Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้สูงอายุที่มีการเจ็บป่วยทางจิตเวช - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้สูงอายุที่มีการเจ็บป่วยทางจิตเวช
การพยาบาลบุคคลที่มีภาวะสมองเสื่อม
ลักษณะอาการ
A. มีหลักฐานจากประวัติและการตรวจประเมิน พบความบกพร่องของสมองด้านความคิดและการรับรู้อย่าง
น้อยหนึ่งด้านต่อไปนี ้ สมาธิและความสนใจ(attention) ความสามารด้านการบริหารจัดการ (executive
function) การเรียนรู้ ความจ า การใช้ภาษาด้าน perceptual motorหรือ social cognition
B. อาการดังกล่าวมีผลกระทบต่อการด าเนินชีวิตอย่างอิสระด้วยตนเองที่ท าอยู่เป็ นประจ าทุกวัน ต้องมีผู้ช่วย
ในการท ากิจกรรมที่ซับซ้อน เช่น การจัดยา การจ่ายเงิน
C. อาการดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ ้นในขณะที่มีภาวะเพ้อ (Delirium)
D. อาการดังกล่าวไม่สามารถอธิบายด้วยโรคจิตเวชอื่นเช่นโรคจิตเภท โรคซึมเศร้า
สาเหตุ
สมองเสื่อมแบบ Alzheimer ซึ่งเป็ นกลุ่มโรคที่มีความเสื่อมของเซลประสาทมากขึ ้นเรื่อยๆ
และด าเนินโรคแบบค่อยเป็ นค่อยไป เป็ นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะสมองเสื่อม โดยทั่วไปมักพบในผู้ที่มีอายุ
มากและส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ ้น พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย การเสื่อมของเซลล์ประสาทเกิด
จาก neurofibrillary tangle (NFT) และ beta amyloid plaque ที่สะสมมากขึ ้นจนเซลล์ประสาทตายและการ
ท างานของสมองส่วนต่างๆผิดปกติ ผู้ป่ วยจะมีอาการตามสมองส่วนที่สูญเสียหน้าท
สมองเสื่อมที่เกิดจากพยาธิสภาพของหลอดเลือด พบได้ร้อยละ20 เช่น หลอดเลือดอุดตัน ผู้ป่ วยที่ประวัติความดันเลือดสูง
สมองเสื่อมจากสาเหตุอื่นๆ
ความหมาย
เป็ นกลุ่มอาการที่มีการเสื่อมถอยของการท างานของสมองด้านความคิด การรับรู้อย่างน้อยหนึ่งด้านโดยมี
ความสามารถลดลงจากเดิมที่เคยดีมาก่อน โดยที่ผลการเปลี่ยนแปลงนี ้ มีผลกระทบต่อการด าเนินชีวิตของผู้ป่ วย
จนไม่สามารถท าหน้าที่การงาน เข้าสังคม เรียนรู้ ตัดสินใจ แก้ปัญหาในชีวิตประจ าวันได้ (สุวิทย์ เจริญศกั ดิ์,2557,349)
การบำบัดรักษา
การรักษาด้วยยา ยังไม่มียาที่ใช้แก้ไขสาเหตุได้ การให้ยาโดยทั่วไปเป็ นการบรรเทาอาการ ช่วยชะลอ
ความแย่ลงของอาการ ยากลุ่มที่ใช้ในปัจจุบันมี 3 ชนิด คือ donepezil, rivastigmine และ galantamine
การรักษาโดยไม่ใช้ยา ไม่มีความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของยา ซึ่งผู้ป่ วยทุกคนสามารถท าได้ เช่น การออกก าลังกาย ฝึ กความคิด ความจ า เล่นเกมต่างๆ ดนตรีบ าบัด สัตว์เลี ้ยงบ าบัด สุคนธบ าบัด
3 การดูแลทั่วไป
กระบวนการพยาบาล
การประเมินผู้ป่ วย
1.1 สอบถามจากญาติเกี่ยวกับ ความจ า ความเข้าใจเรื่องราวต่างๆ สภาพอารมณ์ การใช้ภาษา การรับรู้
วัน เวลา สถานที่ บุคคล การแสดงพฤติกรรม การใช้ยา ความเจ็บป่ วย
1.2 ความสามารถในการใช้ชีวิตในปัจจุบัน การดูแลตนเอง
การวินิจฉัยการพยาบาล
2.1 กระบวนการคิดและสติปัญญาแปรปรวนเนื่องจากความเสื่อมของเซลสมอง
2.2 การดูแลตนเองบกพร่องเนื่องจากสูญเสียความจ าและความเข้าใจสิ่งต่างๆ
การปฏิบัติการพยาบาล
3.1 สอนญาติที่จะเป็ นผู้ดูแลผู้ป่ วย เนื่องจากผู้ป่ วยโรคนี ้ไม่จ าเป็ นต้องอยู่โรงพยาบาล โดยให้ญาติมี
ความเข้าใจอาการของโรคยอมรับความผิดปกติที่เกิดขึ ้นกับผู้ป่ วย
3.2 ผู้ป่ วยที่เริ่มรู้ว่าตนเองมีอาการหลงลืมจะรู้สึกสูญเสีย ตกใจ เศร้า พยาบาลหรือผู้ดูแลควรให้ผู้ป่ วยได้
ระบายและพูดถึงความรู้สึก ให้ก าลังใจในการแก้ไข เช่น จดสิ่งที่จะต้องท า การนัดหมาย ความ
ต้องการต่างๆ
3.3 ผู้ป่ วยที่หลงลืม ไม่ควรพูดล้อเลียน ต าหนิให้ผู้ป่ วยเสียหน้า ควรแนะน าหรือเตือนอย่างสุภาพ
3.4 ดูแลสุขอนามัยด้านร่างกายของผู้ป่ วยเพราะผู้ป่ วยที่มีปัญหาการสื่อสารจะไม่สามารถบอกความ
ผิดปกติที่เกิดขึ ้นได้
3.5 ดูแลความสะอาด สุขอนามัยส่วนตัว การอาบน ้า แปรงฟัน แต่งตัว การขับถ่าย
3.6 ให้ผู้ป่ วยได้รับอาหารและน ้าอย่างเพียงพอ
3.7 หลีกเลี่ยงการบังคับสิ่งที่ผู้ป่ วยไม่สามารถท าได้ เพื่อไม่ให้ผู้ป่ วยรู้สึกสูญเสียคุณค่าในตนเอง
3.8 ยอมรับต่อพฤติกรรมแปลกๆของผู้ป่ วย ไม่โต้เถียง บังคับให้เปลี่ยนพฤติกรรมหรือล้อเลียนให้ได้อาย
3.9 จัดให้มีปฏิทินและนาฬิกาตวั โตๆไว้ในที่ที่ผ้ปู ่ วยสามารถมองเห็นได้โดยง่าย
3.10 ควรสื่อสารกับผู้ป่ วยด้วยค าถามปิ ด ตอบเพียงสั ้นๆ ไม่ต้องให้ผู้ป่ วยอธิบายมากมายนัก
3.11 การสื่อสารด้วยท่าทางจะช่วยเสริมการสื่อสารด้วยค าพูดได้ดียิ่งขึ ้น เช่น การยิ ้ม การสัมผัส
จับมือ เป็ นต้น
3.12 ให้อิสระในการท ากิจกรรมต่างๆ โดยให้ผู้ป่ วยช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด
3.13 หลีกเลี่ยงการทดสอบความจ าหรือความสามารถเพราะจะท าให้ผู้ป่ วยวิตกกังวลมากขึ ้น
3.14 ลดการรบกวนการนอนโดย
3.15 ระวังการพลัดตกหกล้มหรือหลงทางเมื่อออกจากบ้านไปแล้วกลับไม่ถูก
3.16 ฟื ้นฟูความจ าโดยเรียกชื่อผู้ป่ วย น ารูปครอบครัวหรือคนใกล้ชิดมาให้ผู้ป่ วยดู
การพยาบาลบุคคลที่มีภาวะเพ้อ
ความหมาย
ภาวะเพ้อ (Delirium) หรือภาวะสับสนเฉียบพลัน เป็ นกลุ่มอาการ ( syndrome) ไม่ใช่โรค เกิดจาก
หลายสาเหตุและถือเป็ นภาวะฉุกเฉิน ที่มีลักษณะความผิดปกติของสติสัมปชัญญะ การรู้สึกตัว(consciousness)
เกิดการเปลี่ยนแปลงของการรู้คิดและการรับรู้ (cognitive function) อาการทางจิตที่พบบ่อยคือความผิดปกติของ
อารมณ์และพฤติกรรม
สาเหตุของภาวะเพ้อ
Metabolic imbalance จาก dehydration, hypoxia, hypoglycemia, electrolyte imbalance,
hepatic - renal disease เป็ นต้น
Substance abuse toxicity & withdrawal syndromes เช่น อาการ delirium tremens พบในผู้ป่ วยโรค
พิษสุราเรื ้อรัง ( Alcoholism ) ช่วงขาดสุรา หรือผู้ที่ติดสารเสพติด
การติดเชื ้อในร่างกาย เช่น ปอดบวม ไข้ไทฟอยด์ มาลาเรีย การติดเชื ้อที่สมอง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
การติดเชื ้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ ภาวะโลหิตเป็ นพิษ เป็ นต้น
การท าผ่าตัด เส้นเลือดในสมองแตก การอุดตัน หรือเนื ้องอกในสมอง
ระบบประสาทสมองผิดปกติ เกิดการชัก ภาวะเลือดไปเลี ้ยงสมองน้อยกว่าปกติ การบาดเจ็บที่ศีรษะ
บาดเจ็บที่สมอง
ภาวะไข้ โดยเฉพาะไข้สูงในผู้สูงอายุ หรือผู้ทุโภชนาการ
การขาดวิตามิน ในผู้ที่ติดสุราเรื ้อรัง มักขาดวิตามิน B1 B12
ได้รับสารพิษ ยาฆ่าแมลง พิษจากสารโลหะหนัก ได้แก่ ปรอท ตะกั่ว ก๊าซพิษจากท่อไอเสียรถยนต์
ความผิดปกติของหลอดเลือด ภาวะหัวใจล้มเหลว อวัยวะต่างๆล้มเหลว
สิ่งกระตุ้นทางจิตสังคมที่ท าให้เกิดความเครียดแล้วเกิดอาการทางกาย เช่น นอนไม่หลับติดต่อกันเป็ น
เวลานาน ความเจ็บปวด การไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ หรือภาวะขาดความรู้สึก(Sensory
deprivation) หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่สับสนหรือมีสิ่งเร้ามากเกินไป
ลักษณะอาการ
เกณฑ์การวินิจฉัยภาวะเพ้อ(Delirium) ตาม DSM-5 (พรจิรา ปริวัชรากุล และณัฏฐา สายเสวย,2558,338)
A. มีความบกพร่องของสมาธิความสนใจ ( Attention) และระดับความรู้สึกตัว ( consciousness)
B. การเปลี่ยนแปลงในข้อ A. เกิดขึ ้นในระยะเวลาสั ้นๆ แบบเฉียบพลัน อาการขึ ้นๆลงๆ ในระหว่างวัน
C. ตรวจพบความผิดปกติความคิด การรับรู้ ( cognitive function )เช่น ความจ าภาษา การรับประสาท
สัมผัส การรู้วัน เวลา สถานที่ บุคคล บกพร่อง (Disorientation)
D. อาการต่างๆข้างต้นไม่สามารถอธิบายได้จากโรคอื่นในกลุ่ม Neurocognitive disorder หรือจากภาวะcoma
E. มีหลักฐานจากประวัติการเจ็บป่ วย การตรวจร่างกาย และการสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ ว่าอาการ
ต่างๆเป็ นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของอาการทางกาย การใช้ยา สารเสพติด ได้รับสารพิษ หรือจาก
หลายสาเหตุร่วมกัน
การบำบัดรักษา
การรักษาโดยใช้ยา
2.1 ผู้ป่ วย substance withdrawal ใช้ยา first line benzodiazepine
2.2 ผู้ป่ วยสูงอายุ หรือป่ วยหนัก ใช้ antipsychotic ในระดับต ่า เลี่ยง benzodiazepine
2.3 ผู้ป่ วยมี dementia ร่วมด้วย ใช้ antipsychotic ในระดับต ่า ถ้าไม่ดีขึ ้น ต้องหยุดยา เพราะยาอาจท า
ให้ผู้ป่ วยเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะยาที่มี cardio vascular side effect
2.3 ผู้ป่ วยที่มีอาการแบบ hypoactive ไม่ควรใช้ benzodiazepam ใช้ Haloperidol 0.5-2 mg./ day
ถ้ามี EPS มาก ให้ใช้ risperidone0.5-2 mg./ day หรือ olanzapine 2.5-5 mg./day
การรักษาจำเพาะ
รักษาโรคหรือภาวะผิดปกติที่เป็ นสาเหตุ เป็ นการรักษาที่ดีที่สุด เมื่อสาเหตุหมดไป อาการจะดีขึ ้น ผู้ป่ วย
จะหายเป็ นปกติภายใน 3-7 วัน หยุดการใช้ยาที่ไม่จ าเป็ นทุกชนิด ยาอาจท าให้ผู้ป่ วยมีภาวะเพ้อ เช่น ยา
รักษาโรคกระเพาะกลุ่ม H2-blocker เช่น cimetidine, ranidine หรือยาปฏิชีวนะ เช่น ciprofloxacin ให้
ยาทางจิตเวชเพื่อลดการกระวนกระวาย การก้าวร้าว ประสาทหลอน หรือหลงผิด
กระบวนการพยาบาลบุคคลที่มีภาวะเพ้อ
การวินิจฉัยการพยาบาล
2.1 เสี่ยงต่อการได้รับอุบัติเหตุและบาดเจ็บเนื่องจากการรับรู้แปรปรวน
2.2 การตัดสินใจและดูแลตัวเองบกพร่องเนื่องจากพร่องทางกระบวนการทางสมองและสติปัญญา
2.3 การสื่อสารไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากสมองเสียหน้าที่
2.4 แบบแผนการนอนแปรปรวน
2.5 กระบวนการคิดและการรับรู้บกพร่อง
การปฏิบัติการพยาบาล
3.1 ป้ องกันอุบัติเหตุและการบาดเจ็บโดยจ ากัดบริเวณผู้ป่ วยให้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย ยกข้างเตียงขึ ้น
ทุกครั ้ง ถ้าจ าเป็ นอาจต้องผูกมัดผู้ป่ วยไว้
3.2 ผู้ป่ วยที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ มีแนวโน้มเป็ นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น พยาบาลต้องจ ากัด
พฤติกรรมให้ผู้ป่ วยสงบโดยเร็ว โดยเรียกชื่อผู้ป่ วยให้ผู้ป่ วยพูดระบายอารมณ์และบอกว่าพยาบาลจะช่วยเหลือ
ผู้ป่ วยอย่างไรบ้างถ้าจ าเป็ นต้องใช้ยา PRN ก็ต้องบอกให้ผู้ป่ วยร่วมมือ “คุณมานพคะคุณต้องไม่ท าร้ายใคร คุณ
รู้สึกอย่างไรบ้าง” “คุณมานพคะ..ขณะนี ้คุณควบคุมตนเองไม่ได้ ทีมพยาบาลจะช่วยเหลือคุณและทุกคนเพื่อความ
ปลอดภัย” “ดิฉันจ าเป็ นต้องฉีดยาให้คุณเพื่อท าให้คุณสงบและรู้สึกสบายใจขึ ้น ขอให้คุณร่วมมือด้วย”
3.3 ผู้ป่ วยที่วุ่นวายมากอาจไม่ได้รับประทานอาหารและไม่ได้พักผ่อนพยาบาลต้องดูแลเรื่องนี ้โดยให้
ยา PRN ที่ท าให้ผู้ป่ วยได้พักหรือรายงานแพทย์เพื่อให้สารน ้าทางหลอดเลือดด า
3.4 ถ้าผู้ป่ วยได้ยินเสียงหรือเห็นภาพหลอนแล้วมีความหวาดกลัว พยาบาลไม่ควรโต้แย้งเรื่องเสียง
หรือภาพหลอนนั ้นแต่ต้องใส่ใจในความรู้สึกของผู้ป่ วยและให้ความมั่นใจว่าผู้ป่ วยจะปลอดภัยโดยบอกผู้ป่ วยว่า
“ดิฉันเข้าใจว่าคุณกลัวมากใช่ไหมคะ ดิฉันจะอยู่เป็ นเพื่อนและช่วยเหลือคุณให้ปลอดภัย”
3.5 ลดสิ่งกระตุ้นผู้ป่ วยโดยจัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ ไม่มีคนพลุกพล่าน
3.6 จัดสถานที่ให้มีแสงสว่างเพียงพอ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ควรเปิ ดไฟให้สว่างพอประมาณ
เพื่อให้ผู้ป่ วยเห็นการเคลื่อนไหว การเปลี่ยนแปลงและเป็ นการลดอาการประสาทหลอน
3.7 เมื่อพยาบาลจะเข้าไปพบผู้ป่ วยต้องเรียกชื่อผู้ป่ วยและแนะน าตัวก่อนเพราะผู้ป่ วยสับสน จ า
ไม่ได้ว่าใครเป็ นใครเกิดความหวาดระแวง หวาดกลัวได้
3.8 สื่อสารกับผู้ป่ วยด้วยค าพูดที่สั ้นๆ ชัดเจน เข้าใจง่าย
3.9 อธิบายกิจกรรมการพยาบาลให้ผู้ป่ วยทราบก่อนลงมือกระท าทุกครั ้ง
3.10 บอกวันเวลาสถานที่ให้ผู้ป่ วยทราบบ่อยๆ จดั ปฏิทินและนาฬิกาตวั โตๆ ไว้ในที่ที่ผ้ปู ่ วยมองเห็นได้ชัดเจน
3.11 ทีมพยาบาลควรเป็ นทีมเดิมๆ ผู้ป่ วยที่สับสนไม่ควรเปลี่ยนคนดูแลบ่อยเกินความจ าเป็ น
3.12 บอกความเป็ นจริงให้ผู้ป่ วยทราบถ้าผู้ป่ วยสับสน ความจ าบกพร่องหรือมีอาการประสาทหลอน
3.13 ให้ญาติมาเยี่ยมบ่อยๆเพื่อกระตุ้นความทรงจ า แต่ควรจ ากัดจ านวนคนในการเข้าเยี่ยมแต่ละครั ้ง
เพราะผู้คนมากมายจะกระตุ้นให้ผู้ป่ วยสับสน งุนงงได้
3.14 อธิบายให้ความรู้แก่ญาติ/ผู้ดูแล ให้เข้าใจอาการผิดปกติ และ การบ าบัดรักษาพยาบาลของทีม
เพื่อให้ญาติได้มีส่วนร่วมในการบ าบัดรักษาพยาบาล
การประเมินผู้ป่ วย
1.1 ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง สับสน ช่วงกลางคืน พลบค่ำ เช้ามืด
1.2 ความจ า สูญเสียความจ าระยะสั ้น
1.3 การรู้เวลา สถานที่ บุคคล บกพร่อง
1.4 อารมณ์ ขึ ้นๆลงๆ ไม่แน่นอน ตื่นเต้นตกใจ ถูกกระตุ้นง่าย
1.5 การรับรู้บกพร่อง มีหูแว่ว เห็นภาพหลอนซึ่งพบได้มาก เห็นภาพลวง แปลเหตุการณ์ผิด ดึงสาย
น ้าเกลือ วิ่งหนี หวาดกลัว
1.6 การควบคุมอารมณ์บกพร่อง การตัดสินใจบกพร่อง มีความวิตกกังวล ตื่นกลัว ซึมเศร้า เฉยเมย บาง
คนรื่นเริงวุ่นวายมากเกิน
1.7 สติปัญญาบกพร่อง คิดแก้ปัญหาไม่เหมาะสม ตอบค าถามไม่ได้
1.8 อาการทางกายที่เกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติ และระบบต่างๆบกพร่อง เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อ
ออก ม่านตาขยาย ความดันโลหิตสูง หายใจล าบาก บวม ตาตัวเหลือง
1.9 ประเมินการใช้ยา และการได้รับสารพิษ สารเสพติด
การพยาบาลบุคคลที่มีโรคจิตเภท
สาเหตุ
ปัจจัยทางด้านจิตสังคม (Psychosocial factors)
ปัจจัยด้านชีวภาพ ( Biological factors)
ลักษณะอาการ
กลุ่มอาการด้านบวก (Positive symptoms) แสดงออกทางด้านความผิดปกติของความคิด การรับรู้
การติดต่อสื่อสารและการแสดงพฤติกรรม เช่นมีอาการหลงผิด ประสาทหลอน หวาดระแวง พูดไม่รู้เรื่อง ท าท่าทาง
แปลกๆ เปลือยกายในที่สาธารณะ กินเศษขยะ คลุ้มคลั่ง เอะอะ โวยวาย ก้าวร้าว ด่าทอ ท าลายข้าวของ ท าร้าย
ผู้คน เป็ นต้น
กลุ่มอาการด้านลบ (Negative symptoms) แสดงออกทางสีหน้าและอารมณ์ ได้แก่ สีหน้าเฉยเมย ไม่
แสดงอารมณ์ใดๆ ไม่พูด แยกตัวเอง ขาดความสนใจและความกระตือรือร้นในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ยินดี
ยินร้ายกับสิ่งที่เกิดขึ ้นรอบตัว สัมพันธภาพกับผู้อื่นไม่ดี ความคิดในเชิงนามธรรมเสียไป อาการจะเกิดขึ ้นและ
ความหมาย
รคจิตเภท เป็ นโรคจิตที่พบได้มากในกลุ่มผู้ป่ วยที่มีปัญหาทางจิตเวชและสุขภาพจิต ความชุกร้อยละ 1
อุบัติการณ์ 0.5-5 ต่อ 10,000 ต่อปี เพศหญิง และเพศชายมีอัตราป่ วยเท่าๆกัน อาการปรากฏชัดในช่วงวัยรุ่นถึง
ผู้ใหญ่ตอนต้น พบมากในผู้ที่มีเศษฐานะต ่า
ความผิดปกติจะเกิดขึ ้นหลายอย่างแบบค่อยเป็ นค่อยไปได้แก่ ความผิดปกติของความคิด การรับรู้
พฤติกรรม อารมณ์ และการสื่อสาร โดยอาจเริ่มต้นที่สัมพันธภาพบกพร่อง ไม่ค่อยสนใจสิ่งแวดล้อมส่งผลต่อการ
ด าเนินชีวิต ครอบครัวและสังคมเป็ นอันมาก
ลักษณะอาการของโรคจิตเภท
หลงผิด (delusion)
2.ประสาทหลอน(hallucination)
3.ความผิดปกติของการพูด (disorganized speech)
4.ความผิดปกติของพฤติกรรม(disorganized behavior)
5.อาการด้านลบ (negative symptom)
การบำบัดรักษา
1.การรักษาแบบผู้ป่ วยใน
1.1 เป็ นอันตรายต่อตนเองและบุคคลอื่นหรือสังคม
1.2 มีอาการข้างเคียงของยาอย่างรุนแรงที่ต้องดูแลใกล้ชิด
1.3 ไม่ร่วมมือในการรักษา ไม่ยอมกินยา
1.4 ไม่สามารถดูแลตัวเองได้
1.5 มีพฤติกรรมวุ่นวายอย่างมาก
1.6 มีอาการของโรคทางกายที่ต้องควบคุมการรักษา
1.7 มีอาการทางจิตรุนแรงมาก
1.8 มีปัญหาในการวินิจฉัยโรค
2.การรักษาด้วยยา
เป็ นการรักษาที่จ าเป็ นที่สุด แพทย์จะให้ยากลุ่มต้านโรคจิต เพื่อควบคุมอาการและลดการก าเริบ ผู้ป่ วย
จะต้องกินยาต่อเนื่อง 4-6 สปั ดาห์ และไมค่ วรหยดุ ยาเอง หากผ้ปู ่ วยไมย่ อมกินยา แพทย์จะให้ยาฉีดที่มีฤทธิ์นาน
(long acting)ทุก 2-4 สัปดาห