Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 1 การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบหายใจ - Coggle Diagram
บทที่ 1 การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบหายใจ
1.1 การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาทางเดินหายใจส่วนบน
โรคหวัด
หมายถึง โรคไข้หวัดธรรมดา (Common cold) เป็นโรคที่พบบ่อยมาก ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก ซึ่งมักพบเป็นหวัดได้บ่อยถึงปีละ 6 - 8 ครั้ง เพราะเด็กมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กอนุบาล จึงมีโอกาสเป็นหวัดได้บ่อยกว่าผู้ใหญ่มาก โดยเฉพาะเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากขึ้น และอาจเจ็บป่วยจนถึงขั้นเป็นหวัดเรื้อรังหรือเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น หลอดลมปอด ไซนัสและหูชั้นกลางอักเสบตามมาได้
อาการ
1.มีอาการไม่รุนแรง อาจมีไข้ (แต่ไข้สูงไม่เกิน 38°เซลเซียส) อาจปวดศีรษะ (ไม่มาก) ปวดเมื่อยตัว แสบตา คัดจมูก จาม ไอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล อาจมีอ่อนเพลีย (แต่ไม่มาก)
2.บางครั้งอาจมีอาการ เจ็บคอ ปวดท้อง อาเจียน หรือ ท้องเสียได้บ้าง
3.อาการแตกต่างกันได้มากในแต่ละครั้งของการเป็นหวัด แต่โดยทั่วไปอาการไม่มาก
4.ปกติมักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ หากมีอาการป่วยนานกว่านั้น อาจจะมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ควรพาไปพบพบแพทย์โดยเร็ว
การติดต่อ
1.ไข้หวัดในเด็กส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งแพร่เชื้อให้คนรอบข้างได้ง่ายผ่านระบบทางเดินหายใจ ซึ่งไวรัสมีหลากหลายชนิด แต่กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่ม ไรโนไวรัส (Rhinoviruses) และ โคโรนาไวรัส (Coronaviruses)
2.ติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ จากการไอ จาม รับน้ำมูก น้ำลาย หรือสัมผัสเชื้อโรคจากสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น การเล่นกับคนเป็นหวัด โทรศัพท์ จับราวบันได กดปุ่มกดลิฟต์ และ ของเล่น เป็นต้น
Pharyngitis
คออักเสบ (Pharyngitis) เป็นภาวะอักเสบของเนื้อเยื่อในลำคอที่อยู่บริเวณหลังช่องปากเข้าไปมีการอักเสบ บวม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บคอเป็นสำคัญ
สาเหตุของคออักเสบ
มีสิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคืองภายในลำคอ
กล้ามเนื้อตึงในคอ
อาการแพ้ หรือเป็นโรคภูมิแพ้
กรดไหลย้อน
ป่วยด้วยการติดเชื้อบริเวณไซนัสบ่อยๆ
มีเนื้องอกบริเวณลำคอ ลิ้น หรือกล่องเสียง
อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เจ็บคอ คออักเสบ หรือเป็นไข้หวัด
สภาพอากาศหนาวเย็น อยู่ในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว ซึ่งเอื้อต่อการระบาดของไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อ
10.สูบบุหรี่ หรืออยู่ใกล้ผู้ที่สูบบุหรี่แล้วได้รับควันบุหรี่เข้าสู่ร่างกาย
อาการของคออักเสบ
ในรายที่คออักเสบจากเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่จะไม่เจ็บตอนกลืน ผนังคอหอยอาจมีลักษณะแดงเพียงเล็กน้อยหรือไม่ชัดเจน ร่วมกับมีอาการหวัด น้ำมูกใสไหล ไอ เสียงแหบ มีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะเล็กน้อย ตาแดง
2.ในรายที่คออักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอมากจนกลืนน้ำและอาหารลำบาก ผนังคอหอยหรือเพดานอ่อนมีลักษณะแดงจัดและบวม มีจุดหนองที่คอหอย มักจะไม่มีอาการน้ำมูกไหล ไอ หรือตาแดงแบบการอักเสบจากไวรัส แต่จะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และอาจพบต่อมน้ำเหลืองโต
การปฏิบัติตนเมื่อคออักเสบ
ควรแยกของใช้ส่วนตัวโดยเฉพาะแก้วน้ำ ช้อน จาน ชามออกจากผู้อื่น และเวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูกเสมอ
รักษาสุขอนามัยพื้นฐานให้ดี เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อรุนแรง และลดการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น
พักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำ
รับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำซุป นม น้ำหวาน เป็นต้นโดยรับประทานครั้งละน้อยๆแต่บ่อยครั้ง
กลั้วคอด้วยน้ำเกลือวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อรักษาความสะอาดของช่องปากและเพื่อให้ช่องปากชุ่มชื้น
งดการใช้เสียง งดการสูบบุหรี่และงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ถ้ามีไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว หลีกเลี่ยงการอาบน้ำเย็น และรับประทานยาพาราเซตตามอลเป็นครั้งคราวเมื่อมีไข้หรือเจ็บคอมาก
อมยาบรรเทาอาการเจ็บคอ ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
ถ้ามีอาการน้ำมูกหรือเสมหะเป็นสีเหลืองเขียว ปวดหู หูอื้อ มีไข้สูง หายใจหอบเหนื่อย หรือมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ หรืออาการคออักเสบเป็นอยู่นานเกิน 7 วัน ให้รีบไปพบแพทย์
ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และรับประทานยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน ไม่หยุดยาเองแม้อาการจะดีขึ้น และไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ
ควรรีบพบแพทย์ก่อนนัดเมื่ออาการต่างๆเลวลง เช่นยังมีไข้สูง หรือมีอาการเจ็บคออีก
ควรหยุดงาน หยุดเรียน จนกว่าไข้จะลดลงแล้วอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
Tonsillitis
ทอนซิลอักเสบ(tonsillitis)เป็นภาวะอักเสบของต่อมทอนซิลส่วน"คออักเสบ"(pharyngitis)มักใช้เรียกภาวะอักเสบของเนื้อเยื่อในลำคอที่อยู่บริเวณหลังช่องปากเข้าไป บางครั้งภาวะทั้งสองอาจเกิดพร้อมกันได้ ส่วนใหญ่แล้วโรคต่อมทอนซิลพบมากที่สุดในเด็กอายุก่อน10ปี
การรักษาทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน
ปกติแพทย์จะให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาบรรเทาอาการเจ็บคอ ยาลดน้ำมูก ลดไข้ ให้ยาต้านจุลชีพ หรือยาแก้อักเสบ เพื่อกำจัดเชื้อต้นเหตุถ้าการอักเสบนั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ควรรับประทานยาดังกล่าวให้นานพอ 7-10 วัน ซึ่งในปัจจุบันยาในกลุ่มเพนนิซิลินยังใช้ได้ผลดี ยกเว้นเชื้อบางกลุ่มที่พบว่าดื้อยาแล้ว แพทย์จึงจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่แรงขึ้น ในรายที่มีอาการมาก ๆ เช่น เจ็บคอมากจนรับประทานอาหารไม่ได้และมีไข้สูง
แพทย์จะพิจารณาตัดต่อมทอนซิล
1.เป็นภาวะต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรังที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือเกิดการอักเสบปีละหลายครั้งหลายปีติดต่อกัน
2.เมื่อต่อมทอนซิลโตมาก ๆ ทำให้เกิดอุดกั้นทางเดินหายใจ และมีอาการนอนกรน และ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับตามมา
3.ผู้ป่วยที่มีต่อมทอนซิลโต และแพทย์สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งของต่อมทอนซิลโดยตรง หรือมีมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ
หูชั้นกลางอักเสบ
โรคหูชั้นกลางอักเสบ (Otitis Media) คือ โรคที่มีการอักเสบของหูชั้นกลางซึ่งอยู่ระหว่างหูชั้นนอกและชั้นใน เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่
สาเหตุของการเกิดหูชั้นกลางอักเสบ
สาเหตุหลักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสและเชื้อเอ็นทีเอชไอ ที่พบได้ในลำคอหรือโพรงจมูกของเด็กๆ มักจะเกิดตามหลังจากการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้เชื้อโรคที่อยู่บริเวณโพรงจมูก กระจายเข้าหูชั้นกลางและเกิดการอักเสบได้ ซึ่งพบว่าประมาณร้อยละ 80 ของเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี
อาการที่เกิดขึ้น
ปวดหู ในเด็กเล็กที่พูดยังไม่ได้ อาจ ดึงหู ทุบหู ร้องกวนงอแงผิดปกติ ไข้สูง คลื่นไส้อาเจียน หูอื้อ มีหนองไหลออกจากหู
หากรักษาช้า อาจทำให้แก้วหูทะลุ สูญเสียการได้ยินชั่วคราวหรือถาวร อัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้า เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และฝีในสมอง
การป้องกัน
ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน เพราะในนมแม่มีภูมิคุ้มกันช่วยลดอัตราการติดเชื้อได้ 3-4 เท่าเมื่อเทียบกับนมผสม
ไม่ควรนอนดูดนม เพราะทำให้น้ำนมไหลย้อนเข้าหูชั้นกลาง ควรอุ้มทารกเอียง 45 องศา ขณะให้นม
เริ่มฝึกให้ลูกเลิกขวดนมตั้งแต่อายุ 9-12 เดือน อย่างช้าไม่ควรเกินอายุ 18 เดือน
หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับควันบุหรี่
หลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กโดยเฉพาะต่ำกว่า 2 ขวบไปสถานที่คนหนาแน่น เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาด เพราะเสี่ยงต่อการรับเชื้อ
การฉีดวัคซีนสามารถลดโอกาสการเกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบได้
ไซนัส
อักเสบเฉียบพลัน
อาการ
มีอาการคัดจมูก น้ำมูกข้นเขียว ลมหายใจมีกลิ่น ไอแบบมีเสมหะในคอปวดศีรษะและจมูกซึ่งพบน้อยในเด็กเล็ก ตัวร้อนคล้ายมีไข้
การป้องกันไม่ให้เกิดไซนัสอักเสบโดยเฉพาะหลังป่วยเป็นไข้หวัด
หลีกเลี่ยงการป่วยอาการเป็นไข้หวัดหรือคลุกคลีกับเด็กที่ป่วยเป็นไข้หวัด
เมื่อป่วยเป็นไข้หวัด
ใช้ยาลดเยื่อบุจมูกบวมหรือยาพ่นจมูก
ห้ามสั่งน้ำมูกแรงๆ หรือถ้าจะสั่งให้ปิดรูจมูกข้างหนึ่งและเปิดอีกข้างไว้
ดื่มน้ำมากๆ ไม่ให้น้ำมูกเหนียว
หลีกเลี่ยงการขึ้นเครื่องบิน ถ้าจำเป็นให้ใช้ยาพ่นจมูกลดเยื่อบุจมูกบวมก่อนที่เคลื่อนบินขึ้นลง
ถ้าเป็นหวัดเรื้อรังจากโรคภูมิแพ้ ให้รีบรักษาอย่าให้มีอาการเรื้อรังจะเกิดไซนัสแทรกซ้อนได้
หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคืองต่อเยื้อทางเดินหายใจ เช่น ควันบุหรี่ ควันรถยนต์
ให้มีการพักผ่อนให้พอเพียงและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
1.2 การพยาบาลเด็กป่วยที่มีปัญหาทางเดินหายใจส่วนล่าง
Acute Bronchitis
โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) ในเด็กเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อบริเวณหลอดลมซึ่งอยู่ลึกลงไปจากกล่องเสียงไปยังปอดส่วนล่าง ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนอยู่ตรงกลางระหว่างทาง เดินหายใจส่วนบน (จมูก ลำคอ และท่อลม) และทางเดินหายใจส่วนล่าง (เนื้อปอด)
อาการส่วนใหญ่ของโรคหลอดลมอักเสบในเด็ก เริ่มจากอาการคล้ายไข้หวัด (โรคหวัดหรือ โรคไข้หวัดใหญ่) น้ำมูกไหล ไอเล็กน้อย และเมื่อ 2 - 3 วันผ่านไปเชื้อโรคจะลุกลามไปยังหลอด ลม ทำให้มีอาการไอมากขึ้น ไอแห้งๆ ไม่ค่อยมีเสมหะ หลังจากนั้นอาจลุกลามเป็นโรคปอดอักเสบ หรือโรคปอดบวมได้ (โรคปอดอักเสบ โรคปอดบวมในเด็ก) อาการส่วนใหญ่ของหลอดลมอักเสบจะหายเป็นปกติดีประมาณ 1 - 2 สัปดาห์หลังจากมีอาการ
แนวทางการรักษา
การรักษา เนื่องจากเกิดจากเชื้อไวรัสเกือบทั้งหมดจึงไม่มียารักษาจำเพาะ ยกเว้นพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเชื้อไวรัสโรคไข้หวัดใหญ่ซึ่งมียาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่รักษาได้ ส่วนยาปฏิชีวนะสำหรับเชื้อแบคทีเรียนั้นมักไม่ค่อยมีประโยชน์เมื่อเป็นการติดเชื้อไวรัส เพราะยาปฏิชีวนะ ฆ่าเชื้อไวรัสไม่ได้
การดูแลเด็ก โดยผู้ดูแลควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ โดยทั่วไปคือให้เด็กดื่มน้ำอุ่นมากๆ อย่าอยู่ในที่มีอากาศถ่ายเทไม่ดี ปิดปากจมูกเวลาไอหรือจาม ล้างมือบ่อยๆ พักผ่อน มากๆ เมื่อมีไข้หรือไอมากควรหยุดโรงเรียนเพื่อการพักผ่อนและลดโอกาสเกิดโรคแพร่กระจายสู่เด็กคนอื่นๆ
การป้องกันโรคหลอดลมอักเสบ
โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคบางโรคที่มีวัคซีนเช่น โรคหัด โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไอกรน
Acute Bronchiolitis
ความหมาย
คือ การอักเสบของหลอดลมฝอยในเด็ก มีลักษณะพิเศษคือการหายใจเสียงวีซ (wheeze) ซึ่งโรคนี้มีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคหอบหืดในอนาคต
อาการ
ไข้
ไอ
หอบ อกบุ๋ม มีเสียงหวีซ (wheeze)
แพทย์ตรวจร่างกาย ฟังปอด ได้ยินเสียง wheeze
ปลายมือปลายเท้าเขียว หรือปากเขียว(ในรายที่อาการรุนแรง)
การรักษา
Oxygen support ในรายที่มีภาวะพร่อง oxygen < 95%
ยาขยายหลอดลม เช่น nebulized salbutamol
ยาลดการบวมของหลอดลม nebulized epinephrine ให้พิจารณาเป็นรายๆไป ไม่แนะนำให้ใช้ในทุกเคส
ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ
เด็กที่มีภาวะ เสียงหวีดที่เกิดร่วมกับการติดเชื้อไวรัส (Viral induced wheeze) ซ้ำตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป ควรได้รับการติดตามการรักษาระยะยาว
เป็นซ้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป ภายใน 1 ปี และเคยเป็นรุนแรง หรือต้องพ่นยาขยายหลอดลมทุก 1 – 2 เดือน แนะนำให้เริ่มการรักษาแบบโรคหอบหืด
Pneumonia
หากพูดถึงปอดอักเสบหรือปอดบวม คนทั่วไปย่อมตระหนักถึงอันตรายและความรุนแรงของโรคนี้ โดยเฉพาะหากเกิดกับเด็กๆ ย่อมนำมาซึ่งความกังวลใจและทุกข์ใจของคุณพ่อคุณแม่อย่างมาก โรคนี้นับว่าพบบ่อยในประชากรเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า1ปี เด็กที่มีความพิการแต่กำเนิด คลอดก่อนกำหนด
อาการของโรคปอดอักเสบ
เด็กที่เป็นโรคนี้ จะมีอาการไข้ ไอมีเสมหะ อาจพบหายใจเหนื่อยหอบ หรือหายใจลำบาก มีปีกจมูกบาน ขณะหายใจมีชายโครง หรือหน้าอกบุ๋ม ปากเขียว หายใจดัง หรือเจ็บหน้าอก
การวินิจฉัย
จากอาการและอาการแสดงข้างต้น กุมารแพทย์ตรวจร่างกายอาจพบเสียงผิดปกติในปอด ซึ่งแพทย์อาจพิจารณาส่งตรวจรังสีวินิจฉัยเพื่อดูรอยโรคและความรุนแรงของโรคเพิ่ม รวมถึงการตรวจเลือด และตรวจเสมหะเพื่อหาเชื้อสาเหตุร่วมด้วย
การรักษา
1.ดื่มน้ำมากๆ หากทานไม่ได้หายใจหอบมากควรให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ และงดการรับประทานเพื่อป้องกันการสำลัก
2.ให้ออกซิเจน หากเหนื่อยมาก มีอาการปากเขียว หรือมีออกซิเจนในเลือดต่ำ
3.หากมีภาวะหลอดลมตีบ หายใจมีเสียงวี๊ดให้ยาขยายหลอดลม อาจทางการพ่นละอองฝอยหรือรับประทาน
4.ยาละลายเสมหะ กรณีเสมหะเหนียว ทานน้ำได้น้อย ในเด็กไม่ควรได้รับยากดการไอ เพราะอาจทำให้เสมหะไปคั่งในปอดมากขึ้นได้
5.ควรได้รับการบำบัดรักษาที่เหมาะสมโดยทำกายภาพทรวงอก เช่น เคาะปอด
Croup syndrome
เป็นโรคติดเชื้อไวรัสบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนที่พบมากในเด็ก และมักเกิดในช่วงปลายฝนต้นหนาว ผู้ป่วยจะหายใจติดขัดและไอแบบมีเสียงก้อง อาการของโรคเกิดจากการบวมของกล่องเสียงและหลอดลม โดยโรค Croup มักไม่ทำให้เกิดภาวะที่รุนแรง และผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถพักรักษาตัวได้ที่บ้าน
อาการของโรค
ไอแบบมีเสียงก้องหรือคล้ายเสียงเห่า ซึ่งจะเกิดเมื่อมีการอักเสบและไอมากขึ้น และมักมีอาการในเวลากลางคืน
หายใจเสียงดัง หายใจลำบาก
เสียงแหบ
มีผื่นขึ้น
ตาแดง
ต่อมน้ำเหลืองบวม
สาเหตุ
มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสพาราอินฟลูเอนซา (Parainfluenza) โดยเด็กอาจติดเชื้อจากการหายใจสูดเอาละอองที่มีเชื้อไวรัสเข้าไป หรือจากการสัมผัสกับของเล่นเด็กและพื้นผิวของวัตถุต่าง ๆ
การป้อง
ล้างมือให้สะอาด และล้างมือบ่อย ๆ
ระวังไม่ให้เด็กอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
ใช้ทิชชู่ปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม ทิ้งทิชชู่ที่ใช้แล้วทันที แล้วรีบไปล้างมือ
พาบุตรหลานไปฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เพราะสามารถป้องกันเชื้อบางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรค Croup ได้
Asthma
เป็นโรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากหลอดลมของผู้ป่วยตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้นมากกว่าภาวะปกติ ทำให้หลอดลมหดเกร็งและบวม เนื่องจากการอักเสบ ผู้ป่วยจะไอ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หายใจมีเสียงดังวี๊ดๆ การหอบอาจเกิดขึ้นเป็นๆ หายๆ และเรื้อรัง
สาเหตุ
กรรมพันธุ์ พบว่าถ้าผู้ป่วยมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว โอกาสที่จะเป็นโรคจะมีมากขึ้น
สิ่งกระตุ้นต่างๆ โดยการหายใจเข้าไป อาหาร หรือ ยาที่รับประทาน เช่น ฝุ่น, ตัวไรฝุ่น, เกสรดอกไม้ หญ้า, ควันบุหรี่, น้ำมันรถ สารเคมี, มลพิษในอากาศ, เชื้ัอราในอากาศ ,ขนและรังแคสัตว์ เช่น สุนัข แมว, อาหาร เช่น ไข่ นม อาหารทะเล
การออกกำลังกายมากๆ
การติดเชื้อทางระบบหายใจ
การเปลี่ยนแปลงของอากาศ
อาการและอาการแสดง
หายใจลำบาก มีเสียงวี๊ดออกจากปอด
เหนื่อยหอบ
แน่นหน้าอก
ไอ มีเสมหะมาก โดยเฉพาะเวลาออกกำลังกาย หรือ เวลากลางคืน
ข้อควรปฏิบัติเมื่อมีอาการหอบ
หายใจเข้าอย่างปกติ และหายใจออกทางปากโดยค่อยๆเป่าลมออกจากปอดทีละน้อยให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้และขณะหายใจออก
ดื่มน้ำอุ่นๆมากๆ
ถ้ามีอาการหอบช่วงที่กำลังวิ่งเล่น หรือ มีอาการเหนื่อยให้หยุดพักทันที
พ่นยา หรือ กินยาแก้หอบตามแพทย์สั่ง ถ้ามียาขยายหลอดลมแบบพ่นชนิดออกฤทธิ์เร็ว
1.3 การส่งเสริมประสิทธิภาพการหายใจในเด็ก
การทำ
กายภาพบำบัดทรวงอก
ข้อบ่งชี้ในการทำกายภาพบำบัดทรวงอก
มีเสมหะเหนียวข้นหรือมีปริมาณมาก เช่น pneumonia, lung abscess , bronchiectasis
ใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นเวลานาน นอนบนเตียงนานๆ เช่น เด็กที่เป็นสมองพิการ อัมพาต
มีภาวะปอดแฟบ (atelectasis) เนื่องจากเสมหะอุดกั้นทางเดินหายใจ
พิการแต่กำเนิด เช่น ไส้เลื่อนกะบังลม
หลังถอดท่อช่วยหายใจใหม่ๆ เพื่อป้องกันปอดแฟบ
ทารกแรกเกิดหรือเด็กเล็กที่มีเสมหะ ไม่สามารถไอเอาเสมหะออกเองได้
ทารกที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง (bronchopulmonary dysplasia), สูดสำลักน้ำคร่ำ (meconium aspiration)
ข้อห้ามในการจัดท่าระบายเสมหะ
มีอากาศคั่งในช่องเยื่อหุ้มปอด (tension pneumothorax) ยังไม่ได้รักษา
เลือดออกในปอดหรือไอเป็นเลือด (hemoptysis)
โรคทางหัวใจและหลอดเลือดที่ยังไม่รักษา เช่น ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
ผ่าตัดเชื่อมต่อหลอดอาหาร หลังผ่าตัดหัวใจ หัวใจ สมอง และผู้มีความดันในกะโหลกศีรษะสูง
Pulmonary edema, congestive heart failure, large pleural effusion (น้ำคั่งในช่องเยื่อหุ้มปอดที่เป็นบริเวณกว้าง)
Acute asthma หรือหายใจลำบากรุนแรง
มีภาวะไหลย้อนของของเหลวจากกระเพาะอาหารไปสู่หลอดอาหาร (gastroesophageal reflux disease: GERD)
ทารกแรกเกิดที่มีภาวะความดันในปอดสูง (persistent pulmonary hypertension of newborn: PPHN) ที่เกิดอาการหายใจลำบากรุนแรง
ข้อควรระวังในการเคาะหรือสั่นทรวงอก
ไม่เคาะหรือสั่นทรวงอกในทารกหรือเด็กที่กระดูกซี่โครงหัก เลือดออกในปอด/ไอเป็นเลือด มีแผลเปิดที่ผนังทรวงอกหรือใส่ท่อระบายจากทรวงอก
ขณะไอไม่ควรทำการเคาะปอด นอกจากไม่ได้ผลแล้วยังรบกวนการไอ ทำให้ไอไม่ได้ผล
หลีกเลี่ยงการเคาะบริเวณท้อง หลังด้านล่าง กระดูกสันหลัง หัวไหล่ ต้นคอ และทรวงอกเด็กหญิงที่เริ่มเป็นสาว
ระหว่างทำควรประเมินการหายใจร่วมกับ SaO2 หากมีภาวะหายใจลำบากมากขึ้น หรือ SaO2ลดลงอย่างรวดเร็ว
1.4 การพยาบาลเด็กป่วยที่ได้รับออกซิเจน
ภาวะหายใจลําบากในทารกแรกเกิดมีสาเหตุที่พบบ่อย สาเหตุจากทางเดินหายใจ เช่น กล่มอาการหายใจลำบาก ภาวะขาดออกซิเจนในระยะปริกําเนิด ภาวะสูดสําลักน้ําคร่ํา เป็นต้น ส่วนสาเหตุนอกทางเดินหายใจเช่นอุณหภูมิกายต่ําหรือสูง น้ําตาลในเลือดต่ําโดยทารก จะแสดงอาการหายใจลําบาก ซึ่งอาการเหล่าน้นจะเกิดขึ้นเร ั ็วอาจพบทันทีหลังเกิดหรือภายใน 6 ชั่วโมงหลังเกิด โดยจะมีอาการและอาการแสดงดังนี้หายใจเร็วและอกบ๋มุ เสียงร้องคราง ขณะหายใจออก (Expiratory grunting) . อาการเขียว เมื่อหายใจในอากาศธรรมดา จมูก บาน (Nasal Flaring) เป็นต้น การดําเนินการของโรคจะรุนแรงที่สุดเมื่อทารกอายุระหว่าง 48 – 72 ชั่วโมงทารกบางรายอาจมีอาการรุนแรงมากในช่วงอายุน้อยกว่า 12 ชั่วโมงก็ได้ ต่อจากน้นั อาการก็จะค่อย ๆดีขึ้น ทารกที่มีอาการรุนแรงมากอาจะถึงแก่กรรมภายในวันแรกได้ ออกซิเจนเป็นสิ่งจําเป็นที่ต้องให้แก่ทารกที่กล่มนี้ท ุ ุกรายโดยให้ออกซิเจนที่อุ่นและ ชื้น อาจให้ผ่านต้อบู กล่องออกซิเจน (oxygen box) nasal catheter หรือทางเครื่องช่วยหายใจ หลีกเลี่ยงการใช้ออกซิเจนความเข้มข้นสูงเกิน เพื่อป้องกันพิษของออกซิเจนต่อปอดและจอตา การดูแลให้ทารกได้รับออกซิเจนเพียงพอเป็นวัตถุประสงค์สําคัญ การดูแลให้ออกซิเจนตาม แผนการรักษา ควรให้เพียงไม่ให้ทารกมีอาการเขียว โดยมี oxygen saturation ไม่น้อยกว่า 88% ในทารกเกิดก่อนกําหนด และไม่น้อยกว่า 90 % ในทารกเกิดครบกําหนด
1.5 การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการป้องกันและการดูแลเด็กที่มี
ปัญหาระบบทางเดินหายใจที่บ้าน
หมั่นล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ เช่น ก่อนรับประทานอาหาร เป็นต้น
หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ติดเชื้อ เช่น ผู้ที่เป็นไข้หวัดหรือปอดอักเสบ โดยเฉพาะเด็กที่คลอดก่อนกำหนด และทารกในช่วงอายุ 1-2 เดือน
ไม่ควรใช้แก้วน้ำร่วมกันและหลีกเลี่ยงใช้แก้วน้ำที่ผู้ป่วยใช้แล้ว
ไม่ควรใช้มือที่ไม่สะอาดมาป้ายจมูกหรือตา
ทำความสะอาดของเล่นเด็กเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังพบว่าเด็กที่ป่วยมาสัมผัสหรือเล่นของเล่นนั้นๆ
สำหรับผู้ป่วย หากมีอาการป่วยควรหยุดพัก และปิดปาก จมูก เมื่อไอหรือจาม
ทำความสะอาดบ้านอยู่เสมอ
ดื่มน้ำมากๆ เพราะน้ำทำให้สารคัดหลั่ง เช่น เสมหะหรือน้ำมูก ไม่เหนียวจนเกินไป และไม่ไปขัดขวางการทำงานของระบบทางเดินทางหายใจ