Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5.11 การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีการเจ็บป่วยทางจิตเวชบุคคลที่ม…
บทที่ 5.11 การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีการเจ็บป่วยทางจิตเวชบุคคลที่มีภาวะเพ้อ
ความหมาย
ภาวะเพ้อ (Delirium) หรือภาวะสับสนเฉียบพลัน เป็นกลุ่มอาการ ( syndrome) ไม่ใช่โรค เกิดจากหลายสาเหตุและถือเป็นภาวะฉุกเฉิน ที่มีลักษณะความผิดปกติของสติสัมปชัญญะ การรู้สึกตัว(consciousness) เกิดการเปลี่ยนแปลงของการรู้คิดและการรับรู้ (cognitive function) อาการทางจิตที่พบบ่อยคือความผิดปกติของอารมณ์และเกิดในช่วงเวลาสั้นๆ และเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันทันใด มีการดาเนินโรคขึ้นๆลงๆ อาการไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาของวัน ที่แสดงว่าระบบต่างๆของร่างกายมีพยาธิสภาพ ในเกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM-5 ภาวะเพ้อ(Delirium) ถูกจัดอยู่ในกลุ่มโรค Neuro cognitive disorder
ลักษณะอาการ
เกณฑ์การวินิจฉัยภาวะเพ้อ(Delirium) ตาม DSM-5
A. มีความบกพร่องของสมาธิความสนใจ ( Attention) และระดับความรู้สึกตัว ( consciousness)
B. การเปลี่ยนแปลงในข้อ A. เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ แบบเฉียบพลัน อาการขึ้นๆลงๆ ในระหว่างวัน
C. ตรวจพบความผิดปกติความคิด การรับรู้ ( cognitive function ) เช่น ความจาภาษา การรับประสาทสัมผัส การรู้วัน เวลา สถานที่ บุคคล บกพร่อง (Disorientation)
D. อาการต่างๆข้างต้นไม่สามารถอธิบายได้จากโรคอื่นในกลุ่ม Neurocognitive disorder หรือจากภาวะ coma
E. มีหลักฐานจากประวัติการเจ็บป่วย การตรวจร่างกาย และการสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ ว่าอาการต่างๆเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของอาการทางกาย การใช้ยา สารเสพติด ได้รับสารพิษ หรือจากหลายสาเหตุร่วมกัน
อาการต่างๆจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและเปลี่ยนแปลง ไม่คงที่ มีอาการขึ้นๆลงๆในแต่ละวัน ( Fluctuation) ลักษณะอาการที่สำคัญมีดังต่อไปนี้
ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิอย่างมาก
กระแสความคิดไม่ติดต่อกัน ขาดตอน ทำให้มีความผิดปกติของการพูด ความจำระยะสั้น จำเรื่องราวใหม่ๆไม่ได้ คิดไม่เป็นระบบ
สติสัมปชัญญะ การรู้สึกตัวผิดปกติ สลึมสลือ งุนงง สับสน หงุดหงิด เอะอะวุ่นวายรุนแรง
สติสัมปชัญญะเลือนราง ไม่ชัดเจน กระสับกระส่าย ไม่สามารถตั้งสติให้จดจ่ออยู่เรื่องใดได้
มีอาการรู้วัน เวลา สถานที่ บุคคล บกพร่อง ที่เรียกว่า Disorientation
มีปัญหาการสื่อสารพูดไม่รู้เรื่อง พูดสับสนไม่ต่อเนื่อง (incoherence) พูดเสียงดัง อ้อแอ้ รัว เร็ว
การรับรู้ผิดปกติ ( Perception disorder)
ความผิดปกติของการนอน การตื่น ตื่นกลางคืน นอนกลางวัน การนอนมีลักษณะหลับๆตื่นๆเป็นช่วงสั้นๆ ไม่ต่อเนื่อง
การเคลื่อนไหวหรือการทากิจกรรมผิดปกติ ลักษณะการเคลื่อนไหวผิดปกติ พบได้ 3 ประเภท ดังนี้
Hyperactive มีอาการกระสับกระส่าย กระวนกระวาย ตื่นตัว ระแวดระวังมากกว่าปกติ บางรายอาจมีก้าวร้าว
Hypoactive มีอาการนิ่งเฉย ไม่ค่อยพูด ง่วงนอน สีหน้าเรียบเฉย เบื่อหน่าย สับสนอย่างเงียบ ๆ ไม่โวยวาย
Mixed level of activity มีระดับการเคลื่อนไหวปกติ ทั้งๆที่มีความบกพร่องของสมาธิ ความสนใจ และระดับความรู้สึกตัว รวมถึงผู้ที่มีอาการทั้งสองแบบข้างต้น ร่วมกัน สลับไปมาอย่างรวดเร็ว
สาเหตุของภาวะเพ้อ
ภาวะเพ้อเกิดได้หลายสาเหตุ ผู้ป่วยจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาจากการเจ็บป่วยทางกาย สาเหตุสำคัญเกิดจากโรคทางระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด การใช้สารเสพติดและเกิดภาวะถอนพิษ พิษจากยาหรือสารเคมี
Metabolic imbalance จาก dehydration, hypoxia, hypoglycemia, electrolyte imbalance, hepatic - renal disease เป็นต้น
Substance abuse toxicity & withdrawal syndromes เช่น อาการ delirium tremens พบในผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรัง ( Alcoholism ) ช่วงขาดสุรา หรือผู้ที่ติดสารเสพติด
การติดเชื้อในร่างกาย เช่น ปอดบวม ไข้ไทฟอยด์ มาลาเรีย การติดเชื้อที่สมอง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ ภาวะโลหิตเป็นพิษ เป็นต้น
การทำผ่าตัด เส้นเลือดในสมองแตก การอุดตัน หรือเนื้องอกในสมอง
ระบบประสาทสมองผิดปกติ เกิดการชัก ภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองน้อยกว่าปกติ การบาดเจ็บที่ศีรษะ บาดเจ็บที่สมอง
ภาวะไข้ โดยเฉพาะไข้สูงในผู้สูงอายุ หรือผู้ทุโภชนาการ
การขาดวิตามิน ในผู้ที่ติดสุราเรื้อรัง มักขาดวิตามิน B1 B12
ได้รับสารพิษ ยาฆ่าแมลง พิษจากสารโลหะหนัก ได้แก่ ปรอท ตะกั่ว ก๊าซพิษจากท่อไอเสียรถยนต์
ความผิดปกติของหลอดเลือด ภาวะหัวใจล้มเหลว อวัยวะต่างๆล้มเหลว
สิ่งกระตุ้นทางจิตสังคมที่ทาให้เกิดความเครียดแล้วเกิดอาการทางกาย
สารสื่อประสาทและพยาธิสรีรวิทยาที่เกี่ยวข้องกับภาวะเพ้อ (Delirium) มีดังนี้
Acethylcoline การลดลงของ cholinergic activity ในสมอง
Dopamine การเพิ่มขึ้นของ dopaminergic activity ในสมองซึ่งสัมพันธ์กับภาวะเพ้อ โดยในภาวะ hypoxia จะเกิด toxic metabolite ของ dopamineซึ่งไปกระตุ้น cytotoxic cascade เกิดการบาดเจ็บของเซลล์ประสาท
Norepinephrine ในผู้ป่วย alcohol withdrawal delirium เชื่อว่ามีการทางานมากผิดปกติของ noradrenergic neuron ใน locus ceruleus
GABA สารบางชนิด เช่น alcohol, barbiturate และยากลุ่ม benzodiazepine ออกฤทธิ์โดยจับกับ GABA receptor ดังนั้น เมื่อใช้สารเหล่านี้เป็นเวลานานแล้วหยุดกะทันหัน จนทาให้เกิดการขาดสาร (withdrawal) เช่น กระวนกระวาย นอนไม่หลับ บางรายอาจเกิดอาการ alcohol withdrawal delirium หรือ delirium tremens
Serotonin เนื่องจากปฏิกิริยาระหว่าง serotonin-cholinergic receptor
Glutamate เกี่ยวข้องกับภาวะhypoxia
การบำบัดรักษาบุคคลที่มีภาวะเพ้อ
การรักษาจำเพาะ รักษาโรคหรือภาวะผิดปกติที่เป็นสาเหตุ เป็นการรักษาที่ดีที่สุด เมื่อสาเหตุหมดไป อาการจะดีขึ้น ผู้ป่วยจะหายเป็นปกติภายใน 3-7 วัน หยุดการใช้ยาที่ไม่จำเป็นทุกชนิด
การรักษาโดยใช้ยา ผู้ป่วยที่มีอาการอันตรายต่อสภาวะร่างกาย หรือก่อให้เกิดความทุกข์ให้ผู้ป่วย เช่น เห็นภาพหลอนที่ทำให้ผู้ป่วยกลัว ลนลาน นอนไม่ได้ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพื่อบรรเทาอาการ
2.1 ผู้ป่วย substance withdrawal ใช้ยา first line benzodiazepine
2.3 ผู้ป่วยที่มีอาการแบบ hypoactive ไม่ควรใช้ benzodiazepam ใช้ Haloperidol 0.5-2 mg./ day ถ้ามี EPS มาก ให้ใช้ risperidone0.5-2 mg./ day
2.2 ผู้ป่วยสูงอายุ หรือป่วยหนัก ใช้ antipsychotic ในระดับต่ำ เลี่ยง benzodiazepine
กระบวนการพยาบาลบุคคลที่มีภาวะเพ้อ
ประเมินผู้ป่วย
1.1 ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง สับสน ช่วงกลางคืนพลบค่ำ เช้ามืด
1.2 ความจำ สูญเสียความจำระยะสั้น
1.3 การรู้เวลา สถานที่ บุคคล บกพร่อง
1.4 อารมณ์ ขึ้นๆลงๆ ไม่แน่นอน ตื่นเต้นตกใจ ถูกกระตุ้นง่าย
1.5 การรับรู้บกพร่อง มีหูแว่ว เห็นภาพหลอนซึ่งพบได้มาก เห็นภาพลวง แปลเหตุการณ์ผิด ดึงสายน้าเกลือ วิ่งหนี หวาดกลัว
1.6 การควบคุมอารมณ์บกพร่อง การตัดสินใจบกพร่อง มีความวิตกกังวล ตื่นกลัว ซึมเศร้า เฉยเมย บางคนรื่นเริงวุ่นวายมากเกิน
1.7 สติปัญญาบกพร่อง คิดแก้ปัญหาไม่เหมาะสม ตอบคำถามไม่ได้
1.8 อาการทางกายที่เกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติ และระบบต่างๆบกพร่อง เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก ม่านตาขยาย ความดันโลหิตสูง หายใจลาบาก บวม ตาตัวเหลือง
1.9 ประเมินการใช้ยา และการได้รับสารพิษ สารเสพติด
การวินิจฉัยการพยาบาล
2.1 เสี่ยงต่อการได้รับอุบัติเหตุและบาดเจ็บเนื่องจากการรับรู้แปรปรวน
2.2 การตัดสินใจและดูแลตัวเองบกพร่องเนื่องจากพร่องทางกระบวนการทางสมองและสติปัญญา
2.3 การสื่อสารไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากสมองเสียหน้าที่
2.4 แบบแผนการนอนแปรปรวน
2.5 กระบวนการคิดและการรับรู้บกพร่อง
การปฏิบัติการพยาบาล
3.1 ป้องกันอุบัติเหตุและการบาดเจ็บโดยจากัดบริเวณผู้ป่วยให้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย ยกข้างเตียงขึ้นทุกครั้ง ถ้าจาเป็นอาจต้องผูกมัดผู้ป่วยไว้
3.2 ผู้ป่วยที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ มีแนวโน้มเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น พยาบาลต้องจำกัดพฤติกรรมให้ผู้ป่วยสงบโดยเร็ว โดยเรียกชื่อผู้ป่วยให้ผู้ป่วยพูดระบายอารมณ์และบอกว่าพยาบาลจะช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างไรบ้าง ถ้าจำเป็นต้องใช้ยา PRN ก็ต้องบอกให้ผู้ป่วยร่วมมือ
3.3 ผู้ป่วยที่วุ่นวายมากอาจไม่ได้รับประทานอาหารและไม่ได้พักผ่อนพยาบาลต้องดูแลเรื่องนี้โดยให้ยา PRN ที่ทาให้ผู้ป่วยได้พักหรือรายงานแพทย์เพื่อให้สารน้าทางหลอดเลือดดำ
3.4 ถ้าผู้ป่วยได้ยินเสียงหรือเห็นภาพหลอนแล้วมีความหวาดกลัว พยาบาลไม่ควรโต้แย้งเรื่องเสียงหรือภาพหลอนนั้นแต่ต้องใส่ใจในความรู้สึกของผู้ป่วยและให้ความมั่นใจว่าผู้ป่วยจะปลอดภัยโดยบอกผู้ป่วยว่า “ดิฉันเข้าใจว่าคุณกลัวมากใช่ไหมคะ ดิฉันจะอยู่เป็นเพื่อนและช่วยเหลือคุณให้ปลอดภัย”
3.5 ลดสิ่งกระตุ้นผู้ป่วยโดยจัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ ไม่มีคนพลุกพล่าน
3.6 จัดสถานที่ให้มีแสงสว่างเพียงพอ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ควรเปิดไฟให้สว่างพอประมาณเพื่อให้ผู้ป่วยเห็นการเคลื่อนไหว การเปลี่ยนแปลงและเป็นการลดอาการประสาทหลอน
3.7 เมื่อพยาบาลจะเข้าไปพบผู้ป่วยต้องเรียกชื่อผู้ป่วยและแนะนำตัวก่อนเพราะผู้ป่วยสับสน จำไม่ได้ว่าใครเป็นใครเกิดความหวาดระแวง หวาดกลัวได้
3.8 สื่อสารกับผู้ป่วยด้วยคาพูดที่สั้นๆ ชัดเจน เข้าใจง่าย
3.9 อธิบายกิจกรรมการพยาบาลให้ผู้ป่วยทราบก่อนลงมือกระทำทุกครั้ง
3.10 บอกวันเวลาสถานที่ให้ผู้ป่วยทราบบ่อยๆ จัดปฏิทินและนาฬิกาตัวโตๆ ไว้ในที่ที่ผู้ป่วยมองเห็นได้ชัดเจน
3.11 ทีมพยาบาลควรเป็นทีมเดิมๆ ผู้ป่วยที่สับสนไม่ควรเปลี่ยนคนดูแลบ่อยเกินความจำเป็น
3.12 บอกความเป็นจริงให้ผู้ป่วยทราบถ้าผู้ป่วยสับสน ความจำบกพร่องหรือมีอาการประสาทหลอน
3.13 ให้ญาติมาเยี่ยมบ่อยๆเพื่อกระตุ้นความทรงจำ แต่ควรจำกัดจำนวนคนในการเข้าเยี่ยมแต่ละครั้ง เพราะผู้คนมากมายจะกระตุ้นให้ผู้ป่วยสับสน งุนงงได้
3.14 อธิบายให้ความรู้แก่ญาติ/ผู้ดูแล ให้เข้าใจอาการผิดปกติ และ การบำบัดรักษาพยาบาลของทีม เพื่อให้ญาติได้มีส่วนร่วมในการบำบัดรักษาพยาบาล