Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

case study 📚📖 Homozygous HbE + Gestational HT G1P0000 GA 39^3 wks,…

- - - - (8 มีนาคม 2564)
        
        น้ำหนักปัจจุบัน 86.5 kg.
        
        BP 122/80 mmHg
        
        PR 98 bpm
        
        การตรวจปัสสาวะ
        Albumin : Trait
        Sugar : Negative
        
        การเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก ในแต่ละไตรมาส
        
        น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์ 69 kg. ส่วนสูง 162 cm.
        BMI 26.29 kg/m^2 เกินเกณฑ์มาตรฐาน Overweight (25.0 - 29.9 kg/m^2)
        น้ำหนักที่ควรเพิ่มขึ้นทั้งหมด
        เท่ากับ 7.0 - 11.5 kg.
        น้ำหนักที่ควรเพิ่มขึ้นต่อสัปดาห์ในไตรมาสที่ 2 และ 3
        เท่ากับ 0.28 (0.23 - 0.33) kg.
        
        น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์ 69 kg. ปัจจุบัน 86.5 kg.
        เพิ่มขึ้นทั้งหมด 17.5 kg.
        
        ไตรมาส 1 ฝากครรภ์ที่รพ.บางนา1 : ไม่มีประวัติ
        
        ไตรมาส 2 ฝากครรภ์ที่รพ.ตำรวจครั้งแรก 25^4 wks
        25^4 wks ถึง 28^3 wks
        น้ำหนัก 75.5 --> 76.5 เพิ่มขึ้น 1 kg. (0.33 kg./wk)
        
        ไตรมาส 3 28^3 wks ถึง 39^3 wks
        น้ำหนัก 76.5 --> 86.5 รวม 10 kg. (0.9 kg./wk)
      - (8 มีนาคม 2564)
        ไม่ซีด ไม่มีฟันผุ
        คอไม่มี thyroid บวมโต
        ขาบวมเล็กน้อย 1+
        
        อาการบวมน้ำ edema เป็นภาวะที่เกิดขึ้นกับว่าที่คุณแม่ เนื่องจากมีของเหลวสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อของร่างกายมากเกินไป จนทำให้ส่วนต่างๆ ในร่างกายบวมขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณข้อเท้าและเท้า มักพบในคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป สาเหตุหลักของอาการบวมตอนท้อง ได้แก่
        
        ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
        
        ร่างกายของคุณแม่ต้องผลิตเลือดและของเหลวเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 50% เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของทารกในครรภ์
        
        มดลูกที่เจริญเติบโตขึ้นไปกดทับหลอดเลือดดำที่อุ้งเชิงกราน และหลอดเลือดเวนาคาวา (vena cava) ซึ่งเป็นหลอดเลือดดำใหญ่ของร่างกายซีกขวาที่คอยลำเลียงเลือดจากขา (lower limb) กลับไปยังหัวใจ แรงกดที่เกิดขึ้นทำให้เลือดไหลเวียนได้ช้าลง ส่งผลให้ของเหลวในหลอดเลือดถูกดันเข้าสู่เนื้อเยื่อบริเวณข้อเท้าและเท้ามากขึ้น
        
        ปัจจัยภายนอก เช่น อากาศร้อน การยืนนานๆ การทำกิจกรรมตลอดวัน การขาดโพแทสเซียม การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป การบริโภคโซเดียมมากเกินไป ก็สามารถทำให้เกิดอาการบวมตอนท้องได้เช่นกัน
    - - G1P0000 GA 39^3 wks by U/S
        
        🔍 การดู
        หน้าท้องมี Linea nigra
        วัดขนาดยอดมดลูกได้ 40 cm
        
        🤚🏻 การคลำ (Leopold’s maneuver)
        
        High fundus : 3/4 > สะดือ
        
        ส่วนนำ : Vertex presentation
        
        ระดับส่วนนำ : Head partial engagement
        
        Position = ROA
        
        🎚 การฟัง
        FHS : 150 bpm
        
        38^3 wks --> 39^3 wks
        น้ำหนัก 86.5 kg.
        ไม่เพิ่มขึ้น ส่ง NST
        ผล reactive
- - - - หญิงตั้งครรภ์ อายุ 29 ปี
        
        เชื้อชาติไทย / สัญชาติไทย / ศาสนาพุทธ
        
        ระดับการศึกษา มัธยมศึกษาปีที่ 6
        
        สถานภาพ สมรส
        
        อาชีพ พนักงานบริษัท รายได้ 13,000 บาท
        
        อาศัยอยู่บ้านเช่า 2 ชั้น พักอยู่ชั้นล่าง
        
        ข้อมูลการตั้งครรภ์
        
        G1P0000 GA 39^3 wks by U/S
        U/S วันที่ 21 พฤศจิกายน 2563 GA 24^1 wks
        EDC by u/s 12 มีนาคม 2564
        น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์ 69 kg. ส่วนสูง 162 cm.
        BMI 26.29 kg/m^2 เกินเกณฑ์มาตรฐาน Overweight
        
        ประวัติการตั้งครรภ์ครั้งนี้
        
        กินยาคุมมาตลอด 8 - 9 ปี อยากมีลูก เลยปล่อยไม่กินยาคุมประมาณ 8 - 9 เดือน
        
        ประจำเดือนขาดหาย 2-3 สัปดาห์ ตรวจที่รพ.บางนา1 (มีปก.สังคม) โดยการตรวจ U/S พบว่าตั้งครรภ์ 6 wks หมอนัดฝากครรภ์ 2 สัปดาห์ต่อมา
        
        ฝากครรภ์ครั้งแรกที่ รพ.บางนา1 GA 8 wks
        
        ฝากครรภ์ต่อที่รพ.ตำรวจ GA 25^4 wks
        
        ฝากครรภ์ที่รพ.บางนา 5 ครั้ง & ฝากครรภ์ที่รพ.ตำรวจถึงปัจจุบันจำนวน 6 ครั้ง
        
        การวินิจฉัยการตั้งครรภ์
        
        1 more item...
        
        หญิงตั้งครรภ์มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ --> หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) ร่วมกับตรวจพบ Gestational hypertension (ภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์)
        ที่รพ.บางนา1 ตอน GA 20 wks
        หมอรักษาโดยให้ยา verapamil (40mg.)
        1×3 po pc
        
        1 more item...
    - - ประวัติการเจ็บป่วย ปฏิเสธ
        
        ประวัติครอบครัว ปฏิเสธ
        
        ประวัติการผ่าตัด ปฏิเสธ
        
        ประวัติการแพ้ยา/แพ้อาหาร ปฏิเสธ
        
        วัคซีนบาดทะยัก ได้รับ 2 เข็ม
        --> dT เข็มที่ 1 : 26 กันยายน 2563
        --> dT เข็มที่ 2 : 23 ตุลาคม 2563
        
        ยาที่ผู้ป่วยได้รับ
        
        Nataral 1×1 po pc
        
        Caltab 1×1 po pc
        
        Folic acid
        
        verapamil (40mg.) 1×3 po pc ยาลดความดัน
- - - - ภาวะความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์
        
        คือภาวะที่พบว่ามีภาวะความดัน Systolic 140 mmHg ขึ้นไปหรือสูงกว่าเดิม 30 mmHg และความดัน Diastolic 90 mmHg ขึ้นไปหรือสูงกว่าเดิม 15 mmHg จากการวัดความดันโลหิตอย่างน้อย 2 ครั้ง ห่างกันไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง ภายหลังผู้ถูกวัดอยู่ในสภาวะพักผ่อนบนเตียง (Absolute bed rest)
        
        ครั้งแรกใน 20 สัปดาห์หลังของการตั้งครรภ์ โดยไม่มีโปรตีนในปัสสาวะ และอาการจะกลับเป็นปกติใน 6 สัปดาห์หลังคลอด
        
        ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
        
        ปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
        
        ครรภ์แรก
        
        อายุมากกว่า 35 ปี
        
        อ้วน
        
        น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 kg./wk
        
        มีภาวะโลหิตจาง
        
        มีประวัติเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง โรคไต
        
        มีประวัติเป็น preeclampsia ในครรภ์ก่อน
        
        คนในครอบครัวเป็น preeclampsia ได้แก่มารดา พี่สาว น้องสาว เป็นต้น
        
        การตั้งครรภ์แฝด บวมน้ำ ครรภ์ไข่ปลาอุก
        
        พบบ่อยในคนขาดสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีน แคลเซียม โซเดียม แมกนีเซียม VitE,C
        
        หญิงตั้งครรภ์มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ --> หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia) ร่วมกับตรวจพบ Gestational hypertension (ภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์)
        ที่รพ.บางนา1 ตอน GA 20 wks
        หมอรักษาโดยให้ยา verapamil (40mg.)
        1×3 po pc
    - - ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากบิดามารดาสู่ทารก แบบ autosomal recessive
        
        เป็นความผิดปกติของการสร้างสายโกลบิน อาจทำให้มีการสร้างสายโกลบินหรือเปปไทด์เปลี่ยนไป
        
        ทำให้สายโปรตีนโกลบินซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงสังเคราะห์ได้น้อยลง เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้นและแตกง่าย
        
        ก่อให้เกิดภาวะเลือดจาง
        
        hemoglobin ทำหน้าที่นำออกซิเจนเลี้ยงเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย ประกอบด้วย heme กับ โปรตีนชื่อ globin
        heme เป็นตัวสำคัญที่เป็นตัวจับออกซิเจน ส่วน globin มี 2 ชนิดหลัก คือ alpha globin และชนิดที่ไม่ใช่แอลฟ่า ส่วนใหญ่คือชนิดเบต้า
        bata globin
        
        การถ่ายทอดยีนจากบิดา มารดา สู่ลูก 4 แบบ
        ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง
        
        แบบที่ 1 : บิดามารดาเป็นพาหะทั้งคู่
        
        เป็นโรค ร้อยละ 25
        
        เป็นพาหะ ร้อยละ 50
        
        ปกติ ร้อยละ 25
        
        แบบที่ 2 : บิดามารดา ปกติ 1 คน เป็นพาหะ 1 คน
        
        เป็นพาหะ ร้อยละ 50
        
        ปกติ ร้อยละ 50
        
        แบบที่ 3 : บิดามารดา เป็นโรค 1 คน ปกติ 1 คน
        
        เป็นพาหะ ร้อยละ 100
        
        แบบที่ 4 : บิดามารดา เป็นโรค 1 คน เป็นพาหะ 1 คน
        
        เป็นโรค ร้อยละ 50
        
        เป็นพาหะ ร้อยละ 50
        
        ฮีโมโกลบินที่ผิดปกติที่พบบ่อยในประเทศไทย คือ HbE มีการเปลี่ยนแปลงในสูตรโครงสร้างของสายเบต้า และ Hb CS (Constant Spring) มีการเปลี่ยนแปลงในสูตรโครงสร้างของสาย แอลฟ่า
        
        Thalassemia ฮีโมโกลบินอี (HbE) เป็นความผิดปกติที่สูตรโครงสร้างของโกลบิน
        
        ฮีโมโกลบินอี คือ สารสีแดงในเม็ดเลือดแดง (เบต้าโกลบิน) โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในเม็ดเลือดแดง ในคนปกติฮีโมโกลบิน จะเป็นฮีโมโกลบินเอ (HbA) มีเบต้ายีน 2 อัน
        
        คนที่เป็นพาหะ HbE (HbE trait)
        จะมีเบต้ายีน 1 อัน ควบคุมการสร้าง HbA และมีฮีโมโกลบินอียีน 1 อัน ควบคุมการสร้าง HbE
        
        ตรวจเลือดหาชนิดของฮีโมโกลบิน จะมี HbA ประมาณ 75% HbE ประมาณ 25 - 35%
        
        ขนาดของเม็ดเลือดแดงเล็ก (MCV < 80 fL)
        
        คนที่เป็นโรค HbE (HbE homozygous)
        มีฮีโมโกลบินอียีน 2 อัน
        
        ตรวจเลือดหาชนิดของฮีโมโกลบิน จะไม่มี HbA แต่จะพบ HbE ≥ 85%
        
        ขนาดของเม็ดเลือดแดงเล็ก (MCV < 80 fL)
        
        ทั้ง HbE trait และ HbE homozygous จะมีอาการซีดเล็กน้อย สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนคนปกติ ไม่มีปัญหาสุขภาพ แต่อาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือเมื่อมีไข้ อาจมีอาการมากกว่าคนปกติทั่วไป
        
        หญิงตั้งครรภ์
        Homozygous HbE
        screening α thal : Neg
        
        1 more item...
        
        สามี
        HbE trait
        screening α thal : Neg
        
        Thalassemia major
        กลุ่มที่มีอาการรุนแรงมาก
        
        1. Hb Bart's hydrops หรือ homozygous alpha-thalassemia (α - thal 1/ α - thal 1) มักเสียชีวิตในครรภ์ ตายคลอด หรือหลังคลอดเล็กน้อย เด็กซีด บวมน้ำ ตับม้ามโต มารดามีภาวะแทรกซ้อน คือ ครรภ์เป็นพิษ ความดันสูง บวม ตกเลือดหลังคลอด
        
        2. Homozygous beta-thalassemia (β - thal/ β - thal)
        เริ่มซีดตั้งแต่ขวบปีแรก ร่างกายแคระแกรน จำเป็นต้องได้รับเลือด และกินยาขับเหล็ก ตลอดชีวิต
        
        3. Beta-thalassemia/HbE (β - thal/HbE)
        มีอาการตั้งแต่น้อย ปานกลาง ถึงรุนแรงมาก เหมือน homozygous beta thalassemia ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก จัดอยู่ในกลุ่ม thalassemia major
        
        การตรวจคัดกรอง
        
        MCV (mean corpuscular volume)
        😣< 80 fL
        
        DCIP (dichlorophenol indophenol precipitation test) เป็นการคัดกรอง HbE screening Test
        😣positive
        
        Hb typing (Homoglobin typing )
        😣HbE > 80 % = Homozygous HbE
        ❗️HbE < 25 % สงสัย α thalassemia แฝง
        
        PCR (Polymerase chain reaction) ตรวจหาระดับยีน หา α thalassemia แฝง
- - - - 1 ธันวาคม 2563
        
        ผลตรวจ CBC
        
        Hb 11.7 g/dL (ต่ำกว่าปกติ) (12.3-15.5)
        
        Hct 34.7 % (ต่ำกว่าปกติ) (36.8-46.6)
        
        RBC 5.36 10^6/uL (สูงกว่าปกติ) (3.96-5.29)
        
        MCV 64.7 fL (ต่ำกว่าปกติ) (79.9-97.6)
        
        MCH 21.9 pg (ต่ำกว่าปกติ) (25.9-32.4)
        
        WBC 15.74 10^3/uL (สูงกว่าปกติ) (4.24-10.18)
        
        Neutrophil 83.8% (สูงกว่าปกติ) (48.1-71.2)
        
        Lymphocyte12.8% (ต่ำกว่าปกติ) (21.1-42.7)
        
        Monocyte 3.0% (ต่ำกว่าปกติ) (3.3-10.2)
        
        Eosinophil 0.2% (ต่ำกว่าปกติ) (0.4-7.2)
        
        ภูมิคุ้มกันวิทยา
        
        VDRL (RPR) : Non-reactive (ไม่พบเชื้อซิฟิลิส)
        
        HBs Ag : Negative (ไม่พบเชื้อไวรัสตับอักเสบบี)
        
        HIV Ab : Negative (ไม่พบantibody ของ HIV)
        
        โลหิตวิทยา
        
        ABO Group : O
        
        Rh Group : Positive
        
        IAT/Ab screening : Negative
      - 29 สิงหาคม 2563
        
        MCV 58.1 fL
        HbE screening Test (DCIP) : Positive
        Hb typing : HbE : 90.1%
        วินิจฉัย Homozygous HbE
        screening α thal : Neg
        
        ผลตรวจปัสสาวะ
        
        Albumin : Neg
        
        Sugar : Neg
    - - 25 กันยายน 2563
        
        MCV 70.8 fL
        Hb E screening Test (DCIP) : Positive
        Hb typing : HbE : 24.1%
        วินิจฉัย HbE trait
        screening α thal : Neg
- - - - อาการเจ็บครรภ์
        แนะนำให้มารดาสังเกตอาการเจ็บครรภ์
        
        เจ็บครรภ์เตือน False labor pain
        
        อาการท้องแข็งตึงเป็นพัก ๆ ไม่สม่ำเสมอ พักแล้วหาย
        
        ไม่มี mucous bloody show
        
        การเดินไม่มีผลต่อการเพิ่มหรือลดของการหดรัดตัวของมดลูก
        
        เจ็บครรภ์จริง True labor pain
        
        เจ็บท้องทุก 5 นาที การหดรัดตัวสม่ำเสมอ
        
        เจ็บร้าวจากบั้นเอว ไปยอดมดลูกและเจ็บร้าวลงไปที่หน้าขา
        
        มี mucous bloody show
        
        ความรุนแรงของการหดรัดตัวของมดลูกเพิ่มขึ้นขณะเดิน
      - อาการที่ต้องมารพ.
        
        ลูกดิ้นน้อยลง <10 ครั้งใน1 วัน
        
        เจ็บครรภ์จริง
        
        มีมูกเลือดหรือเลือดสดออกทางช่องคลอด
        
        น้ำเดิน (น้ำใสไหลออกจากช่องคลอด กลั้นไม่อยู่)
        
        อาหารผิดปกติอื่น ๆ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ
        ตาพร่ามัว จุกแน่นบริเวณลิ้นปี่
      - การนับลูกดิ้น
        
        เนื่องจากน้ำหนักของสตรีตั้งครรภ์ไม่เพิ่มขึ้น การนับลูกดิ้นจึงสำคัญ เพื่อเฝ้าระวังภาวะ fetal distress ทารกอาจมีภาวะเครียดจากน้ำคร่ำที่ลดลง
        
        แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์นับลูกดิ้น โดยนับหลังแต่ละมื้ออาหาร 1 ชั่วโมง ทารกดิ้นไม่ควรน้อยกว่า 10 ครั้งใน 1 วัน
- - - - :pencil2:1. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ
        เนื่องจากมีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
        
        :<3: ข้อมูลสนับสนุน :
        
        OD :
        -หญิงตั้งครรภ์มีภาวะ Gestational hypertension ตรวจพบตอน 20 wks
        -GA 25^4 BP (ครั้งที่1) 136/72 mmHg
        BP (ครั้งที่2) 140/87 mmHg
        BP (ครั้งที่3) 141/80 mmHg
        
        :<3: วัตถุประสงค์ :
        ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ
        
        :<3: เกณฑ์การประเมินผล :
        
        หญิงตั้งครรภ์ไม่มีอาการแสดงของภาวะครรภ์เป็นพิษ เช่น หน้ามืด เวียนศีรษะ จุกแน่นลิ้นปี
        ตาพร่ามัว มองเห็นภาพไม่ชัด
        
        ความดันโลหิต SBP ไม่ควรเกิน 160 mmHg /DBP ไม่ควรเกิน 110 mmHg
        
        หญิงตั้งครรภ์ไม่เกิดอาการชัก
        
        ไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ
        
        ผลการตรวจ UPCR < 0.3
        
        :<3: กิจกรรมการพยาบาล :
        
        สังเกตอาการและอาการแสดงที่ผิดปกติ เพื่อเฝ้าระวังการเกิดอันตรายและต้องรีบมาพบแพทย์ทันที ได้แก่
        1.1 ปวดศีรษะรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากท้ายทอย
        1.2 มึนงง สายตาพร่ามัว
        1.3 ปวดใต้ชายโครงขวา หรือจุกแน่นลิ้นปี่
        1.4 มีอาการบวมบริเวณมือ ฝ่าเท้า ขา และหน้า
        1.5 คลื่นไส้ อาเจียนมาก
        1.6 ปัสสาวะผิดปกติ ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะลดน้อยลง
        
        แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ในสิ่งแวดล้อมที่สงบ เพื่อป้องกันการรบกวนสมอง
        
        จำกัดกิจกรรม หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก เพื่อลดการบีบตัวของหัวใจ ซึ่งจะส่งผลให้ความดันโลหิตสูงได้
        
        แนะนำให้ควรนอนตะแคงซ้าย เพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิตกลับเข้าสู่หัวใจและไปเลี้ยงรกมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้มีการขับปัสสาวะมากขึ้นเป็นการลดความดันโลหิตได้
        
        แนะนำให้สังเกตและนับการดิ้นของทารกในครรภ์ ไม่ควรน้อยกว่า 10 ครั้งใน 1 วัน
        
        แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์มาตรวจตามนัดทุกครั้ง เพื่อประเมินสุขภาพและสภาวะของทารกในครรภ์
        
        แนะนำให้รับประทานยาตามแพทย์ตามแผนการรักษาของแพทย์ ยา verapamil (40mg.)
        ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความดัน
        
        :<3: การประเมินผล :
        
        ไตรมาส 2
        
        หญิงตั้งครรภ์ไม่มีอาการแสดงของภาวะครรภ์เป็นพิษ เช่น หน้ามืด เวียนศีรษะ จุกแน่นลิ้นปี ตาพร่ามัว มองเห็นภาพไม่ชัด
        
        ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        
        หญิงตั้งครรภ์ไม่เกิดอาการชัก
        
        โปรตีนในปัสสาวะ Neg
        
        ผลการตรวจ UPCR = 0.12
        
        ไตรมาส 3
        
        หญิงตั้งครรภ์ไม่มีอาการแสดงของภาวะครรภ์เป็นพิษ เช่น หน้ามืด เวียนศีรษะ จุกแน่นลิ้นปี ตาพร่ามัว มองเห็นภาพไม่ชัด
        
        ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ
        
        หญิงตั้งครรภ์ไม่เกิดอาการชัก
        
        ผลโปรตีนในปัสสาวะเป็น Trait
    - - :pencil2:2.มีภาวะไม่สุขสบาย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง
        ของร่างกายในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์
        
        :<3: ข้อมูลสนับสนุน :
        
        SD :
        -หญิงตั้งครรภ์บอกว่า "ปวดท้องหน่วงๆ เหมือนตอนปวดประจำเดือน"
        -หญิงตั้งครรภ์บอกว่า "รู้สึกแน่นๆ หายใจไม่ค่อยออก"
        -หญิงตั้งครรภ์บอกว่า ”ช่วงเย็นปัสสาวะบ่อย 6 - 7 ครั้ง/วัน”
        
        OD :
        -หญิงตั้งครรภ์ท้องแรก อายุครรภ์ 39 สัปดาห์ 3 วัน
        
        :<3: วัตถุประสงค์ :
        เพื่อให้หญิงตั้งครรภ์มีความสุขสบายมากขึ้น
        ในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์
        
        :<3: เกณฑ์การประเมินผล :
        
        หญิงตั้งครรภ์รู้สึกสุขสบาย มีสีหน้าสดชื่น
        
        หญิงตั้งครรภ์มีความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของตนเอง
        
        หญิงตั้งครรภ์สามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้องเหมาะสม
        
        :<3: กิจกรรมการพยาบาล :
        ให้ความรู้เกี่ยวกับพยาธิสรีรวิทยาของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายหญิงตั้งครรภ์
        
        ในช่วงไตรมาสที่ 3 (ครบกำหนดคลอด) อาจเริ่มมีอาการปวดท้องหน่วงๆ เหมือนมดลูกบีบรัด ร่วมกับการหายใจสะดวกขึ้น เกิดจากการที่ทารกเคลื่อนต่ำลงสู่ช่องเชิงกราน เพื่อเตรียมที่จะคลอด แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์สังเกตอาการเจ็บครรภ์จริง และอาการผิดปกติอื่นๆที่ควรมาพบแพทย์
        
        อาการปัสสาวะบ่อย เนื่องจากไตรมาสที่ 3 มดลูกจะโตเมื่อนอน ตัวมดลูกจะไปกดทับที่ inferior vena cava และหลอดเลือดดำใหญ่ ทำให้เลือดไปเลี้ยงไตมากขึ้น จึงมีการกรองปัสสาวะเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงมีอาการปัสสาวะบ่อยได้
        ให้คำแนะนำหญิงตั้งครรภ์ ได้แก่
        -ให้สังเกตอาการผิดปกติที่แสดงถึงการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะแสบขัด,ขุ่น,มีเลือดปน
        -ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ
        -ดื่มน้ำสะอาดในเวลากลางวัน 6-8 แก้ว
        -พยายามไม่ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนนอน
        
        :<3: การประเมินผล :
        หญิงตั้งครรภ์มีสีหน้าสดชื่นขึ้น บอกว่าวันนี้เริ่มหายใจสะดวกขึ้น มีความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของตนเอง และสามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้องเหมาะสม
    - - :pencil2: 1. มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
        เนื่องจากอาการของภาวะโลหิตจาง
        
        :<3: ข้อมูลสนับสนุน :
        
        SD :
        -หญิงตั้งครรภ์บอกว่า "รู้สึกเหนื่อย เพลียง่ายขึ้น"
        
        OD :
        -ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Homozygous HbE
        -เยื่อบุตาค่อนข้างซีด
        -Hb 11.7 g/dL
        
        :<3: วัตถุประสงค์ :
        อาการอ่อนเพลียลดลง ไม่เหนื่อยง่าย
        
        :<3: เกณฑ์การประเมินผล :
        
        หญิงตั้งครรภ์บอกวิธีการดูแลตนเองได้อย่างน้อย 3 ข้อ
        
        หญิงตั้งครรภ์มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้
        
        :<3: กิจกรรมการพยาบาล :
        
        แนะนำให้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอกลางคืน 6 - 8 ชั่วโมง กลางวัน 1 - 2 ชั่วโมง เพื่อลดการใช้ออกซิเจนของร่างกาย ร่างกายสุขสบาย
        
        ออกกำลังกายบ้าง แต่ไม่หักโหม ครั้งละ 15 - 30 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน
        เพื่อช่วยให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น การนำออกซิเจนสู่เนื้อเยื่อต่างๆดี
        
        รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารโปรตีน และอาหารที่มีกรดโฟลิคสูง เช่น เนื้อ นม ไข่ นมถั่วเหลือง ผักสดใบสีเขียวเข้ม เพื่อเสริมสร้างพลังงานและช่วยในสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น
        
        แนะนำวิธีการประกอบอาหาร วิธีการปรุงอาหารที่มีกรดโฟลิค ต้องไม่ใช้ความร้อนสูง หรือปรุงนานเกินไป ถ้าเป็นผักสีเขียวเข้มการรับประทานผักสดจะดีที่สุด เพราะการเก็บผักไว้นาน การต้มหรือนึ่งที่ใช้ความร้อนสูงและนาน จะทำลายกรดโฟลิคที่มีในอาหารนั้น
        
        แนะนำการรับประทานยาเม็ดกรดโฟลิคตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อให้ร่างกายได้รับกรดโฟลิคเพียงพอ สำหรับการนำไปสร้างเม็ดเลือดแดง
        
        แนะนำการมาตรวจครรภ์ตามนัด การสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ซีด เหนื่อย อ่อนเพลียมาก และติดตามประเมินผลตรวจเลือดเพิ่มเติม
        
        :<3: การประเมินผล :
        
        หญิงตั้งครรภ์เข้าใจและบอกวิธีการดูแลตนเองได้ทุกข้อ
        
        หญิงตั้งครรภ์มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น อาการอ่อนเพลียและเหนื่อยน้อยลง สามารถดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติได้
      - :pencil2: 2. มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
        
        :<3: ข้อมูลสนับสนุน :
        
        SD :
        -หญิงตั้งครรภ์ถามว่า "ลูกในท้องจะปลอดภัยหรือไม่"
        
        OD :
        -มารดาครรภ์แรก
        -มารดามีสีหน้ากังวล
        -ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Homozygous HbE
        -สามีเป็น HbE trait
        
        :<3: วัตถุประสงค์ :
        มีความรู้เรื่องโรคที่เป็นอยู่ วิตกกังวลน้อยลง
        
        :<3: เกณฑ์การประเมินผล :
        
        หญิงตั้งครรภ์มีความเข้าใจเกี่ยวกับโรค
        
        ความวิตกกังวลเรื่องสุขภาพของทารกในครรภ์ลดลง
        
        หญิงตั้งครรภ์มีสีหน้าสดชื่นขึ้น
        
        :<3: กิจกรรมการพยาบาล :
        
        สร้างสัมพันธภาพกับหญิงตั้งครรภ์ มีปฏิสัมพันธ์ต่อเนื่อง สม่ำเสมอและไม่เร่งรัดในการสนทนา
        
        วิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้หญิงตั้งครรภ์มีความวิตกกังวล เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือคลายความวิตกกังวลได้ถูกต้อง
        
        ใช้เทคนิคของการให้การปรึกษา ให้หญิงตั้งครรภ์ได้แสดงความคิดเห็น บอกเล่าความวิตกกังวลของตนเอง และแนวทางแก้ไข
        
        อธิบายให้หญิงตั้งครรภ์เข้าใจถึงพยาธิสรีรวิทยาของการเกิด HbE และการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากบิดามารดาสู่ทารกในครรภ์ ในกรณีนี้ ทารกมีโอกาสเป็นโรค ร้อยละ 50 และมีโอกาสเป็นพาหะ ร้อยละ 50 โดยการเป็นโรคหรือพาหะ HbE จะมีอาการไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการ สามารถดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติ
        
        เน้นย้ำการรับประทานยาบำรุงกรดโฟลิคสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง เพื่อช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
        
        เน้นย้ำการมาตรวจครรภ์ตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามและประเมินการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
        
        :<3: การประเมินผล :
        
        หญิงตั้งครรภ์มีสีหน้าสดชื่นขึ้น มีความวิตกกังวลลดลง
        
        บอกว่าเข้าใจภาวะสุขภาพของทารกในครรภ์