Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กและวัยรุ่นที่มีการเจ็บป่วยทางจิตเวช - Coggle Diagram
การพยาบาลเด็กและวัยรุ่นที่มีการเจ็บป่วยทางจิตเวช
4.3 โรคซนสมาธิสั้น
1. ความหมาย ลักษณะอาการและอาการแสดงโรคซนสมาธิสั้น
1.1 ความหมายโรคซนสมาธิสั้น
โรคซน-สมาธิสั้น (attention-deficit/ hyperactivity disorder: ADHD) จะเริ่มแสดงอาการตั้งแต่วัยเด็ก
มีลักษณะการไม่ใส่ใจ ขาดสมาธิ (inattention) และ/หรือ มีอาการซนไม่อยู่นิ่ง (hyperactivity) หุนหันพลัน
รูปแบบที่มีลักษณะถาวร (persistent patter) ส่งผลต่อการทำหน้าที่
พัฒนาการของเด็ก อาการขาดสมาธิ ทำให้มีใจจดจ่ออยู่กับงานได้ไม่นาน ขาดความต่อเนื่อง
ความสนใจเรื่องใดได้นาน ไม่มีความเป็นระเบียบ และไม่ใช่เกิดจากการไม่เชื่อฟังหรือไม่เข้าใจ
1.2 ลักษณะอาการและอาการแสดงโรคซนสมาธิสั้น
มีพฤติกรรมที่ประกอบไปด้วยอาการไม่ใส่ใจ ขาดสมาธิ และ/หรือ อาการซนไม่อยู่นิ่ง หุนหันพลัน
อาการเริ่มปรากฎก่อนอายุ 12 ขวบ
อาการแสดง ส่งผลรบกวนต่อการใช้ชีวิตหรือพัฒนาการ เป็นอุปสรรคหรือทำให้คุณภาพการทำกิจกรรมอื่นๆ
ลดลงอาการต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะช่วงที่มีอาการของโรคจิตเภทหรือโรคของความผิดปกติทางจิตอื่นๆ
1. อาการขาดสมาธิมีตั้งแต่ 6 อาการขึ้นไป
วัยรุ่นตอนปลายและผู้ใหญ่
ต้องมีอาการอย่างน้อย 5 อาการขึ้นไป ซึ่งอาการต่างๆมีดังต่อไปนี้
มักจะไม่สามารถจดจำรายละเอียด หรือขาดความรอบคอบจึงทำผิดพลาดในเรื่องเกี่ยวกับ
มักจะไม่มีสมาธิในการทำงานหรือการเล่น
มักจะดูเหมือนไม่สนใจฟังเวลาที่พูดด้วยโดยตรง
มักจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและไม่สามารถทำงานเกี่ยวกับการเรียน งานบ้าน หรือทำงานต่างๆ
ม้กมีปัญหาในการวางแผนเกี่ยวกับงานหรือการทำกิจกรรมต่างๆ
มักจะหลีกเลี่ยง ไม่ชอบ หรือลังเลที่จะทำงานที่ต้องใช้ความคิด
มักจะทำของที่จำเป็นสำหรับการเรียนหรือการทำงานหายอยู่บ่อยๆ
มักจะถูกเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งเร้าภายนอกได้ง่าย (สำหรับวัยรุ่นตอนปลายและวัย
ผู้ใหญ่อาจจะรวมถึงความคิดที่ไม่สัมพันธ์กับสิ่งที่ทำ
มักจะลืมบ่อยๆ เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน
2. อาการซน ไม่อยู่นิ่ง
อาการหุนหันพลันแล่น มีอาการดังต่อไปนี้ตั้งแต่ 6 อาการขึ้นไป
สำหร้บวัยรุ่นตอนปลายและผู้ใหญ่ (อายุตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไป) ต้องมีอาการอย่างน้อย 5 อาการขึ้นไป ซึ่งอาการ
เมื่อนั่งอยู่กับที่มักจะมีอาการกระวนกระวาย กระสับกระส่าย หรือรู้สึกทรมาน นั่งขยุกขยิก
ยุกยิกตลอดเวลา ใช้มือหรือเท้าเคาะโน่นเคาะนี่
มักจะลุกจากที่นั่งบ่อยๆ ในสถานการณ์ที่ควรต้องนั่งอยู่กับที่
มักจะไม่สามารถเล่นหรือเข้าร่วมในกิจกรรมสันทนาการได้อย่างเงียบๆ
มักจะยุ่งวุ่นวาย เสมือนหนึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์อยู่ตลอดเวลา
หรือรู้สึกอึดอัดใจอย่างมากถ้ามีการต่อเวลา เช่น ในร้านอาหาร ในการประชุม
มักจะพูดมาก พูดไม่หยุด
มักจะโพล่งตอบคำถามก่อนที่จะถามคำถามจบ
มักจะมีปัญหาในการรอคอยให้ถึงตาตนเอง
มักจะขัดจังหวะ หรือสอดแทรกผู้อื่น สำหรับวัยรุ่นตอนปลายและวัยผู้ใหญ่อาจจะเป็น
ซึ่งอาการดังกล่าวมีเป็นเวลานานติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน และอยู่ในระดับที่ไม่สอดคล้อง
เหมาะสมกับระดับของพัฒนาการและส่งผลทางลบโดยตรงต่อการใช้ชีวิตในสังคมและการเรียน
3. การพยาบาลโรคซนสมาธิสั้น
1) การประเมินสภาพ (assessment)
ควรมีการประเมินว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไรบ้างขณะอยู่ในห้องเรียน
ลักษณะของการมีปฏิสัมพันธ์ต่อเพื่อน
ผลการเรียนป็นอย่างไร
2) การวินิจฉัยทางการพยาบาล (nursing diagnosis)
เสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บ
ไม่สามารถทำตามบทบาทหน้าที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเองต่ำเป็นระยะเวลานาน
วิธีการเผชิญปัญหาไม่มีประสิทธิภาพ
การดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายบกพร่อง
แบบแผนการนอนไม่เหมาะสม
3) การวางแผนและการปฏิบัติการพยาบาล (planning and implementation)
การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดกับพ่อแม่และเด็ก และคุณครู เพื่อให้เกิดความ
ไว้วางใจและประสานความร่วมมืออันดีระหว่างโรงพยาบาล บ้าน และโรงเรียนในการแก้ไขปัญหาของเด็ก
ให้ความรู้ คำแนะนำแก่พ่อแม่ ผู้ปกครอง และคุณครูเกี่ยวกับโรค การดูแลเด็ก การ
ปฏิบัติต่อเด็ก การวางระเบียบวินัยให้แก่เด็ก แผนการบำบัดรักษา รวมถึงยาการออกฤทธิ์ของยาและอาการ
ข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งวิธีการปฏิบัติเมื่อเกิดอาการต่างๆ เหล่านั้น ฯลฯ
กำหนดพฤติกรรมของเด็กที่ความคาดหวังร่วมกันระหว่างพ่อแม่ผู้ปกครอง คุณครู
ทีมสหสาขาวิชาชีพ และสื่อสารกับเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครอง คุณครูให้ชัดเจนเกี่ยวกับพฤติกรรมที่คาดหวังที่ได้
กำหนดไว้ว่าต้องการให้เด็กทำพฤติกรรมอะไรบ้าง
ดูแลให้เด็กได้รับการรักษาด้วยยาร่วมกับการรักษาด้วยการปรับพฤติกรรมและการ
รักษาทางจิตสังคม
4) การประเมินผล (evaluation)
ภายหลังให้การพยาบาลเด็กที่มีโรคซนสมาธิสั้น จะต้องมีการประเมินผล
ตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้หรือไม่ พฤติกรรมต่างๆที่เป็นปัญหาลดลงหรือไม่ ทั้งในแง่ความรุนแรงและ
ความถี่ในการเกิดพฤติกรรมต่างๆที่เป็นปัญหา เด็กสามารถควบคุมตนเองได้ดีเพียงใด รวมทั้งเด็กมีคุณภาพ
ชีวิตดีขึ้นหรือไม่ พ่อแม่ผู้ปกครอง คุณครูสามารถให้การเลี้ยงดูเด็กและปรับพฤติกรรมเด็กได้อย่างมี
ประสิทธิภาพเพียงใด หากผลการพยาบาลไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางแผนไว้
ประเมินได้มาปรับแผนการพยาบาลหรือปรับกลยุทธ์ในการพยาบาล สมาธิสั้น
2. สาเหตุ การบำบัดรักษาโรคซนสมาธิสั้น
2.1 สาเหตุของโรคซนสมาธิสั้น
2) ปัจจัยก่อนคลอด
การที่หญิงตั้งครรภ์ 3เดือนแรก (first trimester) มีการติดเชื้อ มีการเสพสุรา ยาเสพติด
สูบบุหรี่ การคลอดก่อนกำหนด (prematurity) หรือการที่เด็กขาด oxygen ระหว่างคลอด ล้วน
3) ปัจจัยทางจิตสังคม
การที่เด็กไม่ได้รับความอบอุ่นเป็นระยะเวลานานๆ (prolonged emotional deprivation)
เหตุการณ์ที่ทำให้เด็กรู้สึกเครียด (stressful psychic events)
ครอบครัว พ่อแม่มีปัญหาขัดแย้งกันอยู่บ่อยๆ พ่อแม่มีความเครียดสูง รวมทั้งการที่ผู้ที่เลี้ยงดูเด็กขาด
ทักษะในการจัดการพฤติกรรมเด็กที่เป็นปัญหา และการที่พ่อไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดู
1) ปัจจัยทางชีวภาพ
กายวิภาค สรีรวิทยา ของระบบประสาท (Neuroanatomical and neurophysiological
factors)
สารเคมีของระบบประสาท (neurochemical factors)
พันธุกรรม
4) ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม
การที่เด็กมีความผิดปกติของระบบประสาท เช่น สมองอักเสบ (encephalitis)
การสูดหายใจอากาศที่มีมลภาวะเป็นพิษ การรับประทานสารตะกั่ว
อาการของโรค ADHD ร้อยละ 5 แต่บางตำรากล่าวว่ายังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการของโรค ADH
5) ปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง
อารมณ์ของเด็ก ปัจจัยทางด้านพันธุกรรมที่ถ่ายทอดในครอบคร้ว
มาตราฐานของสังคมในเรื่องเกี่ยวกับความประพฤติและการกระทำ
4.4 ภาวะออทิซึมสเปกตรัม
2. สาเหตุ การบำบัดรักษาของภาวะออทิซึมสเปกตรัม
2.1 สาเหตุของของภาวะออทิซึมสเปกตรัม
1) ปัจจัยทางพันธุกรรม
2) ปัจจัยทางสมอง
3) ปัจจัยในระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอดและระยะหลังคลอด
2.2 การบำบัดรักษาภาวะออทิซึมสเปกตรัม
1) การรักษาทางยา
ไม่ได้มีเป้าหมาย เพื่อการรักษาให้หายขาดจากภาวะออทิซึมสปกตรัมโดยตรง
นำยามาใช้บรรเทาอาการบางอย่างทีเกิดร่วมกับภาวะออทิซึมสเปกตรัม
ภาวะออทิซึมสเปกตรัมทุกราย และเมื่อรับประทานยาจนอาการบ้างประการดีขึ้นจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นจะ
พิจารณาลด หรือหยุดยา เมื่อแพทย์พิจารณาว่าไม่จำเป็นยาตลอดชีวิต ยาที่มักมาใช้บรรเทาอาการที่เกิดร่วม
2) พัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร
3) พัฒนาด้านทักษะทางสังคม (social skills)
4) พฤติกรรมบำบัด (behavioral therapy)
5) การบำบัดทางความคิด และพฤติกรรม (cognitive behavioral therapy: CBT)
3. การพยาบาลเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม
2) การวินิจฉัยทางการพยาบาล (nursing diagnosis)
มีพฤติกรรมก้าวร้าว เนื่องจากขาดความสามารถในการควบคุมตนเอง
มีความบกพร่องด้านการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น เนื่องจากมีพฤติกรรมแยกตัว
เสี่ยงต่อการทำร้ายตนเอง เนื่องจากขาดความสามารถในการควบคุมตนเอง
เสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร เนื่องจากมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารซ้ำซาก
1) การประเมินสภาพ (assessment)
การซักประวัต
การประเมินทางร่างกาย
การสังเกตพฤติกรรม โดยเฉพาะการเล่นของเด็ก
การใช้แบบคัดกรองพัฒนาการตามช่วงวัย
การประเมินสภาพจิต
การประเมินทางด้านจิตสังคม
สัมพันธภาพในครอบครัว
1. ความหมาย ลักษณะอาการและอาการแสดงของภาวะออทิซึมสเปกตรัม
1.1 ความหมายของภาวะออทิซึมสเปกตรัม
กลุ่มโรคที่มีความผิดปกติของพัฒนาการทางระบบประสาท ที่มีความบกพร่องของพัฒนาการ
การสื่อสารร่วมกับความผิดปกติของพฤติกรรม และความสนใจหมกหมุ่นในบางเรื่อง
พฤติกรรมซ้ำๆ ซึ่งแสดงอาการในระยะต้นของพัฒนาการ
1.2 ลักษณะอาการและอาการแสดงของภาวะออทิซึมสเปกตรัม
1) มีความบกพร่องด้านการสื่อสารและด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในหลายบริบท
มีความบกพร่องด้านการสื่อสาร
มีความบกพร่องในการสร้าง รักษา และเข้าใจในสัมพันธภาพ
มีความผิดปกติทางอารมณ์และทางสังคม
2) มีแบบแผนพฤติกรรม ความสนใจ หรือกิจกรรมที่จำกัดซ้ำๆ (stereotyped)
มีการแสดงกิริยาบางอย่างซ้ำ (mannerism) เช่น การสะบัดมือ การหมุนตัว การหมุน
ต้นคอ การโยกตัว ใช้วัตถุให้มีการเคลื่อนไหวซ้ำๆ หรือใช้คำพูดซ้ำๆ
ยึดติดกับสิ่งเดิม กิจวัตรประจำวันเดิม หรือแบบแผนการสื่อสารเดิมๆซ้ำๆ ไม่มีความ
มีความสนใจที่จำกัดในขอบเขตที่จำกัดหรือเฉพาะเจาะจง หมกหมุ่นกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด
มีการตอบสนองต่อการรับสัมผัสสิ่งเร้าที่เข้ามากระตุ้น เช่น แสง สี เสียง สัมผัส
3
) การวางแผนและการปฏิบัติทางการพยาบาล (planning and implementation
)
1) การพยาบาลช่วยเหลือด้านเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม
ทักษะการสื่อความหมาย
ยิ่งเด็กอายุมากขึ้นเท่าไรแล้วยังไม่พูดการฝึกก็จะยิ่งยาก
การฝึพูดเริ่มด้วยการสร้างสัมพันธภาพร่วมกับเด็ก พูดกับเด็กตลอดเวลาทุกครั้งที่มีโอกาสจัดกิจกรรม
สอดคล้องกับความเป็นอยู่ของด็ก โดยทำร่วมกับเด็กทำไปด้วยพูดสอนไปด้วย เช่น จัดกิจกรรมทำอาหาร
เด็กช่วยหยิบช้อน ส่งจาน ตีไข่ ล้างผัก เป็นต้น เมื่อเด็กสามารถทำตามคำสั่ง มีความสนใจในการทำกิจกรรม
ร่วมกับผู้สอนแล้วจึงเริ่มสอนพูดตามขั้นตอน ซึ่งมี 4 ขั้นตอน คือ เลียนแบบกิริยกำทางต่าง ๆ, เลียนแบบการ
ออกเสียง, รู้จักความหมายของเสียง และสามารถแยกความหมายของเสียง
ทักษะทางสังคม
เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม จะไม่มีการแสดงสีหน้า
ความรู้สึกใด ๆ ดังนั้นพยาบาล พ่อแม่ ควรจะสอนให้เด็กรู้จักแสดงความรู้สึกภายในใจออกมา รู้จักยิ้ม รู้จัก
แสดงสีหน้าต่าง ๆ กัน โดยแสดงสีหน้าให้เด็กดูหรือนำภาพสีหน้าต่าง ๆ ให้เด็กได้ฝึกเลียนแบบสีหน้าต่าง ๆ
พร้อมกับดูหน้าตัวเองในกระจกเปรียบเทียบกับรูปภาพ การฝึกนี้ทำให้เด็กเกิดความสนุกสนาน รู้จักทักทาย
มารยาททางสังคม การเล่นกับผู้อื่น และพาเด็กออกไปนอกบ้าน เช่น ไปสวนสาธารณะ งานสังสรรค์ เดินทาง
การฝึกกิจวัตรประจำวัน
การฝึกให้เด็กรู้จักทำกิจวัตรประจำวัน เช่น เมื่อตื่น
นอนตอนเข้า ต้องไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แต่งตัว เก็บที่นอน ช่วยจัดโต๊ะรับประทานอาหาร
ร่วมกัน ฝึกการช่วยเหลือตนเอง ตลอดจนการทำกิจกรรมอื่น ๆ พยาบาลสามารถฝึกเด็กขณะอยู่ในโรพยาบาล
ให้คำแนะนำพ่อแม่ในการฝึกเด็กเมื่อเด็กอยู่ที่บ้าน เพื่อให้เด็กปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง
แก้ไขพฤติกรรมที่ไม่หมาะสม
ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่รุนแรง มักสามารถแก้ไขได้ด้วยการปรับพฤติกรรม
4) การประเมินผลทางการพยาบาล (evaluation)
เป็นการประเมินผลหลังให้การพยาบาลตามตัวชี้วัดที่ได้กำหนดไว้ในเกณฑ์การประเมินผล
เพื่อตรวจสอบว่าภายหลังให้การพยาบาลเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม เป็นไปดามเป้าหมายที่วางแผนไว้
สามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ ถ้ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ พยาบาลจะต้องนำผลที่ประเมินได้มาปรับ
แผนการพยาบาลหรือปรับกลยุทธ์ในการพยาบาลเพื่อแก้ไขปัญหาของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมต่อไป