Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่5.5 การพยาบาลบุคคลที่มีกลุ่มโรควิตกกังวล - Coggle Diagram
บทที่5.5
การพยาบาลบุคคลที่มีกลุ่มโรควิตกกังวล
❖ความหมายความวิตกกังวล (Anxiety)❖
ความรู้สึกไม่สบายใจ หวาดหวั่น ไม่มั่นใจต่อสภาพการณ์ในอนาคตเกรงว่าจะเกิดอันตรายหรือความเสียหาย
ความวิตกกังวลแตกต่างกับความกลัว โดยความกลัวมีสาเหตุที่แน่ชัดสามารถบอกได้ว่ากลัวอะไร ความกลัวเกี่ยวกับการคิดประเมินสิ่งที่คุกคาม ความวิตกกังวลเป็นอารมณ์ที่ตอบสนองต่อความคิดนั้น
ความวิตกกังวล (Anxiety) เป็นการตอบสนองทางอารมณ์ต่อภัยคุกคามที่ยังไม่เกิดขึ้น โดยการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า เกิดขึ้นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
ความวิตกกังวลในระดับเล็กน้อยหรือระดับปานกลางมีความสำคัญในการช่วยให้เกิดความมุ่งมั่น เหมือนแรงผลักดันไปสู่เป้าหมายที่คาดหวังหากความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นมีมากเกินไป บ่อยครั้ง ยังดำเนินอยู่เป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดอาจทำให้เกิดความวิตกกังวลในระดับที่รุนแรงขึ้น
โดยสรุปความวิตกกังวลคือ สภาวะอารมณ์การตอบสนองต่อสิ่งที่ถูกคุกคาม เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นไม่สบายใจ กระวนกระวาย ไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การตอบสนองจะมากหรือน้อยขึ้นกับการรับรู้ การคาดการณ์ล่วงหน้าของแต่ละบุคคล ถ้าอยู่ในระดับน้อยหรือปานกลางจะทำให้เกิดแรงกระตุ้นผลักดันให้กระทำสิ่งที่กังวลนั้นสำเร็จ แต่ถ้าความวิตกกังวลมากและไม่สามารถจัดการได้ ทำให้เกิดอาการตื่นตระหนก หวาดระแวงเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลต่อสภาพร่างกายและจิตใจของบุคคลนั้น
❖สาเหตุ (Etiology)❖
ปัจจัยทางชีววิทยา (Biological factors)
กรรมพันธุ์ (genetic)
กายวิภาคของระบบประสาท (neuroanatomical)
ถ้ามีความผิดปกติของสมองส่วนนี้ทำให้เกิด Anxiety ได้ และผู้ป่วย panic disorder มีความผิดปกติของ temporal lobes โดยเฉพาะhippocampus
สารชีวเคมี (biochemical)
การมี blood lactate สูงผิดปกติทำให้ผู้ป่วยมีอาการ panic disorder หรือบุคคลมีความผิดปกติของ thyroid hormone ทำให้เกิดความวิตกกังวลได้
สารสื่อประสาท (neurochemical)
สารสื่อประสาท โดยเฉพาะ serotonin และGABA มีส่วนทำให้เป็นโรคนี้
ภาวะการเจ็บป่วยทางกาย (medical condition)
ปัจจัยทางจิตวิทยา (Psychological factors)
ตามทฤษฎีจิตวิเคราะห์(psychodynamic theory)
Freud กล่าวว่า Ego เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพ ไม่สามารถจัดการ conflict ที่เกิดขึ้นกับ Id และ Superego
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
ซัลลิแวน เชื่อว่าความวิตกกังวลเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับปัญหาทางอารมณ์ที่เกิดจากการไม่ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างในช่วงต้นของชีวิต
ทฤษฎีการเรียนรู้ (cognitive behavior theory)
มีแนวคิดว่าความวิตกกังวลเป็นปฏิกิริยาการเรียนรู้ที่มีต่อสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่งที่คุกคามเข้ามาทำให้หวาดหวั่น เมื่อเผชิญกับสิ่งเร้าในลักษณะเดียวกันก็จะเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นวิตกกังวล
อธิบายได้ว่าการย ้าคิด (obsessions) เกิดจากการที่ผู้ป่ วยถูกวางเงื่อนไขว่า เมื่อพบสิ่งกระตุ้นบางสิ่งแล้ว ทำให้เกิดการย้ำคิด ส่วนการย้ำทำ(compulsions) เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ป่ วยเรียนรู้ว่า การย้ำทำของเขาทำให้ความวิตกกังวลที่เกิดจากการย้ำคิดลดลงความวิตกกังวลที่ลดลงเป็นแรงเสริม (reinforcement) ทำให้เกืดการย้ำทำต่อไป
ปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (Social and environmental factors)
ปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับการเกิดโรควิตกกังวลน้อย แต่อาการของโรควิตกกังวลจะเป็นไปตามสังคมวัฒนธรรมของบุคคล
❖ลักษณะอาการของความวิตกกังวล❖
อาการทางร่างกาย คือ กล้ามเนื้อตึงเครียด เหนื่อย กระสับกระส่าย ปากแห้ง หนาว มือและเท้าเย็นต้องการปัสสาวะ ตาพร่า กล้ามเนื้อสั่นกระตุก หน้าแดง เสียงสั่น กระสับกระส่ายและอาเจียน หายใจลึกและถี่อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
อาการแสดงด้านจิตใจและอารมณ์ ผู้ที่มีอาการวิตกกังวลอาจแสดงออกอาการทางอารมณ์ที่มีความแตกต่างกันไปลักษณะอารมณ์ที่พบ ได้แก่ มีอาการกระสับกระส่าย หงุดหงิด ซึมเศร้าร้องไห้ โกรธ รู้สึกไม่มีสมาธิ
อาการแสดงด้านพฤติกรรม ได้แก่ เดินไปเดินมา ลุกลี้ลุกลน นั่งไม่ติดที่ เอามือม้วนเส้นผม ระมัดระวังตัวมากเป็นพิเศษ
อาการแสดงด้านความคิด ความจำ ได้แก่ สนใจสิ่งแวดล้อมลดลง ไม่มีสมาธิ ไม่ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัว ทำให้วิตกกังวล หลงลืม สนใจสิ่งที่ผ่านมามากกว่าเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น มีอาการครุ่นคิด
❖ระดับของความวิตกกังวล❖
วิตกกังวลระดับปกติ (Normal) เป็นความรู้สึกของบุคคลที่แสดงออกมาให้บุคคลรับรู้ว่า มีความไม่สบายใจ มีความรู้สึกหวาดหวั่น ซึ่งเป็นระดับที่บุคคลจะรู้สึกต้องเตรียมพร้อมในการป้องกันตนเองจากสิ่งที่คุกคาม
วิตกกังวลระดับน้อย (Mild anxiety) ความวิตกกังวลในระดับน้อยสามารถเกิดได้ในชีวิตประจำวันจะมีลักษณะตื่นตัวดี กระตือรือร้น สามารถสังเกตการณ์สิ่งแวดล้อมต่าง ๆได้ดี เรียนรู้ได้ดี มีความคิดริเริ่ม
ในระยะนี้บุคคลจะมีความสามารถในการรับรู้ความจริง จะเห็น จะได้ยิน และรับรู้ข้อมูลได้มากความวิตกกังวลในระดับนี้บุคคลจะเรียนรู้ที่จะหาวิธีในการแก้ไขปัญหา และอาจมีการแก้ไขปัญหาได้ดี
วิตกกังวลระดับปานกลาง (Moderate anxiety) จะมีการรับรู้ทางประสาทสัมผัสต่างๆทั้งการมองเห็นการฟังมีประสิทธิภาพลดลง ความสนใจและสมาธิลดลง การรับรู้แคบลง
บุคคลจะมีอาการพูดเสียงสั่นๆ พูดเร็วขึ้น เริ่มมีอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น ยังมีความสามารถแก้ไขปัญหาได้แต่ต้องใช้สมาธิมากขึ้นมีความรู้สึกท้าทายต้องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้ มีความตื่นตัวมากขึ้นแต่ยังรับรู้ เข้าใจความเกี่ยวเนื่องของเหตุการณ์อยู่
วิตกกังวลระดับสูง (Severe anxiety) บุคคลที่มีความวิตกกังวลระดับสูงจะรับรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้น้อยลง ความสนใจจดจ่ออยู่กับแค่บางสิ่งบางอย่าง ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ต้องการพูดได้พูดจาไม่รู้เรื่องกระบวนการคิดไม่ดี สับสน อาจจะเกิดช่วงก่อนที่บุคคลจะมองหาความช่วยเหลือ
บุคคลที่อยู่ในสภาวะนี้มีการรับรู้ลดลง เลือกสนใจสิ่งกระตุ้น มีพลังมากขึ้น กระสับกระส่าย ลุกลี้ลุกลนแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้น้อย ไม่รับรู้และไม่เข้าใจเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง บางคนมีอาการทางกาย เริ่มมีพฤติกรรมที่แสดงถึงความผิดปกติทางจิตใจ
วิตกกังวลระดับรุนแรง (Panic state) บุคคลที่มีความวิตกกังวลระดับหวาดกลัวรุนแรงความสามารถในการรับรู้จะหยุดชะงัก พูดไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถสื่อสารกับบุคคลอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีความสามารถในการทำสิ่งต่างๆ ความรู้สึกตัว อารมณ์ผิดปกติ การรับรู้ผิดไปจากความเป็นจริง
จะไม่สามารถควบคุมดูแลตนเองได้ ระบบการทำงานของร่างกายเพิ่มขึ้น มีความอดทนต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆได้น้อย ไม่สามารถรับรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือถ้ารับรู้ก็รับผิดพลาด ความคิดเป็นเหตุเป็นผลลดลง แก้ปัญหาไม่ได้ มีความรู้สึกโกรธ ขาดที่พึ่ง เศร้าหดหู่ หมดอาลัยตายอยากในชีวิต แยกตัวเอง พูดเสียงดังเร็ว ไม่ประติดประต่อเป็นประโยค หน้านิ่วคิ้วขมวด
บุคคลในภาวะปกติ จะมีระดับความวิตกกังวลในระดับ 1 ถึง 3 ถ้าระดับความวิตกกังวลถึงระดับ 4 และ 5 ถือว่าบุคคลนั้นอยู่ในภาวะฉุกเฉินทางจิตเวชต้องได้รับการช่วยเหลือ
❖ลักษณะของความวิตกกังวล❖
Trait –anxiety or A –trait (ความวิตกกังวลประจำตัว)
คือ ลักษณะประจำตัวของแต่ละบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้และการประเมินสิ่งเร้า โดยมีแนวโน้มที่จะรับรู้และประเมินหรือคาดคะเนสิ่งเร้าว่าน่าจะเกิดอันตรายหรืออาจคุกคามตนเองทำให้มีความวิตกกังวลเกิดขึ้น
และความวิตกกังวลประจำตัวนี้เป็นตัวเสริมความวิตกกังวลขณะปัจจุบัน ความวิตกกังวลแบบนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่อนข้างช้า
State- anxiety or A-state (ความวิตกกังวลในขณะปัจจุบัน)
คือความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นกับบุคคลในสถานการณ์เฉพาะหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ทำให้เกิดความไม่พึงพอใจหรือจะเกิดอันตรายต่อบุคคลความวิตกกังวลในขณะปัจจุบันนี้ทำให้บุคคลเกิดความตึงเครียด หวาดหวั่น กระวนกระวาย ระบบอัตโนมัติตื่นตัวสูงขึ้น
ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความวิตกกังวลเฉพาะตัวและ
ประสบการณ์ในอดีตของแต่ละบุคคล
❖ การบำบัดรักษา❖
การรักษาด้วยยา
ยาต้านอาการวิตกกังวลเป็นยาที่นิยมใช้รักษาผู้ที่มีความผิดปกติด้านความวิตกกังวลทุกรูปแบบ ยาเหล่านี้ได้แก่ Ativan, Xanax, buspar เป็นยาที่นิยมใช้
แต่ยาเหล่านี้มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์หลายอย่างทำให้ติดยาต้องเพิ่มปริมาณยาที่ใช้ และต้องเพิ่มปริมาณยาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใช้เป็นเวลานานในปริมาณสูงๆ การหยุดยาทันทีทำให้เกิดอาการชักได้
การรักษาทางจิตสังคม
การทำจิตบำบัดเป็นวิธีการรักษาต้นเหตุของอาการความวิตกกังวล วิธีการของจิตบำบัดมีหลายวิธีเช่น จิตบำบัดโดยจิตวิเคราะห์ จิตบำบัดโดยทฤษฎีมนุษย์นิยม ซึ่งทุกรูปแบบให้ประโยชน์แก่ผู้ป่วยทั้งสิ้น
ส่วนใหญ่มักจะใช้หลายๆวิธีร่วมกันไปเรียกว่า electric approach
นอกจากนี้อาจรักษาด้วยการบำบัดโดยปรับความคิด(cognitive therapy) การเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้น(Exposuretherapy) การทำจิตวิเคราะห์(psychoanalysis) หรือครอบครัวบำบัด (family therapy)
การบำบัดทางเลือก (Alternative therapy)
Visual imagery การสร้างจินตภาพ
Changeof pace or scenery การเปลี่ยนย้ายสถานที่อยู่
Exerciseor massage การออกกำลังกายหรือการนวด
Transcendental meditation การทำสมาธิ
Biofeedback การใช้เครื่องไบโอฟี ดแบคตรวจสอบ
Systematic desensitization วิธีเผชิญภาวะวิตกกังวลอย่างเป็นระบบ
7.relaxation exercise ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
Therapeutictouch or laying on of hands การใช้พลังสัมผัส
Hypnosis การสะกดจิต