Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 6การพยาบาลบุคคลที่มีภาวะจิตเวชฉุกเฉิน, นางสาวสุนทรีย์ มชิโกวา รหัส…
บทที่ 6การพยาบาลบุคคลที่มีภาวะจิตเวชฉุกเฉิน
ความหมาย
จิตเวชฉุกเฉิน (emergency psychiatry) เป็นภาวะที่บุคคลมีความแปรปรวนทางด้านความคิด อารมณ์
ความสัมพันธ์ทางสังคม หรือ พฤติกรรมอย่างเฉียบพลันหรือรุนแรง จนอาจทําให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือเกิดความ
เสียหายต่อทรัพย์สินของตนเองและผู้อื่น จําเป็นต้องได้รับการบําบัด ช่วยเหลืออย่างถูกต้องเหมาะสมโดยเร่งด่วน เพื่อ
ช่วยลดอันตรายหรือความเสียหายอันอาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยหรือบุคคลรอบข้างรวมทั้งทรัพย์สิน และเมื่อผู้ป่วยมี
อาการสงบลง ปลอดภัยจะพิจารณาส่งต่อให้ได้รับการดูแลรักษาต่อเนื่องที่เหมาะสมต่อไป
ลักษณะอาการและอาการแสดงของภาวะจิตเวชฉุกเฉินที่พบบ่อย
1) พฤติกรรมรุนแรง (violence behavior)
เป็นพฤติกรรมในความพยายามหรือลงมือกระทําการทําร้าย ทําลาย ทั้งร่างกาย จิตใจ ตนเองผู้อืน
และสิ่งของ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บุคคลหรือสิ่งของที่ถูกกระทําได้รับความเจ็บปวด การบาดเจ็บ หรือเสียหาย เป็น
พฤติกรรมที่พบบ่อยในหน่วยงานฉุกเฉินทางจิตเวช และมักเป็นอาการสําคัญที่ทําให้ผู้ป่วยถูกส่งตัวมารับการรักษาใน
โรงพยาบาล โดยลักษณะที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมรุนแรง มีดังนี้
ลักษณะทั่วไป: มีท่าทางตึงเครียด หน้านิ่งคิ้วขมวด ตาจ้องขมึงไปรอบ ๆ เพื่อหาบุคคลหรือ
สิ่งของที่เป็นเป้าหมายการทําร้าย ทําลาย มีการคลื่อนไหวเดินไปมาตลอดเหมือนมีความระวนกระวาย ขู่ว่าจะฆ่าหรือทําร้ายผู้อื่น ทําลาย หรือมีท่าทางหวาดกลัว
อารมณ์: แสดงความโกรธอย่างรุนแรง ขาดการควบคุมอามณ์ เช่น ใช้คําพูดรุนแรง เสียงดังหน้าแดง ฉุนเฉียว อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายหรือแสดงอารมณ์ไม่สอคล้องกับเหตุการณ์
การรู้สติ (level of consciousness): อาจมีภาวะสับสนมีการรับรู้เวลา สถานที่ บุคคล ไม่ถูกต้อง (disorientation) หรือมีอาการหลงผิดระแวงว่าถูกปองร้าย มีความคิดทําร้าย ฆ่า หรือแก้แค้นผู้อื่น
เคยมีประวัติมีพฤติกรรมรุนแรง: ทะเลาะวิวาทรุนแรงกับผู้อื่น ทําร้ายผู้อื่น ทําลายทรัพย์สินมาไม่นาน หรือมีร่องรอยของการทะเลาะวิวาท เช่น มีรอยแผล, มีรอยซ้ํา
2) พฤติกรรมการฆ่าตัวตาย (suicide behavior
) มีหลายรูปแบบ ตั้งแต่การอยากฆ่าตัวตายที่วางแผน
ล่วงหน้าเป็นเดือนเป็นปี หรือเป็นการฆ่าตัวตายหรือการทําร้ายตนเองที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ หรือเป็นการกระทําที่
เป็นผลมาจากอาการโรคจิต (psychosis) เช่น ประสาทหลอน เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดพยาบาลควรให้
ความสําคัญในทุกกรณีเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการประเมินและการบําบัดดูแลซึ่งอาจทําให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
คําที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมฆ่าตัวตายหรือทําร้ายตนเองที่ควรรู้มีก็ดังต่อไปนี้
suicidal intention ความต้องการที่จะฆ่าตัวตาย
suicide committed suicide การฆ่าตัวตายสําเร็จ
suicidal ideation ความคิดอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งระดับความรุนแรงจะแตกต่างกันไปตาม
ความรุนแรงของ suicidal intention
suicidal attempt การพยายามฆ่าตัวตาย
self-injurious or self-harm behavior พฤติกรรมที่ตั้งใจทําร้ายตนเองให้บาดเจ็บเจ็บปวดหรือส่งผลทําลายร่างกายโดยไม่มี suicidal intention
3) ภาวะสับสนเพ้อคลั่ง (delirium) เป็นกลุ่มอาการทางสมองเฉียบพลัน (acute brain syndrome)
อายุที่เริ่มมีความผิดปกติทางจิตครั้งแรกมากกว่า 45 ปี
อาการเริ่มต้นเป็นอย่างเฉียบพลัน
มีประวัติโรคทางกายรื้อรัง เช่น เบาหวาน ตับวาย ไตวาย หรืออาการป่วยทางกายนํา เช่น มีไข้
ปวดศีษะ ชีพจรเร็ว ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน
-มีประวัติใช้สารเสพติด
-มีประสาทหลอนทางตาหรือทางผิหนังมากกว่าอาการประสาทหลอนทางหู
-มีประวัติอาการทาระบบประสาท หมดสติ ชัก อุบัติเหตุทางสมอง
การสูญเสียความชํานาญในการจัตวางภาพ (constructional apraxia) เช่น การไม่สามารถ
วาดรูปหน้าปัดนาฬิกาได้อย่างถูกต้อง
ผู้ป่วยจะเสียการรู้คิด (cognition) ทั้งหมดและมีอาการทาง neuropsychiatric syndrome ต่างๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ
ภายใน 2-3 ชั่วโมง หรือ 2-3 วัน ซึ่งประกอบด้วย อาการสับสนเกี่ยวกับวันเวลา สถานที่ บุคคล (disorientation)
กระวนกระวาย มีการเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัว (fluctuation of consciousness) มีควมผิดปกติของการ
หลับนอน เช่น หลับตอนกลางวันและตื่นหรือทําพฤติกรมวุ่นวายในเวลากลาคืน ความจําระยะสั้นเสีย การรู้สภาพ
ตนเองและตัดสินใจเสีย และจะมีอาการทางจิตรุนแรง มีอาการประสาทหลอน (hallucination) หรือแปลสิ่งเร้าผิด
(illusion) ทําให้เกิดความกลัว เกิดอาการวุ่นวาย ก้าวร้าวรุนแรงทําร้ายผู้อื่นเพราะหวาดระแวง หรือทําร้ายตนเองหนี
ภาวะประสาทหลอน ดังนั้น จึงพบว่ญาติส่วนหนึ่งนําผู้ปวยที่มีอาการสับสนเพ้อคลั่งจากการเจ็บป่วยทางกายเข้ามารับ
การรักษาในแผนกจิตเวชฉุกเฉิน โดยลักษณะที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะมีภาวะสับสนเพ้อคลั่ง มีดังนี้
4) กลุ่มอาการหายใจถี่ (hyperventilation syndrome)
เป็นกลุ่มอาการที่มีการหายใจเร็วอย่างมาก
ส่งผลให้เกิดภาวะคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดต่ํา (hypocapnia) และเกิดภาวะด่างจากการหายใจ (respiratory
alkalosis) ส่งผลให้เกิดอาการชารอบปากมือ เท้า เกร็ง กระสับกระส่าย ทายใจไม่อิ่ม วิงเวียน อาจหมดสติได้โดย
ลักษณะที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยจะอยู่ในกลุ่มอาการหายใจถี่ มีดังนี้
การมีอาการขึ้นมาทันทีทันใด
หายใจลึกและเร็วเป็นเวลาหลายนาทีโดยที่ไม่รู้ตัว จากนั้นจะเริ่มมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก
หายใจไม่อิ่ม วิงเวียน ใจสั่น นิ้วมือจีบยืดเกร็ง (carpopedal spasm)
ชาบริเวณริมฝีปาก นิ้วมือ นิ้วเท้า ผู้ป่วยอาจอ่อนแรงและสุดท้ายอาจหมดสติได้
ผู้ป่วยอาจจะบอกว่า รู้สึกเหมือนสําลัก หายใจไม่ออก (suffocation) ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว
ผู้ป่วยมักจะมีความเครียดทางอารมณ์เป็นปัจจัยกระตุ้น
5) อาการแพนิค (panic attack disorders)
ผู้ป่วยจะมีอาการกลัวอย่างรุนแรง พร้อมกับมีอาการทาง
กายหลายอย่างร่วมด้วย อาการเกิดทันทีและเป็นมากอย่างรวดเร็วผู้ป่วยจะมีความกลัวอย่างรุนแรง และความรู้สึก
เหมือนกําลังจะตาย ควบคุมตนเองไม่ได้ คิดว่าตนเองเป็นโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ และมีอาการทางกายร่วมด้วย
เช่น ใจสั่น เหงื่อออกมาก มือสั่น ตัวสั่น หอบ หายใจไม่ออก เจ็บแน่นหน้าอก คลื่นไส้แน่นท้อง เวียนศรีษะเป็นลม กลัว
ตาย ชาเจ็บตามผิวหนัง รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ตามตัว โดยที่อาการแพนิคอาจเกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ทําให้กลัว
อย่างชัดเจน เช่น เห็นสุนัขแล้วกลัวเพราะเคยถูกสุนัขกัดมาก่อน หรือบางรายอาการแพนิคเกิดขึ้นมาเองโดยไม่
สามารถระบุสถานการณ์กระตุ้นได้ลักษณะที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยอยู่ในอาการแพนิค มีดังนี้
ผู้ป่วยมีความกลัวอย่างรุนแรง
อาการเกิดทันทีและเป็นมากถึงระดับสูงสุดภายใน 10 นาที ร่วมกับอาการทางกายดังต่อไปนี้
อย่างน้อย 4 อาการ ได้แก่ ใจสั่น เหงื่อออกมาก มือสั่น ตัวสั่น หอบ หายใจไม่ออก เจ็บแน่นหน้าอก คลื่นไส้แน่นท้อง
เวียนศรีษะเป็นลม กลัวตาย ชาเจ็บตามผิวหนัง รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ตามตัว
อาจมีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 1 อย่างเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน ได้แก่กลัวจะเป็นอีก, กลัว
จะควบคุมตนเองไม่ได้,กล้วเป็นโรคห้วใจหรือกลัวเสียสติ, มีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น ขาดงาน หรือขาดโรงเรียน,อาการ
ที่มีไม่ได้เป็นมาจากภาวะความเจ็บป่วยทางกาย
6
) อาการพิษจากสารเสพติดและอาการขาดสาร (substance intoxication and withdrawal)
ที่นํา
ผู้ป่วยเข้ามารับรักษาในแผนกฉุกเฉินที่พบบ่อยในประทศไทยได้แก่ อาการที่เกิดจากพิษและอาการขาดสุรา แอมเฟตา
มีน และฝิ่น โดยลักษณะที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยมีอาการพิษและอาการขาดสารเสพติดแต่ละประเภท มีดังนี้
1) สุรา (alcohol) เป็นสารเสพติดที่มีฤทธิ์กดระบบประสาท
2) แอมเฟตามีน (amphetamine) เป็นสารเสพติดที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท (stimulants)
3) ฝิ่น (opioid) เป็นสารเสพติดประกอบด้วยฝื่นธรรมชาติ (มอร์ฟีน) กึ่งสังเคราะห์ (เฮโรอีน) และ
สารสังเคราะห์ เช่น โคเดอีน เพธิดีน
สาเหตุของของภาวะจิตเวชฉุกเฉินที่พบบ่อย
1) พฤติกรรมรุนแรง (violence behavior)
พฤติกรรมรุนแรงที่มีสาเหตุจากโรคทางจิต (functional causes) เช่น โรคจิตเภทชนิด
หวาดระแวง โรคไบโพล่าร์ที่มีอาการแมเนียจนควบคุมตนเองไม่ได้ โรคจิตเนื่องจากภาวะเครียด ( brief reactive
psychosis) ที่มีอาการประสาทหลอนหูแว่วสั่งให้ฆ่า การมีอาการหลงผิดกลัวคนจะมาทําร้ายอาจจะมีพฤติกรรม
ก้าวร้าวรุนแรงได้ หรือการมีบุคลิกภาพแปรปรวนในลักษณะต่อต้านสังคมหุนหันพลันแล่นจะมีปฏิกิริยามากเกินไปต่อ
ความเครียดจนควบคุมตนเองไม่ได้
พฤติกรรมรุนแรงที่มีสาเหตุจากความผิดปกติทางกาย (organic causes) เช่น พิษจากยา สาร
เสพติด อาการขาดสารเสพติด โรคลมชัก หรือสมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรงจากการมีพยาธิสภาพทาง
สมองทําให้ขาดการควบคุมอารมณ์
2).พฤติกรรมการฆ่าตัวตาย (suicide behavior) มีสาเหตุหรือปัจจัยในการเกิดพฤติกรรม ได้แก่
โรคทางจิตเนื่องจากการปรับตัว (adjustment disorder) เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตเช่น
ปัญหาเรื่องความรักและชีวิตสมรส มีปัญหาโรคเรื้อรัง การงาน เศรษฐกิจ แล้วแก้ไขไม่ได้ รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นและมี
อารมณ์เศร้า รู้สึกผิดหวัง รู้สึกหมดหนทาง ซึ่งผู้ป่วยที่ต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตแล้วปรับตัวไม่ได้จึงมีอาการเศร้าหรือคับ
ข้องใจที่รุนแรง สงผลให้มีความเสี่ยงสูงต่อการคิดฆ่าตัวตาย
โรคซึมเศร้า (major depressive disorder) ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีอาการเศร้ารุนแรงมีอาการ
ไม่สบายต่าง ๆ อย่างมากจะมีความรู้สึกทรมานคิดอยากตาย ยิ่งเศร้ามากความรู้สึกทุกข์ทรมานจะมีมาก และความคิด
อยากตายจะรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะถ้ามีอาการหลงผิด เช่น รู้สึกผิดคิดว่าสมควรตาย ร่วมด้วย
โรคจิตเภท (schizophrenia) เป็นการเจ็บป่วยเรื้อรังทําให้มีความสามารถในการทํากิจกรรม
ต่าง ๆ ลดลงจึงเกิดความรู้สึกไร้ค่า เบื่อหน่ายชีวิต สิ้นหวัง หรือพฤติกรรมการฆ่าตัวตายในโรคจิตเภทที่เกิดจากการมี
อารมณ์ซึมเศร้า หูแว่วได้ยินเสียงบอกให้ฆ่าตัวตายซ้ํา ๆ และหลงผิดมีความคิดว่าตนผิดบาปจึงมีอาการเศร้าอย่างมาก
การบําบัดรักษาของภาวะจิตเวชฉุกเฉินที่พบบ่อย
1) พฤติกรรมรุนแรง (violence behavior) การบําบัดช่วยเหลือ ได้แก่
สิ่งที่ควรคํานึงอันดับแรก คือ ความปลอดภัยของตัวผู้ป่วยเอง ผู้ป่วยอื่น ญาติ และบุคลากรทุกคน
โดยประเมินความเสี่ยงเมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาจากประวัติอาการสําคัญที่นําผู้ป่วยมาโรงพยาบาล การสังเกตสีหน้า
ท่าทาง การแสดงออก กระวนกระวายฉุนเฉียว ควบคุมตนเองไม่ได้มีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมรุนแรง การประเมิน
ระดับความรุนแรงและให้การบําบัดดูแลตามลําดับ ดังนี้
การป้องกันการเกิดพฤติกรรมรุนแรง (violence precautions) โดยพยาบาลต้องสร้าง
สัมพันธภาพกับผู้ป่วยแสดงท่าที่เป็นมิตร สงบ พร้อมที่จะช่วยเหลือ ไม่คุกคามผู้ป่วย อยู่ในระยะห่างที่พอเหมาะคือ
อย่างน้อยประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 ช่วงแขน เพื่อไม่ทําให้ผู้ป่วยรู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่ใกล้ชิดเกินไป และพยาบาลสามารถ
หลบหลีกได้ทันทีถ้าผู้ป่วยจะทําร้าย การจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสิ่งกระตุ้นน้อยที่สุดและปลอดภัยเปิดโอกาส
ให้ผู้ป่วยระบายอารมณ์ความรู้สึกและใช้คําพูดแสดงการรับรู้และเข้าใจในปัญหาหรือสถานการณ์ของผู้ป่วย เสนอการ
ช่วยเหลือ ตอบสนองความต้องการของผู้ป่วย เช่น อหาร น้ํา และการขับถ่ายปัสสาวะ เป็นต้น พร้อมทั้งให้ข้อมูลที่เป็น
จริงในการจํากัดพฤติกรรม (limit setting) ว่าผู้ป่วยต้องควบคุมตนเองให้มากขึ้น ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมตนเองได้
พยาบาลจําเป็นต้องจํากัดหรือควบคุมพฤติกรรมผู้ป่วยเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและผู้อื่น และขอตรวจร่างกาย
การควบคุมพฤติกรรมรุนแรง (violence control) ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมตนเองได้มีท่าที
ที่จะต่อสู้หรือจะทําร้ายร่างกายผู้อื่น พยาบาลต้องแจ้งให้ผู้ป่วยทราบว่าจําเป็นต้องควบคุมพฤติกรรมของผู้ป่วยโดยการ
ย้ายผู้ป่วยไว้ในห้องแยก จับและผูกยึด และให้ยาเพื่อสงบอาการตามคําสั่งการรักษา ในการควบคุมพฤติกรรมผู้ป่วย
ต้องอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบเหตุผลที่ต้องปฏิบัติและวิธีการปฏิบัติ ขณะควบคุมพฤติกรรมต้องสังเกตและ
ประเมินสัญญาณชีพเป็นระยะ ๆ ดูแลเรื่องความต้องการพื้นฐานด้านร่างกายและดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
ซึ่งวิธีการปฏิบัติเพื่อควบคุมพฤติกรรมรุนแรงมีดังนี้
1) การแยกหรือจํากัดบริเวณ (seclusion)
2) การผูกมัด (physical restraints)
3) การใช้ยาควบคุมอาการ (medication)
พฤติกรรมการฆ่าตัวตาย (suicide behavior) การบําบัดช่วยเหลือ ได้แก่
การรักษาทางกายเป็นอันดับแรก (management of medical surgical consequences ofsuicide attempt
การป้องกันและเฝ้าระวังการฆ่าตัวตายซ้ํา (suicide precautions) พยาบาลต้องพยายามไม่ให้
ผู้ป่วยฆ่าตัวตายซ้ําขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทั้งในห้องฉุกเฉินและ/หรือในหอผู้ป่วยใน
การประเมินและวางแผนการดูแลต่อเนื่อง การประเมินสาเหตุของการฆ่าตัวตายและประเมิน
ความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายซ้ํา จะต้องประเมินว่าสาเหตุสําคัญที่ทําให้ผู้ป่วยมีความคิดฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัว
ตายเพราะหตุใด
การพยาบาลบุคคลที่มีภาวะจิตเวชฉุกเฉิน
1) การจําแนกผู้ป่วย (triage) เป็นกระบวนการประเมินและคัดกรองภาวะสุขภาพแบบองค์รวมอย่าง
รวดเร็ว จากการสังเกตพฤติกรรมและอาการผิดปกติสัมภาษณ์อาการสําคัญ สาเหตุที่นํามาหน่วยฉุกเฉิน ประวัติการ
เจ็บป่วยในปัจจุบัน ในอดีต ประวัติทางกฎหมาย และปัจจัยกระตุ้นที่ก่อให้เกิดอาการในครั้งนี้โดยข้อมูลอาจมาจาก
ผู้ป่วย ญาติ หรือ ผู้นําส่ง
2) ให้การพยาบาลบําบัดดูแลระยะแรก (initial intervention) ตามความรุนแรงของปัญหาที่ประเมิน
ได้เพื่อจัดการให้ผู้ป่วยปลอดภัยและอาการสงบลง (stabilize patient) โดยการช่วยเหลือด้านร่างกายให้พันขีด
อันตรายก่อนเป็นอันดับแรกในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาทางกายร่วมด้วย ปกป้องชีวิตโดยการป้องกันการทําร้ายตนองและ
ผู้อื่น ช่วยให้พฤติกรรมแปรปรวน เช่น พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงสงบลง ซึ่งรูปแบบการบําบัดดูแลตามลําดับความ
รุนแรงของปัญหา
3) การประเมินและบําบัดต่อเนื่อง (continue with evaluation and intervention) เมื่อผู้ป่วย
อาการสงบ พ้นภาวะที่จะเป็นอันตรายต่อตนองและผู้อื่น พ้นขีดอันตราย ควบคุมตนเองได้มากขึ้น และให้ความร่วมมือ
ในการตรวจรักษา หรือถ้าผู้ป่วยยังไม่ให้ความร่วมมือ อาจประเมินข้อมูลต่าง ๆ จากญาติใกลัชิดที่นําผู้ป่วยมาส่ง
โรงพยาบาล ซึ่งการประเมินผู้ป่วยซ้ํานี้ควรมีความครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม เพื่อการวินิจฉัยแยก
โรค ระบุโรคที่เป็น
4) การจําหน่ายหรือส่งต่อผู้ป่วยไปยังหน่วยบําบัดอื่น (discharge or refer patient) เมื่อผู้ป่วยอาการ
ดีขึ้นและมีการประเมินซ้ําแล้ว อาจพิจารณาให้ผู้ปวยกลับบ้านหรือส่งต่อไปรักษาที่หน่วยอื่น เช่น ส่งไปรักษาที่แผนก
ผู้ป่วยนอกต่อไป หรือส่งปรึกษาแผนกอายุรศาสตร์ถ้าสงสัยหรือประเมินได้ว่าผู้ป่วยมีอาการทางจิตเนื่องจากภาวะ
ผิดปกติทางกาย หรือถ้าผู้ป่วยยังมีอาการไม่คงที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น ยังต้องการการดูแล
อย่างใกล้ชิดก็ส่งต่อเข้ารักษาแผนกผู้ป่วยใน โดยจะต้องมีการรายงานถึงสิ่งทีประเมินหรือตรวพบ การวินิจฉัยโรค ข้อ
วินิจฉัยปัญหา การบัดรักษาที่ให้ไปแล้ว และสภาวะผู้ป่วยก่อนการส่งต่อ
นางสาวสุนทรีย์ มชิโกวา รหัส 180101134