากระทำสิ่งนั้นไม่ถูกต้องตามคำสั่ง ต้องทำการ ขัดขวาง เป็นการลดหรือแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่ต้องการ หรือป้องกันการทำผิดทักษะด้วยการใช้มือปิดสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือ
สิ่งที่ไม่ต้องการให้ทำ เพื่อป้องกันการเลือกหรือการทำผิดทักษะที่ต้องการ และช่วยจับมือเลือกหรือทำในสิ่งที่ถูก ลักษณะที่ 2 การช่วยเหลือเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาที่มีปัญหาทางจิตเวช
นิเวศบำบัด โดยการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
เพื่อเพิ่มความสามารถในการปรับตัว เพิ่มคุณภาพชีวิต และลดปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรม โดยให้โอกาสเด็กทำ กิจกรรมที่พึงพอใจ ตอบสนองความต้องการเพิ่มศักยภาพในการสื่อความหมาย การเข้าสังคม การช่วยเหลือตนเอง และทักษะอาชีพ การสอนทักษะต่าง ๆ ดังกล่าวนี้สามารถใช้เทคนิคได้หลายอย่าง เช่น สอนโดยตรงในห้องเรียน สอน ในสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การเล่นบทบาทสมมติ การเล่านิทาน เป็นต้น
การปรับพฤติกรรม มี 2 แนวทาง คือ การเพิ่มพฤติกรรมที่เหมาะสม ด้วยการให้แรง เสริมทางบวก เซ่น การชมเชย ให้รางวัล เป็นต้น และการให้แรงเสริมทางลบ เช่น ไม่อนุญาตให้ไปเที่ยวนอกบ้าน
จนกว่าจะทำพฤติกรรมที่เหมาะสม การลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมด้วยการลงโทษจะใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น การปรับ พฤติกรรมมักใช้กับเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาที่มีปัญหาพฤติกรรม ได้แก่ พฤติกรรมก้าวร้าว ทำร้ายตนเอง การกระทำซ้ำ ๆ พบว่าการใช้ดนตรีและศิลปะบำบัดช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กที่มีภาวะบกพร่องทาง พัฒนาการและสติปัญญาระดับรุนแรงได้
การทำจิตบำบัด เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญามักเผชิญภาวะทางจิตสังคมที่ เลวร้าย ช่น การสูญเสีย การล้มเหลว การไม่ได้รับการยอมรับ การต้องพึ่งพาผู้อื่น
ดังนั้น การทำจิตบำบัดรายบุคคล, รายกลุ่ม, ครอบครัว สามารถช่วยเหลือเด็กที่มีความ บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยได้ ซึ่งเป้าหมายของการทำจิตบำบัด คือ การลดอารมณโกรธ ขุ่นเคืองไม่มี
ความสุข เพิ่มคุณค่าและศักยภาพของตนเอง ขจัดความขัดแย้งในใจ สามารถพึ่งตนเอง เรียนรู้ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม
ลักษณะที่ 3 ด้านการศึกษาและการฝึกอาชีพ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาควรได้รับ การศึกษาตามความสามารถอย่างเหมาะสมตามวัย ดังนี้
อายุ 0-6 ปี ส่งเสริมพัฒนาการ
อายุ 7-14 ปี ให้การศึกษภาคพิเศษ
อายุ 15-19 ปี ฝึกอาชีพ ซึ่งเป้าหมายที่สำคัญในการฝึกอาชีพให้กับบุคคลที่มีภาวะ บกพร่องทางสติปัญญาเพื่อส่งเสริมให้สามารถดูแลตนเองได้มากที่สุดและพึ่งพาคนอื่นน้อยที่สุด
การช่วยเหลือครอบครัว ในระยะที่พ่อแม่มีความรู้สึกสูญเสีย เศร้าโศก จากการมีลูกที่มีภาวะ บกพร่องทางสติปัญญา พยาบาลสามารถช่วยเหลือโดย
ช่วยประคับประคองจิตใจของพ่อแม่ พยาบาลแสดงความเข้าใจและยอมรับปฏิกิริยาความ
สูญเสียของพ่อแม่ ไม่ตำหนิหรือต่อต้าน รับฟังความรู้สึกของพ่อแม่ ให้โอกาสพ่อแม่ได้พูดหรือแสดงความรู้สึกสูญเสีย และให้กำลังใจช่วยเหลือจนกว่าครอบครัวจะสามารถจัดการปัญหาได้ด้วยตนเอง
ช่วยให้พ่อแม่ยอมรับลูกและมีความหวัง โดยการให้ข้อมูลที่เป็นจริงเกี่ยวกับสาเหตุการเกิด ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา เพื่อให้เกิดความรู้สึกทางบวกต่อเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
ให้คำปรึกษาพ่อแม่ เมื่อพ่อแม่ผ่านระยะของความเศร้าโศกและเริ่มยอม ให้ช่วยให้พ่อแม่ คาดหวังในตัวเด็กตามความเป็นจริงโดย
การให้ข้อมูลเกี่ยวกบความสามารถของเด็ก
ให้แนวทางใการดูแลเด็ก เช่น การกระตุ้นพัฒนาการ การปรับพฤติกรรม การรับการ
ช่วยเหลือทางสังคม
ช่วยให้สมาชิกของครอบครัวสามารถปรับตัวในการอยู่ร่วมกัน โดยพยาบาลต้องช่วย
สร้างบรรยากาศที่ดีภายในครอบครัว ให้สมาชิกในครอบครัวยอมรับความจริง ร่วมใจช่วยเหลือกัน สมาชิกใน ครอบครัวมีความอดทน ยืดหยุ่น และยอมรับเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
การป้องกันภาวะบกพร่องทางสติปัญญา เป็นบทบาทพยาบาลในการส่งเสริมสุขภาพทั้งในระยะ ก่อนตั้งครรภ์ ระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอด และระยะหลังคลอด เพื่อป้องกันเด็กไม่ให้เกิดภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
ซึ่งสามารถป้องกันได้ดังนี้
ระยะก่อนตั้งครรภ์ วัยเจริญพันธุ์โดยเฉพาะวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ควรได้รับความรู้เกี่ยวกับภาวะ บกพร่องทางสติปัญญาและพัฒนาการ สาเหตุที่สามารถป้องกันได้ เช่น การฉีดวัคซีน ป้องกันหัดเยอรมัน การ รับประทานอาหารที่มีธาตุไอโอดีน อายุมารดาที่เหมาะสมกับการตั้งครรภ์ การรับคำปรึกษาก่อนสมรส และการ
วางแผนครอบครัว เป็นต้น
ระยะตั้งครรภ์ หญิงมีครรภ์ควรฝากครรภ์ตั้งแต่แรกและได้รับการตรวจครรภ์สม่ำเสมอ ได้รับ
ความรู้ในการปฏิบัติตัวในระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันภาวะเสี่ยงระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น การรับประทานอาหารที่มี ประโยชน์อย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการติดเชื้อ การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือการใช้สารเสพติด สารพิษ รังสีเอกซเรย์ ไม่ซื้อ ยามารับประทานเอง การพักผ่อนให้เพียงพอ และการส่งเสริมสุขภาพจิต เป็นต้น
ระยะคลอด หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการทำคลอดในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกัน ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
ระยะหลังคลอด เด็กจำป็นต้องได้รับความพร้อมในการเลี้ยงดู ความรัก ความอบอุ่นจาก ครอบครัว พ่อ แม่ ได้รับการเลี้ยงดูด้วยนมแม่ในระยะขวบปีแรกเพราะนมแม่มีภูมิคุ้มกันโรคและสารอาหารที่มีคุณค่า
ต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก การดูแลให้เด็กได้รับอาหารที่เหมาะสมตามวัย ได้รับวัคซีป้องกันโรค ป้องกันการติดเชื้อและการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ รวม ทั้งไดัรับการติดตามการเจริญเติบโตและมีพัฒนาการตามวัยอย่าง ต่อเนื่อง
4) การประเมินผล (evaluation)
ภายหลังให้การพยาบาลเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา จะต้องมีการประเมินผลที่เกิดขึ้นว่า เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้หรือไม่ โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์การประเมินผลที่ได้กำหนดไว้ ถ้าไม่เป็นไป ตามวัตถุประสค์ที่วางแผนไว้ พยาบาลจะต้องนำผลที่ประเมินได้มาปรับแผนการพยาบาลหรือปรับกลยุทธ์ในการ พยาบาลเพื่อแก้ไขปัญหาของเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาต่อไป
สรุป
สมองของเด็กภาวะบกพร่องทางสติปัญญา จะมีภาวะของการหยุดพัฒนาหรือมีการพัฒนาอย่างไม่สมบูรณ์
ส่งผลให้เด็กเกิดความบกพร่องของพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม ภาษาและสติปัญญา ทำให้มีความ บกพร่องในความสามารถทางการคิด การปรับตัวในการพึ่งตนเองในชีวิตประจำวัน การเรียน การทำงาน และการมี
ส่วนร่วมในสังคม บทบาทของพยาบาลในการพยาบาลเดกภาวะบกพร่องทางสติปัญญา คือการเข้าไปช่วยหลือเด็กและ
ครอบครัว ตั้งแต่ประเมินปัญหาที่ตรงตามความเป็นจริงและให้การพยาบาลที่มีความเฉพาะเจาะจงกับปัญหาของแต่ ละบุคคล เพื่อให้บุคคลที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาสามารถช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุดและเป็นภ าระกับ ครอบครัวและสังคมน้อยที่สุด