Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลบุคคลที่มีภาวะจิตเวชฉุกเฉิน - Coggle Diagram
การพยาบาลบุคคลที่มีภาวะจิตเวชฉุกเฉิน
จิตเวชฉุกเฉิน (emergency psychiatry) เป็นภาวะที่บุคคลมีความแปรปรวนทางด้านความคิด อารมณ์ ความสัมพันธ์ทางสังคม หรือ พฤติกรรมอย่างเฉียบพลันหรือรุนแรง จนอาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือเกิดความ เสียหายต่อทรัพย์สินของตนเองและผู้อื่น จำเป็นต้องได้รับการบำบัด ช่วยเหลืออย่างถูกต้องเหมาะสมโดยเร่งด่วน เพื่อ ช่วยลดอันตรายหรือความเสียหายอันอาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยหรือบุคคลรอบข้างรวมทั้งทรัพย์สิน และเมื่อผู้ป่วยมี อาการสงบลง ปลอดภัยจะพิจารณาส่งต่อให้ได้รับการดูแลรักษาต่อเนื่องที่เหมาะสม
1) พฤติกรรมรุนแรง (violence behavior)
เป็นพฤติกรรมในความพยายามหรือลงมือกระทำการทำร้าย ทำลาย ทั้งร่างกาย จิตใจ ตนเองผู้อืน และสิ่งของ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บุคคลหรือสิ่งของที่ถูกกระทำได้รับความเจ็บปวด การบาดเจ็บ หรือเสียหาย เป็น พฤติกรรมที่พบบ่อยในหน่วยงานฉุกเฉินทางจิตเวช และมักเป็นอาการสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยถูกส่งตัวมารับการรักษาใน โรงพยาบาล โดยลักษณะที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมรุนแรง มีดังนี้
ลักษณะทั่วไป: มีท่าทางตึงเครียด หน้านิ่งคิ้วขมวด ตาจ้องขมึงไปรอบ ๆ เพื่อหาบุคคลหรือ สิ่งของที่เป็นเป้าหมายการทำร้าย ทำลาย มีการคลื่อนไหวเดินไปมาตลอดเหมือนมีความระวนกระวาย ขู่ว่าจะฆ่าหรือ ทำร้ายผู้อื่น ทำลาย หรือมีท่าทางหวาดกลัว
อารมณ์: แสดงความโกรธอย่างรุนแรง ขาดการควบคุมอามณ์ เช่น ใช้คำพูดรุนแรง เสียงดัง หน้าแดง ฉุนเฉียว อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่ายหรือแสดงอารมณ์ไม่สอคล้องกับเหตุการณ์
การรู้สติ (level of consciousness): อาจมีภาวะสับสนมีการรับรู้เวลา สถานที่ บุคคล ไม่ ถูกต้อง (disorientation) หรือมีอาการหลงผิดระแวงว่าถูกปองร้าย มีความคิดทำร้าย ฆ่า หรือแก้แค้นผู้อื่น - เคยมีประวัติมีพฤติกรรมรุนแรง: ทะเลาะวิวาทรุนแรงกับผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่น ทำลายทรัพย์สินมา ไม่นาน หรือมีร่องรอยของการทะเลาะวิวาท
2) พฤติกรรมการฆ่าตัวตาย (suicide behavior)
มีหลายรูปแบบ ตั้งแต่การอยากฆ่าตัวตายที่วางแผน ล่วงหน้าเป็นเดือนเป็นปี หรือเป็นการฆ่าตัวตายหรือการทำร้ายตนเองที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ หรือเป็นการกระทำที่ เป็นผลมาจากอาการโรคจิต (psychosis) เช่น ประสาทหลอน เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดพยาบาลควรให้ ความสำคัญในทุกกรณีเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการประเมินและการบำบัดดูแลซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ คำที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตนเองที่ควรรู้มีก็ดังต่อไปนี้
suicidal intention ความต้องการที่จะฆ่าตัวตาย
suicide committed suicide การฆ่าตัวตายสำเร็จ
suicidal ideation ความคิดอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งระดับความรุนแรงจะแตกต่างกันไปตาม ความรุนแรงของ suicidal intention
suicidal attempt การพยายามฆ่าตัวตาย
self-injurious or self-harm behavior พฤติกรรมที่ตั้งใจทำร้ายตนเองให้บาดเจ็บ เจ็บปวดหรือส่งผลทำลายร่างกายโดยไม่มี suicidal intention
ลักษณะทั่วไป: สีหน้าเศร้าหมอง ร้องไห้ไม่สบตา ตามองพื้น คอตก ไหล่ห่อ ไม่ค่อย สนใจดูแลสุขอานามัยตนเอง คิดช้า พูดช้า เคลื่อนไหวช้า ตอบคำถามแบบถามคำตอบคำ หรือบางคนจะมีท่าที กระวนกระวาน อยู่นิ่งไม่ได้
ลักษณะอารมณ์:คนที่คิดฆ่าตัวตายมีหลายอารมณ์ อาจเศร้า โกรธ คับแค้นใจ แต่ ส่วนมากจะตกอยู่ในภาวะเศร้ารู้สึกทุกข์ทรมานใจ หดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง เบื่อชีวิต หรือบางรายจะรู้สึกหงุดหงิด พลุ่งพล่าน โกรธ อยากแก้แค้น อยากให้ผู้อื่นรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิด
ความคิด: อาจโทษตนเองคิดว่าตนเองเป็นคนไม่ดีไม่มีคุณค่า เป็นภาระกับคนอื่น การมี ชีวิตอยู่ต่อไปไร้ความหมาย ไม่มีใครต้องการ คิดว่าตนเองมีความผิดบาป ไม่อยากทุกข์ทรมานต่อไป จะได้หมด ทุกข์ พ้นความทรมานใจ บางคนหมกมุ่นกับการคิดฆ่าตัวตาย วางแผนฆ่าตัวตาย และหรือมีความตั้งใจที่จะทำ ร้ายตนเอง
การรับรู้: ผู้มีอาการทางจิตอาจมีอาการประสาทหลอนสั่งให้ทำร้ายตนเอง (command hallucinations for self-harm)
พฤติกรรม: คนที่คิดฆ่าตัวตายอาจจะมีการพยายามทำร้ายตนเองหรือมีพฤติกรรมเสี่ยงที่ จะทำร้ายตนเองก่อนมาโรงพยาบาล มีประวัติเคยพยายามทำร้ายตนเอง โดยที่การพยายามฆ่าตัวตายหรือทำ ร้ายตนเองส่วนหนึ่งนั้นอาจจะมีการแสดงเจตนาว่าจะฆ่าตัวตายด้วยคำพูด โทรศัพท์บอกคนใกล้ชิด
3) ภาวะสับสนเพ้อคลั่ง (delirium)
เป็นกลุ่มอาการทางสมองเฉียบพลัน (acute brain syndrome) ผู้ป่วยจะเสียการรู้คิด (cognition) ทั้งหมดและมีอาการทาง neuropsychiatric syndrome ต่างๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ ภายใน 2-3 ชั่วโมง หรือ 2-3 วัน ซึ่งประกอบด้วย อาการสับสนเกี่ยวกับวันเวลา สถานที่ บุคคล (disorientation) กระวนกระวาย มีการเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัว (fluctuation of consciousness) มีควมผิดปกติของการ หลับนอน เช่น หลับตอนกลางวันและตื่นหรือทำพฤติกรมวุ่นวายในเวลากลาคืน ความจำระยะสั้นเสีย การรู้สภาพ
ตนเองและตัดสินใจเสีย และจะมีอาการทางจิตรุนแรง มีอาการประสาทหลอน (hallucination) หรือแปลสิ่งเร้าผิด (illusion) ทำให้เกิดความกลัว เกิดอาการวุ่นวาย ก้าวร้าวรุนแรงทำร้ายผู้อื่นเพราะหวาดระแวง หรือทำร้ายตนเองหนี ภาวะประสาทหลอน
อาการเริ่มต้นเป็นอย่างเฉียบพลัน
มีประวัติโรคทางกายรื้อรัง เช่น เบาหวาน ตับวาย ไตวาย หรืออาการป่วยทางกายนำ เช่น มีไข้ ปวดศีษะ ชีพจรเร็ว ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน
-มีประวัติใช้สารเสพติด
-มีประสาทหลอนทางตาหรือทางผิหนังมากกว่าอาการประสาทหลอนทางหู
-มีประวัติอาการทาระบบประสาท หมดสติ ชัก อุบัติเหตุทางสมอง
การสูญเสียความชำนาญในการจัตวางภาพ (constructional apraxia) เช่น การไม่สามารถ วาดรูปหน้าปัดนาฬิกาได้อย่างถูกต้อง
4) กลุ่มอาการหายใจถี่ (hyperventilation syndrome)
เป็นกลุ่มอาการที่มีการหายใจเร็วอย่างมาก ส่งผลให้เกิดภาวะคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดต่ำ (hypocapnia) และเกิดภาวะด่างจากการหายใจ (respiratory alkalosis) ส่งผลให้เกิดอาการชารอบปากมือ เท้า เกร็ง กระสับกระส่าย ทายใจไม่อิ่ม วิงเวียน อาจหมดสติได้โดย ลักษณะที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยจะอยู่ในกลุ่มอาการหายใจถี่
การมีอาการขึ้นมาทันทีทันใด
หายใจลึกและเร็วเป็นเวลาหลายนาทีโดยที่ไม่รู้ตัว จากนั้นจะเริ่มมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม วิงเวียน ใจสั่น นิ้วมือจีบยืดเกร็ง (carpopedal spasm)
ชาบริเวณริมฝีปาก นิ้วมือ นิ้วเท้า ผู้ป่วยอาจอ่อนแรงและสุดท้ายอาจหมดสติได้
ผู้ป่วยอาจจะบอกว่า รู้สึกเหมือนสำลัก หายใจไม่ออก (suffocation) ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยมักจะมีความเครียดทางอารมณ์เป็นปัจจัยกระตุ้น
5) อาการแพนิค (panic attack disorders)
ผู้ป่วยจะมีอาการกลัวอย่างรุนแรง พร้อมกับมีอาการทาง กายหลายอย่างร่วมด้วย อาการเกิดทันทีและเป็นมากอย่างรวดเร็วผู้ป่วยจะมีความกลัวอย่างรุนแรง และความรู้สึก เหมือนกำลังจะตาย ควบคุมตนเองไม่ได้ คิดว่าตนเองเป็นโรคร้ายแรง
ผู้ป่วยมีความกลัวอย่างรุนแรง
อาการเกิดทันทีและเป็นมากถึงระดับสูงสุดภายใน 10 นาที ร่วมกับอาการทางกายดังต่อไปนี้ อย่างน้อย 4 อาการ ได้แก่ ใจสั่น เหงื่อออกมาก มือสั่น ตัวสั่น หอบ หายใจไม่ออก เจ็บแน่นหน้าอก คลื่นไส้แน่นท้อง เวียนศรีษะเป็นลม กลัวตาย ชาเจ็บตามผิวหนัง รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ตามตัว
อาจมีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 1 อย่างเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน ได้แก่กลัวจะเป็นอีก, กลัว จะควบคุมตนเองไม่ได้,กล้วเป็นโรคห้วใจหรือกลัวเสียสติ, มีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น ขาดงาน
6) อาการพิษจากสารเสพติดและอาการขาดสาร (substance intoxication and withdrawal)
อาการที่เกิดจากพิษและอาการขาดสุรา แอมเฟตา มีน และฝิ่น โดยลักษณะที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยมีอาการพิษและอาการขาดสารเสพติดแต่ละประเภท
1) สุรา (alcohol) เป็นสารเสพติดที่มีฤทธิ์กดระบบประสาท
อาการพิษสุรา (alcohol intoxication) จะมีความผิดปกติของพฤติกรรมหรือจิตใจ ขณะที่มีอาการมึนเมา
อาการขาดสุรา (alcohol withdrawal) เกิดขึ้นเนื่องจากดื่มสุราจัดเป็นเวลานานแล้วหยุดหรือ ลดปริมาณการดื่มลง อาการขาดสุราจะเกิดภายใน 4 - 12 ชั่วโมง แต่บางรายอาจมีอาการหล้งหยุด 2-3 วัน อาการมัก เป็นรุนแรงในวันที่ 2 จะเกิดกลุ่มอาการเหงื่อออกมาก ชีพจรเร็ว มือสั่น นอนไม่หลับ คลื่นไอเจียน
2) แอมเฟตามีน (amphetamine) เป็นสารเสพติดที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท (stimulants)
อาการพิษของแอมเฟตามีน (amphetamine intoxication) อาการสำคัญ คือ รู้สึกสบาย ผิดปกติ ร่วมกับอารมณ์รื่นเริงสนุกสนาน จนถึงขั้นความรู้สึกตื่นตัวสูง กระวนกระวายหงุดหงิด โกรธง่าย การตัดสินใจ เสีย เกิดปัญหาทะเละกับคนอื่น มีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง
อาการขาดแอมเฟตามีน (amphetamine withdrawal) เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ป่วยขาดแอมเฟตา มีนภายใน 2-3 ชั่วโมงจนถึงหลายวัน หลังหยุดเสพหรือลดปริมาณลงจะเกิดอาการรู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลีย ฝันร้าย นอนไม่หลับ หรือหลับมาก พลุ่งพล่าน กระวนกระวาย อยากเสพยาอย่างรุนแรง สำหรับผู้ที่เสพยาขนาดสูงเป็นระยะ เวลานาน เมื่อหยุดเสพอาจมีอาการเศร้ารุนแรงเป็นเวลาหลายๆ วัน และอาจมีความคิดอยากตายได้
3) ฝิ่น (opioid) เป็นสารเสพติดประกอบด้วยฝื่นธรรมชาติ (มอร์ฟีน) กึ่งสังเคราะห์ (เฮโรอีน) และ สารสังเคราะห์ เช่น โคเดอีน เพธิดีน
อาการพิษจากฝิ่น (opioid intoxication) อาการสำคัญ คือ อารมณ์ร่าเริงในระยะแรกแล้ว เปลี่ยนเป็นรู้สึกไม่สุขสบาย พลุ่งพล่าน กระวนกระวายหรือเชื่องช้า และมีอาการทางกาย เช่น ม่านตาหด พูดไม่ชัด สมาธิและความจำเสีย อาการพิษอย่างรุนแรงอาจไม่รู้สึกตัว (coma) การหายใจช้า ม่านตาขยาย และอาจเสียชีวิต
อาการขาดฝิ่น (opioid withdrawal) เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ป่วยหยุดเสพหรือลดปริมาณลง ฝิ่นซึ่ง มีฤทธิ์สั้นอาการขาดสารจะเกิดภายใน 6-24 ชัวโมง โดยจะเกิดอาการวิตกกังวล กระวนกระวาย อยากเสพฝิ่น รู้สึกไม่ สบาย อ่อนเพลีย ฝันร้าย นอนไม่หลับ หรือหลับมาก หงุดหงิด อยากเสพยาอย่างรุนแรง
สาเหตุของของภาวะจิตเวชฉุกเฉินที่พบบ่อย
1) พฤติกรรมรุนแรง (violence behavior)
พฤติกรรมรุนแรงที่มีสาเหตุจากโรคทางจิต (functional causes) เช่น โรคจิตเภทชนิด หวาดระแวง โรคไบโพล่าร์ที่มีอาการแมเนียจนควบคุมตนเองไม่ได้ โรคจิตเนื่องจากภาวะเครียด ( brief reactive psychosis) ที่มีอาการประสาทหลอนหูแว่วสั่งให้ฆ่า การมีอาการหลงผิดกลัวคนจะมาทำร้ายอาจจะมีพฤติกรรม ก้าวร้าวรุนแรงได้
พฤติกรรมรุนแรงที่มีสาเหตุจากความผิดปกติทางกาย (organic causes) เช่น พิษจากยา สาร เสพติด อาการขาดสารเสพติด โรคลมชัก หรือสมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรงจากการมีพยาธิสภาพทาง สมองทำให้ขาดการควบคุมอารมณ์
2) พฤติกรรมการฆ่าตัวตาย (suicide behavior)
โรคซึมเศร้า (major depressive disorder) ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีอาการเศร้ารุนแรงมีอาการ ไม่สบายต่าง ๆ อย่างมากจะมีความรู้สึกทรมานคิดอยากตาย ยิ่งเศร้ามากความรู้สึกทุกข์ทรมานจะมีมาก และความคิด อยากตายจะรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะถ้ามีอาการหลงผิด เช่น รู้สึกผิดคิดว่าสมควรตาย ร่วมด้วย
โรคจิตเภท (schizophrenia) เป็นการเจ็บป่วยเรื้อรังทำให้มีความสามารถในการทำกิจกรรม ต่าง ๆ ลดลงจึงเกิดความรู้สึกไร้ค่า เบื่อหน่ายชีวิต สิ้นหวัง หรือพฤติกรรมการฆ่าตัวตายในโรคจิตเภทที่เกิดจากการมี อารมณ์ซึมเศร้า หูแว่วได้ยินเสียงบอกให้ฆ่าตัวตายซ้ำ ๆ และหลงผิดมีความคิดว่าตนผิดบาปจึงมีอาการเศร้าอย่างมาก ก็มีโอกาสคิดฆ่าตัวตายได้สูงเช่นกัน
ติดสุราหรือยาเสพติด (alcohol dependence or substance dependence) ที่มีอาการ ซึมเศร้าหรือโรคซึมเศร้าร่วมด้วยผู้ป่วยจึงมีความรู้สึกด้อยค่า (low self-esteem) คิดฆ่าตัวตายเพราะคิดว่าตนเองไร้ ประโยชน์หรือรู้สึกเป็นภาระต่อครอบครัว
บุคลิกภาพผิดปกติ (personality disorder) เช่น ผู้ที่มีบุคลิกภาพแบบ borderline personality disorder ซึ่งมีความคิดหรือพฤติกรรมที่แสดงว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ มักมีปัญหาในการ ปรับตัว อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย รู้สึกเงียบเหงาและกลัวการถูกทอดทิ้ง และมีการควบคุมตนเองได้ต่ำ
3) ภาวะสับสนเพ้อคลั่ง (delirium)
central nervous system disorder ประสบอุบัติเหตุกระทบกระเทือนสมอง ชัก ภาวะเลือต ไปเลี้ยงสมองน้อยผิดปกติ เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ภาวะช็อก หัวใจวาย ระบหายใจล้มเหลว ภาวะติดเชื้อ เนื้อสมองมีการอักเสบ และเยื้อหุ้มสมองอักเสบ
metabolic disorder เช่น โรคตับวาย ไตวาย ขาดวิตามีนบี การเสียสมดุลของเกลือแร่หรือ สมดุลกรด-ด่าง และภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
endocrinopathy เช่น ภาวะฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ พาราไทรอยด์ต่ำหรือสูงกว่าปกติ ภาวะฮอร์โมนของต่อมใต้สมองต่ำกว่าปกติ
systemic lines อาการพิษจากการดื่มสุราและสารเสพติด และอาการขาดสุราและสารเสพติด การติดเชื้อ ระบบควบคุมอุณหภูมิผิดปกติ
ยาที่เป็นสาเหตุของการเกิดอาการสับสนเพ้อคลั่ง เช่น antihistamine, atropine, thiazine, clozapine, tricyclic antidepressant, barbiturates, benzodiazepine
4) กลุ่มอาการหายใจถี่ (hyperventilation syndrome)
มีสาเหตุหรือปัจจัยในการเกิดกลุ่มอาการหายใจถี่ แม้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดแต่ผู้ป่วยมักจะเริ่ม ตันมีการหายใจที่ผิดปกติเมื่อถูกกระตุ้นโดยความเครียดและอารมณ์ท่วมท้น โดยสารสื่อประสาทชนิดกระตุ้น (excitatory neurotransmitter)จะส่งผลให้ระบบการหายใจใช้กล้ามเนื้อส่วนอกมากกว่ากระบังลม ผลคือทำให้ลม ค้างในปอดปริมาณมาก ทำให้ไม่สามารถหายใจได้ในปริมาตรของการหายใจปกติ ปริมาตรการหายใจในหนึ่งนาทีมี มากเกินไปและเกิดคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดต่ำ เมื่อหายใจต่อไปจึงรู้สึกหายใจไม่อิ่ม (dyspnea)
5) อาการแพนิค (panic attack disorders)
ปัจจัยในการเกิดอาการแพนิค ได้แก่ - พันธุกรรม พบว่า ญาติสนิทของผู้ป่วยมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าคนทั่วไป
ปัจจัยทางจิตใจ พบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ร้อยละ 80 มีเหตุการณ์สำคัญในชีวิต เช่น การสูญเสีย การพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักหรือการมีภาระรับผิดชอบเพิ่มขึ้น ก่อนที่จะมีอาการนี้ครั้งแรก - การมีจุดอ่อนทางชีวภาพแฝงอยู่ จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาคลายกังวล (alprazolam) และยารักษาอาการซึมเศร้า (imipramine)สามารถลดความรุนแรงของอาการ แพนิคได้
การบำบัดรักษาของภาวะจิตเวชฉุกเฉินที่พบบ่อย
1) พฤติกรรมรุนแรง (violence behavior)
การป้องกันการเกิดพฤติกรรมรุนแรง (violence precautions) โดยพยาบาลต้องสร้าง สัมพันธภาพกับผู้ป่วยแสดงท่าที่เป็นมิตร สงบ พร้อมที่จะช่วยเหลือ ไม่คุกคามผู้ป่วย อยู่ในระยะห่างที่พอเหมาะคือ อย่างน้อยประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 ช่วงแขน เพื่อไม่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่ใกล้ชิดเกินไป
การควบคุมพฤติกรรมรุนแรง (violence control) ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมตนเองได้มีท่าที ที่จะต่อสู้หรือจะทำร้ายร่างกายผู้อื่น พยาบาลต้องแจ้งให้ผู้ป่วยทราบว่าจำเป็นต้องควบคุมพฤติกรรมของผู้ป่วยโดยการ ย้ายผู้ป่วยไว้ในห้องแยก จับและผูกยึด และให้ยาเพื่อสงบอาการตามคำสั่งการรักษา ในการควบคุมพฤติกรรมผู้ป่วย ต้องอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบเหตุผลที่ต้องปฏิบัติและวิธีการปฏิบัติ ขณะควบคุมพฤติกรรมต้องสังเกตและ ประเมินสัญญาณชีพเป็นระยะ ๆ ดูแลเรื่องความต้องการพื้นฐานด้านร่างกายและดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
การประเมินและวางแผนการดูแลต่อเนื่อง ภายหลังการควบคุมพฤติกรรมของผู้ป่วยได้แล้ว ถ้า ผู้ป่วยยังมีอาการทางจิตรุนแรง และต้องควบคุมอาการในเวลาเร่งด่วน (rapid method)แพทย์จะให้ antipsychotic drugในกลุ่ม high potency สำหรับฉีดเข้ากล้ม ทุก ๆ 30-60 นาที่จนกว่าจะประเมินว่าผู้ป่วยอาการสงบลงจะหยุดยา ฉีดและให้เป็นชนิดรับประทานแทน แต่ถ้าผู้ป่วยมีปัญหาป่วยทางกาย มีอาการเพ้อ หรือสูงอายุ แพทย์อาจให้ diazepam ฉีดเข้ากล้ามหรือเข้าหลอดเลือดแทน
2) พฤติกรรมการฆ่าตัวตาย (suicide behavior)
การรักษาทางกายเป็นอันดับแรก (management of medical surgical consequences of suicide attempt) สำหรับผู้ป่วยที่พยายามฆ่าตัวตายมาก่อนเข้ารับการรักษา เช่น ถ้ากินยาหรือสารเคมีมาให้การล้าง ท้อง ให้ยาแก้พิษ
การป้องกันและเฝ้าระวังการฆ่าตัวตายซ้ำ (suicide precautions) พยาบาลต้องพยายามไม่ให้ ผู้ป่วยฆ่าตัวตายซ้ำขณะรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทั้งในห้องฉุกเฉินและ/หรือในหอผู้ป่วยใน โดยจัดที่พักให้มีความ ปลอดภัย ระวังวัสดุอุปกรณ์ที่ผู้ป่วยสามารถใช้เพื่อทำร้ายตนเอง
การประเมินและวางแผนการดูแลต่อเนื่อง การประเมินสาเหตุของการฆ่าตัวตายและประเมิน ความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายซ้ำ จะต้องประเมินว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัว ตายเพราะหตุใด
3) ภาวะสับสนเพ้อคลั่ง (delirium)
การบำบัดด้านสิ่งแวดล้อม
1) การผูกยึด (restrain) เนื่องจากผู้ป่วย delirium มักมีอาการสับสนวุ่นวายเกิดขึ้นเป็น ช่วงๆโดยที่ไม่สามารถทำนายได้ ผู้ป่วยอาจทำร้ายตัวเองและผู้อื่น อาจไต้รับบาตเจ็บจากการตกเตียง ดึงสายน้ำเกลือ จึงจำเป็นต้องผูกผู้ป่วยไว้กับเตียง อย่างไรก็ตามถ้าผู้ป่วยอาการตีขึ้นควรหยุดใช้วิธีผูกยึด
2) การส่งเสริมการรับรู้สิ่งแวดล้อมที่ถูกต้อง (orientation) ควรบอกให้ผู้ป่วยทราบวัน เวลา และสถานที่เป็นระยะๆ
3) ควรให้ผู้ป่วยอยู่ในที่ ที่มีแสงสว่างอย่างเพียงพอ มีเสียงบ้างพอสมควร
4) เมื่อผู้ป่วยหายจากอาการแล้ว ควรอธิบายให้ผู้ปวยเข้าใจถึงพฤติกรรมแปลกๆว่าเกิดขึ้นได้ อย่างไร และอาการดังกล่าวสามารถรักษาให้หายได้
5) อธิบายถึงภาวะ delirium ให้สมาชิกในครอบครัวทราบว่าภาวะนี้เป็นอย่างไรเพื่อลด ความกังวลของสมาชิกในครอบครัว
4) กลุ่มอาการหายใจถี่ (hyperventilation syndrome) การบำบัดช่วยเหลือ
ให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วย (reassurance) ว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีอันตรายถึงชั้นเสียชีวิตเพื่อ ลดระดับความกังวลและกลัวของผู้ป่วย
อธิบายให้ผู้ป่วยทราบว่าอาการและความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยเกิดจากการหายใจเร็วกว่า ปกติหรือหายใจถี่ โดยให้ผู้ป่วยลองหายใจเร็วขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดการเรียนรู้กลไกการเกิดอาการว่าหากหายใจเร็วขึ้น
5) อาการแพนิค (panic attack disorders)
สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อผู้ป่วย เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้พูดระบายความคิดและความรู้สึก ซัก ประวัติเพื่อรวบรวมข้อมูลด้านภาวะสุขภาพจิต สาเหตุ ปัจจัยส่งเสริม ตลอดจนการรักษาที่เคยได้รับ
ใช้หลัn therapeutic communication ให้กำลังใจและประคับประคองจิตใจ แสดงความใส่ ใจสัมผัสร่างกายผู้ป่วยตามความเหมาะสม เพื่อทำให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย
แยกผู้ป่วยออกมาจากสถานการณ์ที่ทำให้เกิดอาการ โดยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปอยู่ที่สงบ
ให้ยาตามแผนการรักษา ถ้ามีอาการกังวลมากผู้ป่วยจะได้รับยาคลายความวิตกกังวล หรือยา พวก antidepressant แต่ถ้ามีอาการหวาดระแวงหรืออาการอื่นของโรคจิต ก็ผู้ป่วยจะได้รับยาต้านอาการทางจิต - ให้ความรู้และการปฏิบัติตัวแก่ผู้ป่วย ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาแก่ผู้ป่วยและญาติ แก้ไขสาเหตุ ความตึงเครียด เช่น การฝึกทักษะการแก้ปัญหาอย่างมีระบบ และการจัดการกับความเครียด ถ้าอาการเป็นๆหายๆ บ่อยๆควรส่งผู้ป่วยพบจิตแพทย์
6) อาการพิษจากสารเสพติดและอาการขาดสาร (substance intoxication and withdrawal) การ บำบัดช่วยเหลือ
วัดและบันทึกสัญญาณชีพ (vital signs)
ตรวจสอบทางเดินหายใจ (clear airway)
กรณีที่ผู้ป่วยมีอาการชัก ผู้ป่วยจะได้รับยาแก้ชัก
ให้การปรึกษาเพื่อประคับประคองผู้ป่วยในการปรับตัวกับปัญหาในปัจจุบัน
ส่งปรึกษาจิตแพทย์เพื่อรักษาภาวะติดสารเสพติดและอาการทางจิตเนื่องจากการใช้สารเสพติด และ/หรือปรึกษาแพทย์ทางอายุรศาสตร์
การพยาบาลบุคคลที่มีภาวะจิตเวชฉุกเฉิน
1) การจำแนกผู้ป่วย (triage) เป็นกระบวนการประเมินและคัดกรองภาวะสุขภาพแบบองค์รวมอย่าง รวดเร็ว จากการสังเกตพฤติกรรมและอาการผิดปกติสัมภาษณ์อาการสำคัญ สาเหตุที่นำมาหน่วยฉุกเฉิน ประวัติการ เจ็บป่วยในปัจจุบัน ในอดีต ประวัติทางกฎหมาย และปัจจัยกระตุ้นที่ก่อให้เกิดอาการในครั้งนี้โดยข้อมูลอาจมาจาก ผู้ป่วย ญาติ หรือ ผู้นำส่ง
2) ให้การพยาบาลบำบัดดูแลระยะแรก (initial intervention) ตามความรุนแรงของปัญหาที่ประเมิน ได้เพื่อจัดการให้ผู้ป่วยปลอดภัยและอาการสงบลง (stabilize patient) โดยการช่วยเหลือด้านร่างกายให้พันขีด อันตรายก่อนเป็นอันดับแรกในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาทางกายร่วมด้วย ปกป้องชีวิตโดยการป้องกันการทำร้ายตนองและ ผู้อื่น ช่วยให้พฤติกรรมแปรปรวน
3) การประเมินและบำบัดต่อเนื่อง (continue with evaluation and intervention) เมื่อผู้ป่วย อาการสงบ พ้นภาวะที่จะเป็นอันตรายต่อตนองและผู้อื่น พ้นขีดอันตราย ควบคุมตนเองได้มากขึ้น และให้ความร่วมมือ ในการตรวจรักษา หรือถ้าผู้ป่วยยังไม่ให้ความร่วมมือ อาจประเมินข้อมูลต่าง ๆ จากญาติใกลัชิดที่นำผู้ป่วยมาส่ง โรงพยาบาล ซึ่งการประเมินผู้ป่วยซ้ำนี้ควรมีความครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม เพื่อการวินิจฉัยแยก โรค ระบุโรคที่เป็น สาเหตุหรือปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการครั้งนี้ รวมทั้งความพร้อมและแหล่งสนับสนุนที่ผู้ป่วยมีอยู่ แหล่งบริการสุขภาพและแหล่งเอื้อประโยชน์ในชุมชน เพื่อวางแผนการรักษาพยาบาลที่ต่อเนื่องและป้องกันการ กลับมามีอาการรุนแรงซ้ำ
4) การจำหน่ายหรือส่งต่อผู้ป่วยไปยังหน่วยบำบัดอื่น (discharge or refer patient) เมื่อผู้ป่วยอาการ ดีขึ้นและมีการประเมินซ้ำแล้ว อาจพิจารณาให้ผู้ปวยกลับบ้านหรือส่งต่อไปรักษาที่หน่วยอื่น เช่น ส่งไปรักษาที่แผนก ผู้ป่วยนอกต่อไป หรือส่งปรึกษาแผนกอายุรศาสตร์ถ้าสงสัยหรือประเมินได้ว่าผู้ป่วยมีอาการทางจิตเนื่องจากภาวะ ผิดปกติทางกาย หรือถ้าผู้ป่วยยังมีอาการไม่คงที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น ยังต้องการการดูแล อย่างใกล้ชิดก็ส่งต่อเข้ารักษาแผนกผู้ป่วยใน โดยจะต้องมีการรายงานถึงสิ่งทีประเมินหรือตรวพบ การวินิจฉัยโรค ข้อ วินิจฉัยปัญหา การบัดรักษาที่ให้ไปแล้ว และสภาวะผู้ป่วยก่อนการส่งต่อ