Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลบุคคลที่มีโรคจิตเภท - Coggle Diagram
การพยาบาลบุคคลที่มีโรคจิตเภท
ความหมาย
โรคจิตเภท เป็นโรคจิตที่พบได้มากในกลุ่มผู้ป่ วยที่มีปัญหาทางจิตเวชและสุขภาพจิต ความผิดปกติจะเกิดขึ้นหลายอย่างแบบค่อยเป็นค่อยไปได้แก่ ความผิดปกติของความคิด การรับรู้พฤติกรรม อารมณ์ และการสื่อสาร โดยอาจเริ่มต้นที่สัมพันธภาพบกพร่อง ไม่ค่อยสนใจสิ่งแวดล้อมส่งผลต่อการดำเนินชีวิต ครอบครัวและสังคมเป็นอันมาก
ลักษณะอาการของโรคจิตเภท
มีอาการผิดปกติต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน มีปัญหาด้านการเข้าสังคม การงาน สัมพันธภาพ หรือสุขอนามัยของตนเอง
มีอาการต่อไปนี้ อย่างน้อย 2 อาการในช่วงเวลา 1 เดือน
หลงผิด (delusion)
ประสาทหลอน(hallucination)
ความผิดปกติของการพูด (disorganized speech)
ความผิดปกติของพฤติกรรม(disorganized behavior)
อาการด้านลบ (negative symptom)
กลุ่มอาการด้านบวก (Positive symptoms)
แสดงออกทางด้านความผิดปกติของความคิด การรับรู้การติดต่อสื่อสารและการแสดงพฤติกรรม เช่นมีอาการหลงผิด ประสาทหลอน หวาดระแวง พูดไม่รู้เรื่อง ทำท่าทางแปลกๆ เปลือยกายในที่สาธารณะ กินเศษขยะ คลุ้มคลั่ง เอะอะ โวยวาย ก้าวร้าว ด่าทอ ทำลายข้าวของ ทำร้ายผู้คน
กลุ่มอาการด้านลบ (Negative symptoms)
แสดงออกทางสีหน้าและอารมณ์ได้แก่ สีหน้าเฉยเมย ไม่ แสดงอารมณ์ใดๆไม่พูด แยกตัวเอง ขาดความสนใจและความกระตือรือร้นในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆไม่ยินดี ยินร้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว สัมพันธภาพกับผู้อื่นไม่ดีความคิดในเชิงนามธรรมเสียไป อาการจะเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป
สาเหตุของโรคจิตเภท
ปัจจัยด้านชีวภาพ ( Biological factors)
พันธุกรรม ( Genetics) สารชีวเคมีในสมอง ( Biochemical factors ) เช่น โดปามีน (Dopamine) ซีโรโทนิน ( Serotonin) กายภาพของสมองที่ผิดปกติ พบว่าส่วนของ lateral ventricles ขยายใหญ่กว่าปกติ และ corticalสองด้านไม่เท่ากันมีสภาพเหี่ยวลีบเล็กลง
ปัจจัยทางด้านจิตสังคม (Psychosocial factors)
ความขัดแย้งภายในจิตใจ การใช้กลไกทางจิตที่ไม่เหมาะสม กระบวนการพัฒนาการ และสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ลักษณะการเลี้ยงดูในวัยเด็ก ความเครียด ความเครียดที่ท าให้บุคคลที่มีแนวโน้มจะป่วยอยู่แล้วสามารถแสดงอาการทางจิตได้ สภาพสังคมและวัฒนธรรม
การบำบัดรักษาบุคคลที่มีของโรคจิตเภท
1.การรักษาแบบผู้ป่วยใน ควรกระทำเมื่อผู้ป่วยมีพฤติกรรม/อาการที่ไม่สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ดังนี้
1.1 เป็นอันตรายต่อตนเองและบุคคลอื่นหรือสังคม
1.2 มีอาการข้างเคียงของยาอย่างรุนแรงที่ต้องดูแลใกล้ชิด
1.3 ไม่ร่วมมือในการรักษา ไม่ยอมกินยา
1.4 ไม่สามารถดูแลตัวเองได้
1.5 มีพฤติกรรมวุ่นวายอย่างมาก
1.6 มีอาการของโรคทางกายที่ต้องควบคุมการรักษา
1.7 มีอาการทางจิตรุนแรงมาก
1.8 มีปัญหาในการวินิจฉัยโรค
2.การรักษาด้วยยา เป็นการรักษาที่จำเป็นที่สุด แพทย์จะให้ยากลุ่มต้านโรคจิต เพื่อควบคุมอาการและลดการกำเริบ ผู้ป่วยจะต้องกินยาต่อเนื่อง 4-6 สัปดาห์และไม่ควรหยุดยาเอง หากผู้ป่วยไมย่อมกินยาแพทย์จะให้ยาฉีดที่มีฤทธิ์นาน(long acting)ทุก 2-4 สัปดาห์
3.การรักษาด้วยไฟฟ้า (ECT) กรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา และมีอาการรุนแรงมาก หรือชนิด catatonic มีภาวะซึมเศร้าหรือเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
การรักษาทางจิตใจและสังคม เป็นส่วนสำคัญของการรักษาที่ทำควบคู่ไปกับการรักษาด้วยยา ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วยที่อยู่ในระยะคงที่ แล้วอาการทางจิตทุเลาลง รูปแบบการรักษา เช่น นิเวศน์บำบัด(milieu therapy) กลุ่มบำบัด(group therapy) การให้ความรู้/คำแนะนำเกี่ยวกับโรค
กระบวนการพยาบาลบุคคลที่มีของโรคจิตเภท
การประเมินผู้ป่วย (assessment)
1 สภาพทั่วไป ลักษณะของผู้ป่ วย เพศ วัย การแต่งกาย ความสะอาด สุขอนามัย การดูแลตนเอง การเคลื่อนไหว บาดแผล (ถ้ามี) สภาพที่ญาตินำมาส่งโรงพยาบาล
2 อารมณ์ ลักษณะการแสดงอารมณ์ อารมณ์ไม่เหมาะสมกับเหตุการณ์หรือเฉยเมย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆถ้าถูกขัดใจ น้ำเสียง ก้าวร้าว รุนแรง คลุ้มคลั่ง ได้
3 การพูดสื่อสาร การตอบค าถาม ผู้ป่ วยบางคนจะพูดวกวน หรือพูดเร็วจนจับใจความไม่ได้หรือไม่พูด
4 เนื้อหาความคิด หลงผิดเป็นเรื่องที่ไม่เป็นจริง คิดว่ามีคนคอยติดตาม ไม่หวังดี นินทา ให้ร้าย
5 การรับรู้ความเป็นจริง อาการประสาทหลอนผู้ป่วยไม่พูดตรงๆ จะสังเกตได้จากการเอามือป้องหูหรือการพูดคนเดียว
6 การตระหนักต่อความเจ็บป่วยของตนเอง ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่รับว่าตนเองป่วยมักบอกว่ามาโรงพยาบาลด้วยเหตุอื่น
การปฏิบัติการพยาบาลตามพฤติกรรมปัญหา
ความคิดผิดปกติ
1.สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด เข้าใจและยอมรับความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วยว่าผู้ป่วยคิดและรู้สึกว่าทุกอย่างเป็ นจริงด้วยท่าทีที่สงบ เป็นมิตร จริงใจ
2.รับฟังเรื่องที่ผู้ป่ วยเล่าโดยไม่กล่าวค าขัดแย้ง ไม่ตัดสิน คล้อยตาม ท้าทาย ล้อเลียนหรือวิพากษ์วิจารณ์
3.แยกบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องให้ห่างไกลจากผู้ป่วย
4.เก็บอุปกรณ์ที่อาจเป็นอันตรายหรือเป็ นอาวุธให้ห่างไกลจากผู้ป่วย
5.ลดสิ่งกระตุ้นความรุนแรง เช่น เสียงดัง ความวุ่นวาย คนที่ผู้ป่ วยไม่ชอบหรือกลัว
สนทนากับผู้ป่วยในบริบทของความเป็นจริง เบี่ยงเบนความสนใจของผู้ป่วยจากความหลงผิดโดย กระตุ้นให้ทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น เช่น เล่นไพ่ ทำงาน ศิลปะ ทำอาหาร วาดรูป อ่านหนังสือพิมพ์ นันทนาการ และกลุ่มบำบัดในหอผู้ป่วย
7.แนะนำวิธีการที่จะลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับความคิดผิดปกติ
การรับรู้ผิดปกติ(ประสาทหลอน)
1.สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด เข้าใจและยอมรับพฤติกรรมของผู้ป่วยว่าทุกอย่างเป็นจริงด้วยท่าทีที่สงบเป็นมิตร จริงใจ
2.รับฟังเรื่องที่ผู้ป่วยเล่าโดยไม่กล่าวคำขัดแย้ง ไม่ตัดสินไม่คล้อยตาม ท้าทาย ล้อเลียนหรือวิพากษ์วิจารณ์
3.ไม่โต้เถียง หรือพยายามที่จะแก้ไขความเชื่อของ
ผู้ป่วย กรณีที่ผู้ป่วยกำลังได้ยินเสียงสั่ง
4.สอบถามผู้ป่วยว่าเมื่อเกิดอาการประสาทหลอนผู้ป่วยปฏิบัติอย่างไร
5.แสดงให้ผู้ป่วยรับรู้ว่าพยาบาลใส่ใจในความรู้สึกของ
ผู้ป่วยและผลกระทบของความผิดปกติที่เกิดขึ้น
6.การบอกความจริง(Present reality)ในกรณีที่ผู้ป่วย สามารถยอมรับความจริงนัันได้ พร้อมทั้งพยาบาลแสดงให้ผู้ป่วยทราบว่าพยาบาลยอมรับความรู้สึกของผู้ป่วย
จัดให้ผู้ป่วยได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์โดยร่วมกลุ่ม
กิจกรรมบำบัดกับผู้ป่วยอื่นๆ
การสื่อสารบกพร่อง
1.ประเมินว่าการสื่อสารที่ผิดปกติของผู้ป่วยเกิดขึ้นในลักษณะใดเกิดแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
2.ในการสนทนากับผู้ป่วยควรจัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ ไม่มีสิ่งกระตุ้น
3.พิจารณาว่าผู้ป่วยได้รับยากลุ่มต้านโรคจิตกลุ่มใดมานานเท่าใด
4.สื่อสารกับผู้ป่วยด้วยคำพูดที่ชัดเจนเข้าใจง่าย
5.การสื่อสารช้าๆใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวล มีหางเสียง
6.พยายามสำรวจความรู้สึกวิตกกังวล ซึมเศร้า ที่แฝง
มากับคำพูดและท่าทางการแสดงออก
7.ถ้าผู้ป่วยสื่อสารแล้วพยาบาลไม่เข้าใจ พยาบาลควร
สอบถามโดยใช้เทคนิคการสนทนา
8.ถ้าผู้ป่วยพูดออกนอกเรื่องพยาบาลต้องดึงผู้ป่วยให้กลับมาอยู่ในหัวข้อการสนทนาที่เป็นจริงขณะนั้นโดยไม่ตำหนิหรือว่าผู้ป่วย
ผู้ป่วยจิตเภทที่มีอาการหวาดระแวง
1.สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด เข้าใจและยอมรับพฤติกรรมของผู้ป่วยว่าทุกอย่างเป็นจริงด้วยท่าทีที่สงบเป็นมิตร จริงใจ
2.รับฟังเรื่องที่ผู้ป่วยเล่าโดยไม่กล่าวคำขัดแย้ง ไม่ตัดสินไม่คล้อยตาม ท้าทาย ล้อเลียนหรือวิพากษ์วิจารณ์
3.พูดคุยทักทายกับผู้ป่ วยอย่างสม ่าเสมอ หลีกเลี่ยงการจ้องมอง หัวเราะ และพูดซุบซิบ กับคนอื่นต่อหน้าผู้ป่วย ถ้าจะพูดกับผู้ป่วยคนอื่นก็ต้องพูดให้ผู้ป่วยได้ยินด้วย
4.ใช้คำพูดที่ตรงไปตรงมา เข้าใจง่าย ไม่ต้องตีความ
5.สอบถามผู้ป่วยถึงความคิดว่าผู้อื่นปองร้าย และผู้ป่วยมีวิธีการจัดการอย่างไร
6.ผู้ป่วยระแวงสงสัยว่าอาหารมียาพิษ พยาบาลบอกความจริงและอาจจะชิมอาหารให้ดูหรือให้ผู้ป่ วยคนอื่นรับประทานให้ผู้ป่วยดูว่าไม่มีอะไรเป็นพิษ
7.หากผู้ป่วยกล่าวโทษ ตำหนิ ไม่ชอบคนนั้นคนนี้พยาบาลรับฟังเพื่อเป็นข้อมูลไม่ควรกล่าวแก้ตัวหรือขัดแย้งใดๆกับผู้ป่วย
8.จัดให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิด สมาธิร่วมกับผู้อื่นอย่างน้อย 1- 2 คน เช่น หมากรุกไพ่บริดจ์ รัมมี่ อักษรไขว้ ทั ้งนี ้ต้องไม่มีการแข่งขันหรือพนันขันต่อกัน