Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 5 การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีการเจ็บป่วยทางจิตเวช (Part 2) -…
บทที่ 5 การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีการเจ็บป่วยทางจิตเวช (Part 2)
โรคบุคลิกภาพผิดปกติที่พบบ่อย
ความหมาย ลักษณะอาการและอาการแสดงของโรคบุคลิกภาพผิดปกติ
1.1 ความหมายของโรคบุคลิกภาพผิดปกติ
โรคบุคลิกภาพผิดปกติ (personality disorder) เป็นประสบการณ์ พฤติกรรมและการดำเนินชีวิตที่เบี่ยงเบนหรือแตกต่างไปจากบรรทัดฐานและความคาดหวังของสังคม
กลุ่ม A มีบุคลิกภาพผิดปกติในลักษณะที่มีพฤติกรรมประหลาด พิสดาร (odd or eccentricity)
กลุ่ม B มีบุคลิกภาพผิดปกติในลักษณะที่มีการแสดงออกทางอารมณ์ผิดปกติ หรือคาดเดาไม่ได้ (dramatic, emotional, or erratic)
กลุ่ม C มีบุคลิกภาพผิดปกติในลักษณะที่มีความหวาดกลัวหรือวิตกกังวลอย่างสูง (anxious or fearful)
1.2 ลักษณะอาการและอาการแสดงของโรคบุคลิกภาพผิดปกติที่พบบ่อย
บุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม (antisocial personality disorders)
1) ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือมาตรฐานของสังคม
2) หลอกลวง ซึ่งเห็นได้จากการพูดโกหกช้ำแล้วซ้ำอีก ใช้การตบตาหรือหลอกลวงหาผลประโยชน์จากผู้อื่น
3) หุนหันวู่วาม ไม่คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะทำอะไรลงไป
4) หงุดหงิดและก้วร้าว มีเรื่องต่อสู้ใช้กำลัง หรือทำร้ายผู้อื่นบ่อยๆ
5) ไม่ใส่ใจถึงความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น
6) ขาดความรับผิดชอบอยู่เป็นประจำ ทำงานอยู่ไม่ได้นาน ไม่ชื่อสัตย์ทางการเงิน
7) ไม่รู้สึกสำนึกผิดหรือเสียใจต่อความผิดที่ได้กระทำลงไป มีท่าที่เฉยๆ หรืออ้างเหตุผลที่ทำไม่ดี ทำร้ายร่างกาย หรือขโมยของผู้อื่น
บุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อก้ำกึ่ง (borderline personality disorders)
1) พยายามอย่างคนเสียสติที่จะหนีความเป็นจริงหรือหนีจากการถูกทอดทิ้ง
2) สัมพันภาพกับผู้อื่นมีลักษณะที่ไม่แน่นอนระหว่างดีสุดๆ และชั่วร้ายสุดๆ
3) สับสนในความเป็นตัวของตัวเอง การมองภาพลักษณ์ของตนเองหรือความรู้สึกที่มีต่อตนเองไม่แน่นอน
4) แสดงพฤติกรรมหุนหันวู่วามซึ่งส่งผลร้ายหรือทำลายตนเองอย่างน้อย 2 อย่าง ได้แก่ สำส่อนทางเพศ ใช้สารสพติต ขับรถประมาท ดื่มจัด
5) มีพฤติกรรม ท่าทาง หรือพยายามที่จะทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตายบ่อยๆ
6) มีอารมณ์ไม่สม่ำเสมอ ไม่คงที่เปลี่ยนแปลงง่าย
7) มีความรู้สึกเหงาหว้าเหว่เรื้อรัง
8) มีการแสดงออกของอารมณ์โกรธรุนแรงไม่เหมาะสม ควบคุมอารมณ์โกรธไม่ได้ ระเบิดอารมณ์รุนแรงได้ง่าย หรือทำร้ายร่างกาย
9) เมื่อมีความเครียด จะเกิดความหวาดระแวงหรือแสดงอาการแสดงเกี่ยวกับภาวะความจำ การรับรู้เกี่ยวกับตนเองสูญเสียไป (dissociative symptoms)
บุคลิกภาพผิดปกติแบบพึ่งพา (dependent personality disorders)
1) ไม่กล้าที่จะตัดสินใจด้วยตนเอง ต้องอาศัยคำแนะนำ และการให้กำลังใจจากผู้อื่น
2) ต้องการให้คนอื่นเข้ามารับผิดชอบเรื่องสำคัญๆ ในชีวิตให้ตน
3) รู้สึกยากที่จะแสดงความคิดเห็นคัดค้าน หรือไม่เห็นด้วยกับคนอื่น เพราะกลัวเขาจะไม่ยอมรับหรือไม่ช่วยเหลืออีกต่อไป
4) ไม่สามารถที่จะคิดริเริ่มกิจกรรมหรือโครงการใหม่ๆ และทำอะไรด้วยตนเองไม่ค่อยได้ ซึ่งเป็นเพราะขาดความสามารถหรือขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจ มากกว่าขาดพลังหรือแรงจูงใจที่จะคิดที่จะทำ
5) ทำทุกอย่างที่จะให้ได้รับการช่วยเหลือเกื้อหนุนจากผู้อื่น ยอมแม้แต่ที่จะอาสาทำในสิ่งที่ไม่สุขสบาย
6) รู้สึกไม่สบายใจหรือหมดหนทางช่วยเหลือ เมื่อต้องอยู่คนเดียว เพราะกลัวว่าจะไม่มีความสามารถพอที่จะทำอะไรได้ด้วยตัวเอง
7) เมื่อคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดต้องมีอันจากไปหรือสัมพันธภาพต้องยุติลง จะรีบหาสัมพันธภาพใหม่ทันที
8) ครุ่นคิดแต่ในเรื่องที่จะถูกทอดทิ้งให้ต้องดูแลตนเอง
2.1 สาเหตุ การบำบัดรักษาโรคบุคลิกภาพผิดปกติ
1) ปัจจัยด้านชีวภาพ
ประสาทชีววิทยา (neurobiology)
พันธุกรรม (genetic)
2) ปัจจัยทางจิตวิทยา
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (psychoanalytic theory)
1) มีการติดขัดในขั้นของพัฒนาการ
2) โครงสร้างทางจิต (psychic structure; id, ego, superego) บกพร่อง
ทฤษฎีการเรียนรู้ (leaning theory)
ทฤษฎีทางจิตสังคม (psychosocial theory)
3) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
ความส้มพันธ์พ่อแม่ลูกไม่ดี
การที่พ่อแม่เคร่งครัดไม่ผ่อนปรนและขาดเหตุผลต่อเด็ก
การที่พ่อแม่หรือบุคคลที่มีอำนาจในครอบครัวมีบุคลิกภาพผิดปกติ
ความยากจนและการขาดที่พึ่ง
2.2 การบำบัดรักษาโรคบุคลิกภาพผิดปกติ
1) การบำบัดทางจิตสังคม (psychosocial therapy)
1) จิตบำบัตรายบุคคล (individual therapy)
2) จิตบำบัดแบบกลุ่ม (group therapy)
2) การรักษาด้วยยา (pharmacotherapy)
การพยาบาลบุคคลที่มีบุคลิกภาพผิดปกติ
1) การประเมินสภาพ (assessment)
สามารถทำได้โดยใช้ทักษะการสังเกตอาการทางคลินิก (clinical observation)
พันธภาพทางสังคม (social relationships)
ลักษณะเฉพาะ (character) อุปนิสัย
อารมณ์ทั่วไป (habitual mood)
การเลี้ยงดูในวัยเด็ก ประวัติการใช้ความรุนแรงในครอบครัว และเหตุการณ์วิกฤตในชีวิต
การจัดการแก้ไขปัญหาและการใช้กลไกป้องกันตนเองทางจิต
เจตคติและมาตรฐาน (attitudes and standards)
การใช้เวลาว่าง (use of leisure)
การกระทำเป็นนิสัย (habits)
2) การวินิจฉัยทางการพยาบาล (nursing diagnosis)
เสี่ยงต่อการทำร้ายตนเอง/ฆ่าตัวตายเนื่องจากรู้สึกไม่มีคุณค่า/สูญเสีย/ล้มเหลว/มีภาวะซึมเศร้า
เสี่ยงต่อการทำร้ายผู้อื่นด้วยวิธีรุนแรงเนื่องจากขาดความยับยั้งชั่งใจ/ความอดทนต่อความคับข้องใจต่ำ
การเผชิญปัญหาไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากขาดทักษะในการแก้ไขปัญหา
ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมบกพร่องเนื่องจากมีพฤติกรรมไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมมีพฤติกรรมบงการผู้อื่น
สูญเสียพลังอำนาจเนื่องจากความต้องการของตนเองไม่ได้รับการตอบสนอง/รับรู้ความมีคุณค่าในตนเองต่ำ
3) การวางแผนและการปฏิบัติทางการพยาบาล (planning and implementation)
1) บุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคมและแบบก้ำกึ่ง และพึ่งพา (antisocial, and borderline personality disorders)
สร้างสัมพันธภาพกับบุคคลที่มีบุคลิกภาพผิดปกติด้วยความชัดเจน
ให้บุคคลที่มีบุคลิกภาพผิดปกติได้พูตระบายความรู้สึก
ให้ความช่วยหลือและเฝ้าระวังพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตราย
จัดสภาพแวดล้อมให้มีความปลอดภัย
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
ช่วยให้บุคคลที่มีบุคลิภาพผิดปกติมีความเข้าใจ
ฝึกทักษะการจัดการและควบคุมพฤติกรรมทางอารมณ์
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเลือกวิธีการคลายเครียดที่เหมาะสมกับตนเอง
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มทำกิจกรรมการสร้างสรรค์กับผู้อื่น
สนับสนุนการรับผิดชอบต่อหน้าที่และปฏิบัติตมกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ตามความเหมาะสม
บุคคลที่มีบุคลิภาพแบบต่อต้านสังคม
เปิดโอกาสให้ครอบครัวระบายความคิด
แนะนำให้ครอบครัวเข้าใจและให้กำลังใจผู้ป่วย
2) บุคลิกภาพผิดปกติแบบพึ่งพา (dependent personality disorders)
ให้ผู้ป่วยพูดระบายความรู้สึกก่อนและหลังการกระทำ
สอนการปรับเปลี่ยนวิธีคิดที่มีผลต่อความวิตกกังวล
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น
บุคคลที่มีความวิตกกังวลระดับรุนแรง
สอนและให้บุคคลที่มีบุคลิกภาพผิดปกติฝึกทักษะที่จำเป็นต่าง ๆ
ให้บุคคลที่บุคลิกภาพผิดปกติเลือกวิธีการคลายครียดที่เหมาะสมกับตนเอง
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
ให้การเสริมแรงทางบวก
4) การประเมินผลทางการพยาบาล (evaluation)
ไม่มีความคิดฆ่าตัวตาย
ไม่มีการทำร้ายบุคคลอื่น
ไม่มีการทำลายสิ่งของ
ไม่รู้สึกว่าตนเองด้อยค่า
มีสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้
ไม่มีความเชื่อที่มาจากอาการหลงผิด ควบคุมพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นได้
เลือกใช้วิธีการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
บุคคลที่มีกลุ่มโรคอาการทางกาย
ความหมาย ลักษณะอาการและอาการแสดงของกลุ่มโรคอาการทางกาย
1.1 ความหมายของกลุ่มโรคอาการทางกาย
กลุ่มโรคอาการทางกาย (somatic symptom and related disorders) บุคคลที่มีปัญหาทางด้านจิตใจ หรือ มีความกดดันทางด้านจิตใจแต่แสดงอาการของการมีปัญหาทางด้านจิตใจออกมาให้เห็นเป็นความเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย
1.2 ลักษณะอาการและอาการแสดงของกลุ่มโรคอาการทางกาย
โรค somatization disorder
1) มีอาการปวด (pain) อย่างน้อย 4 ตำแหน่งพร้อมกัน
2) มีอาการของระบบทางเดินอาหาร (gastrointestinal symptom)
3) อาการทางเพศ (Sexual symptom)
4) อาการที่คล้ายโรคทางระบบประสาท (pseudo neurological symptom)
โรค Hypochondriasis
มีความกลัวหรือกังวลอย่างน้อย 6 เดือนว่าตนเองจะป่วยเป็นโรคร้ายโรคใดโรคหนึ่ง
สาเหตุ การบำบัดรักษากลุ่มโรคอาการทางกาย
2.1 สาเหตุของกลุ่มโรคอาการทางกาย
โรค somatization disorder
1) ปัจจัยด้านชีวภาพ
ผู้ป่วยมีความผิดปกติของระดับการใส่ใจ (attention)
การทำงานที่น้อยกว่าปกติของสมองส่วนหน้า (frontal lope)
พันธุกรรม พบ อัตราการเกิดโรคนี้เท่ากับ 29 ต่อ 10
2) ปัจจัยทางจิตสังคม
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ มองว่า อาการแสดงทางร่างกายเป็นการสื่อแทนความรู้สึกภายในจิตใจ ในการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบหรือหลีกเลี่ยงสิ่งที่ต้องทำ
ทฤษฎีการเรียนรู้ มองว่า อาการแสดงทางร่างกายที่เกิดขึ้น เป็นการรับแบบอย่างมาจากพ่อแม่ การอบรมสั่งสอน
โรค hypochondriasis
1) ถูกกระตุ้นได้ด้วยความเครียดหรือปัญหาชีวิต
2) มีประวัติถูกกระทำทารุณในวัยเด็ก
3) มีประวัติเจ็บป่วยร้ายแรงในวัยเด็กหรือเรียนรู้ที่จะใช้บทบาทการเป็นผู้ป่วยในการแก้ปัญหาชีวิต
4) มีแปลความรู้สึกของร่างกายผิดปกติ
2.2 การบำบัดรักษาของกลุ่มโรคอาการทางกาย
โรค somatization disorder
ไม่มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจงในโรคนี้ แต่ผู้ป่วยจะได้รับการบำบัดตามปัญหาของผู้ป่วยเป็นรายๆไป ส่วนใหญ่แพทย์ที่ทำการบำบัดรักษา มักจะเป็นแพทย์ประจำเพียงคนเดียว และมีการนัดพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
โรค hypochondriasis
ผู้ป่วยอาจจะได้รับยาแก้ต้านเศร้าที่อาจช่วยให้อาการดีขึ้นบ้าง หรือหากผู้ป่วยมีโรคทางจิตเวชอื่นร่วมด้วย
การพยาบาลบุคคลที่มีกลุ่มโรคอาการทางกาย
1) การประเมินสภาพ (assessment)
ด้านร่างกาย
รับการตรวจร่างกายทั่วไปอย่างถี่ถ้วน เพื่อความชัดเจนว่าผู้ป่วยไม่มีการเจ็บป่วยทางร่างกายจริง
ด้านจิตใจ
ควรมุ่งเน้นทางด้านอารมณ์และความคิดเป็นสำคัญ
ด้านสังคม
ประเมินแรงกดดันที่ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเกิดอาการต่าง ๆมากขึ้น
2) การวินิจฉัยทางการพยาบาล (nursing diagnosis)
ไม่สนใจที่จะแก้ปัญหาทางจิตใจเพราะปฏิเสธปัญหาทางจิตใจ
มีความบกพร่องในการดูแลตนเองด้านสุขภาพอนามัย
มีอาการเจ็บป่วยทางร่างกายหลายอย่าง
ต้องพึ่งพายาลดอาการปวด
มีอารมณ์ซึมเศร้าหรือพยายามทำร้ายตนเอง
มีความบกพร่องในวิธีเผชิญปัญหาหรือความไม่สบายใจ
ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามบทบาทหรือแยกตัวจากสังคม
3) การวางแผนและการปฏิบัติทางการพยาบาล (planning and implementation)
สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด (therapeutic relationship)
ให้เวลาผู้ป่วยได้พูดระบายความในใจได้อย่างอิสระ
พยาบาลควรหลีกเลี่ยงการให้แรงเสริมต่อพฤติกรรมที่เป็นพยาธิสภาพของผู้ป่วย
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้รับการบำบัดทางจิตสังคม
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาเพื่อควบคุม
4) การประเมินผลทางการพยาบาล (evaluation)
สามารถบอกวิธีในการเผชิญหรือแก้ปัญหาของตนเองได้
สีหน้าสดชื่นแจ่มใส
นอนหลับพักผ่อนได้
ประกอบกิจวัตรประจำวัน บทบาท และหน้าที่ของตนเองได้