Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
มโนทัศน์ของความผิดปกติทางสุขภาพจิตและจิตเวช - Coggle Diagram
มโนทัศน์ของความผิดปกติทางสุขภาพจิตและจิตเวช
แนวคิดการเกิดโรคทางจิตเวชและปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคทางจิตเวช
แนวคิดการเกิดโรคทางจิตเวช
Case formulation
ปัจจัย 4 ประการ (4 P’s)
ปัจจัยเสี่ยง (predisposing factors)
สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม หรือสิ่งที่แฝงอยู่ในตัว
บุคคล ที่น่าจะนําไปสู่การเกิดความผิดปกติของโรคทางจิตเวชก่อนที่จะปรากฏความผิดปกติของจิตเวชขึ้น
พันธุกรรม
ภาวะโภชนาการ
การเลี้ยงดู
ประการณ์การเจ็บป่วยทางกาย
ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ (precipitating factors)
สถานการณ์
สิ่งแวดล้อมภายนอก
ที่ทําให้บุคคลเริ่มปรากฏความผิดปกติของโรคทางจิตเวชขึ้น
การใช้สารเสพติด
การนอนที่หลับเปลี่ยนแปลง
การสอบตก
การมีหนี้สิน
ปัจจัยที่ทําให้อาการคงอยู่ (perpetuating factors)
สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม ความเชื่อทัศนคติหรือพฤติกรรมของบุคคที่ทําให้อาการความผิดปกติของโรคทางจิตเวชที่เกิดขึ้นยังไม่หายไปหรือไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร
การไม่ได้รับการรักษา
การไม่รับประทานยาต่อเนื่อง
รู้สึกผิดในเรื่องที่ตนเองทําผิด
การไม่ยอมรับความเจ็บป่วย
ปัจจัยปกป้อง (protective factors)
สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม ความเชื่อทัศนคติหรือ
พฤติกรรมของบุคคลที่ช่วยให้ปรับตัวต่อสถานการณ์ หรือสิ่งแวดล้อม ที่มีผลต่ออาการความผิดปกติของโรคทางจิตเวช
ที่มีไม่ให้รุนแรงหรือช่วยให้ความผิดปกตินั้นหายคืนสู่สภาพปกติ
มีงานทํา
ครอบครัวมีสัมพันธภาพที่ดีห่วงใยดูแล
ซึ่งกันและกัน
การมีความสามารถในการแก้ไขปัญหา
มีสิทธิหรือสวัสดิการในการรักษาสุขภาพ
การมีแหล่งสนับสนุน
ทางสังคมที่ช่วยเหลือเมื่อประสบปัญหา
stress diathesis model
มีพันธุกรรมที่เป็นความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรค เเต่ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้เลยเพราะมันต้องขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย นั้นก็คือ "สิ่งแวดล้อมรอบตัว แปรผกผันกับ ความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรค"
ปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคทางจิตเวช
ปัจจัยทางกายหรือชีวภาพ (biological factors)
การทําหน้าที่ผิดปกติของสารสื่อประสาท (neurotransmitter)
ความผิดปกติของโครงสร้างและการทํางานของสมอง
พันธุกรรม (genetics)
ความผิดปกติที่มีมาแต่กําเนิด (congenital abnormal)
อาจเกิดตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ ทำให้การพัฒนาการเติบโตบกพร่องอาจะเกิดจากมารดามีการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
ความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย (hormonal factor)
มีความผิดปกติจากการทํางาน
ของต่อมไร้ท่อ ทําให้มีการผลิตฮอร์โมนมากหรือน้อยเกินไป
การสะสมของสารพิษภายในร่างกาย (toxic substance alcoholism)
ความเจ็บป่วยหรือโรคทางสมอง เช่น สมองอักเสบ, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ, ชิฟิลิสขึ้นสมอง
ปัจจัยทางด้านจิตใจ (psychological factors) สาเหตุเกิดจากปัจจัยภายในของคนที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตหรือโรคทางจิต
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์
ปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการทํางานของโครงสร้างบุคลิกภาพที่ไม่สมดุลกัน หากมีegoเข้มแข็งจะช่วยเผชิญหน้ากับปัญหาได้อย่างสมเหตุสมผล
ทฤษฎีกลุ่มมนุษยนิยม
ปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุจากความไม่รู้ไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริงของตนเอง ขาดความตระหนักรู้หรือยอมรับตนเองและสิ่งแวดล้อมตาม
ความเป็นจริง ไม่สามารถตัดสินใจเลือกเส้นทางให้กับตนเองได้ และยังพบว่่าการอบรมเลี้ยงดูบางลักษณะทำให้ขาดอิสระ ในการเลือกวิถีชีวิตของตัวเองอย่างเหมาะสม ทฤษฎีกลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้มีศักยภาพในตัวเองสามารถที่จะเผชิญปัญหาต่างๆได้ด้วยตนเอง หากเขา
ได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องตามความเป็นจริง
ทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม
ปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากประสบการณ์ของมนุษย์ที่ผ่านการเรียนรู้การตอบสนองต่อสิ่งเร้าในสภาวะสิ่งแวดล้อมต่างๆในช่วง
ชีวิตที่ผ่านมา
ทฤษฎีกลุ่มปัญญานิยม
ปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุจากความคิด ความเชื่อที่ผิดปกติหรือไม่สมเหตุสมผลขอมนุษย์ทําให้มนุษย์มีข้อจํากัด และบีบคั้นตนเอง
ตัดสินพฤติกรรมในภาพรวม ไม่คํานึงถึงข้อมูลที่เป็นจริง จึงทําให้ชีวิตไม่มีความสุขและเกิดปัญหาสุขภาพจิตได้ในที่สุด
ปัจจัยทางด้านสังคม (social factors)
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เช่น บริเวณที่ตั้งที่อยู๋อาศัย
ความสัมพันธ์ในครอบครัว ครอบครัวที่อบอุ่นจะมีควารู้สึกมั่นคงและปลอดภัย
ลักษณะการอบรมเลี้ยงดู
การอบรมเลี้ยงดูแบบเผด็จการ (authoritarian)
ทําให้เด็กจะขาดความใกล้ชิดกับผู้ปกครอง ไม่กล้าโต้แยัง ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง บางครั้งดื้อเงียบ และก้าวร้าว โดยพ่อแม่จะเป็นผู้ออกคําสั่งให้ลูกปฏิบัติตาม เมื่อลูกทําผิดก็จะลงโทษทันที
การอบรมเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย (rejection)
ทําให้เด็กขาดโอกาส และขาดที่พึ่ง
ในการเผชิญชีวิตเด็กอาจรู้สึกขาดความรักความอบอุ่นส่งผลให้เด็กขาดระเบียบวินัย เอาแต่ใจตนเอง ดื้อและไม่เชื่อฟัง
การอบรมเลี้ยงดูแบบทนุถนอมมากเกินไป (overprotection)
ทําให้เด็กเอาแต่ใจตนเอง ไม่อดทนต่อความยากลําบาก ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าตัดสินใจ ต้องคอยพึ่งผู้อื่นโดยไม่จําเป็น และมีปัญหาในการปรับตัวในที่สุด
การอบรมเลี้ยงดูแบบประชาธิปไตย (democracy)
จะทําให้เด็กมีความสามารถในการปรับตัวได้ดีโดยพ่อและแม่จะเลี้ยงดูแบบใช้เหตุผล ฝึกให้เด็กมีส่วนร่วมในทํากิจกรรมของครอบครัว
ปัจจัยทางจิตวิญญาณ (spiritual factors)
ปรัชญาชีวิต (philosophy of life) เป็นแนวคิดที่สําคัญในดําเนินชีวิต เป็นการให้ความหมายแก่สิ่งที่สําคัญในชีวิต สะท้อนออกมาให้เห็นได้ในพฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์เช่น การตั้งเป้าหมายชีวิต มุมมองต่อชีวิตและต่อโลกใบนี้ การให้คุณค่าในตนเอง
สิ่งที่นับถือหรือที่พึ่งทางใจ (concept of deity) ได้แก่ ศาสนา หรือสิ่งที่บุคคลเลื่อมใสศรัทธา ซึ่งเป็นสิ่งที่คอยเอาไว้ยึดเนี่ยวจิตใจ
อาการวิทยาและเกณฑ์การจําแนกโรคทางจิตเวช
อาการแสดง (signs) คือ สิ่งที่ผู้ตรวจได้จากการสังเกตและทําการตรวจ เช่น การแสดงออกทางสี
หน้าที่จํากัด (restricted affect) การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเชื่องช้า (psychomotor retardation)
อาการ (symptoms) คือ ประสบการณ์ที่ผู้ป่วยได้รับ ซึ่งจะถูกบอกเล่าโดยผู้ป่วยเอง ได้แก่ มีอารมณ์
เศร้า รู้สึกหมดเรี่ยวแรง
กลุ่มอาการ (syndrome) คือ อาการและอาการแสดงหลาย ๆ อย่างที่พบร่วมกัน แล้วถูกเรียกด้วย
ชื่อเฉพาะกลุ่มอาการ กลุ่มอาการหนึ่ง ๆ อาจพบได้ในหลายโรค ดังนั้นกลุ่มอาการจึงมีความจําเพาะน้อยกว่าคําว่าโรค
โรคทางจิตเวช (psychiatric disorder หรือ mental disorder) หมายถึง กลุ่มอาการและแสดงที่เป็นความผิดปกติของพุทธิปัญญา (cognition) การควบคุมอารมณ์ (mood) หรือพฤติกรรม (behavior) ที่อาการสะท้อนถึงความผิดปกติทางจิต (psychological) ทางชีววิทยา (biological) หรือกระบวนการทางพัฒนาการ(developmental process) ซึ่งส่งผลให้การทําหน้าที่ทางจิตมีความบกพร่อง
กลุ่มของอาการและอาการแสดงทางจิตเวช
ความผิดปกติของความรู้สึกตัว (disturbance of consciousness)
ความผิดปกติของระดับความรู้สึกตัว (disturbanceof level of consciousness) ที่เกิดจากสมองมีพยาธิสภาพ
ความผิดปกติของการคงความใส่ใจ (disturbance of attention) ความพยายามในการรวมความสนใจไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของประสบการณ์ ณ เวลานั้น ๆ ความผิดปกติของความ
ใส่ใจ
ความผิดปกติของการถูกชักจูง (disturbance of suggestibility) การ
ยินยอมปฏิบัติตามความคิด ความเชื่อ ทัศนคติอย่างใดอย่างหนึ่ง
ความผิดปกติของพฤติกรรมการเคลื่อนไหว (disturbanceof motor behavior)
abulia การไม่มีเจตจํานง (amotivation) ไม่คิดริเริ่ม ไม่ทําอะไร และไม่คํานึงถึงผลที่เกิดมักเกิด จากการมีพยาธิสภาพของระบบประสาท อาจพบได้ในกลุ่มโรคจิตหรือโรคซึมเศร้า
acting out เป็นการกระทําอย่างวู่วาม เป็นการตอบสนองต่อแรงขับจากจิตไร้สํานึกหรือความตึงเครียดภายใน เมื่อกระทําแล้วช่วยให้จิตใจสบายขึ้นเพราะได้มีโอกาสแสดงปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ในปัจจุบัน
aggression คือ การเคลื่อนไหวด้วยความก้าวร้าว ซึ่งมักเกิดร่วมกับอารมณ์โกรธ ต่อต้าน พบได้บ่อยในโรคทางระบบประสาทและโรคทางจิตเวชในกลุ่มโรคทางอารมณ์และโรคจิต
automatism การเคลื่อนไหวที่เป็นไปตามจิตไร้สํานึก (unconscious system) และเป็นสัญลักษณ์ (symbolism) ของบางสิ่งบางอย่างในระดับจิตไร้สํานึก สามารถพบได้ใน complex partial seizure
catatonia คือ การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอาจจะเกิดจากโรคทางจิตเวชหรือโรคทางสมองก็ได้ อาการผิดปกติของการเคลื่อนไหวแบบ catatonia ประกอบไปด้วยหลายอาการ
การหยุดนิ่งในท่าใดท่าหนึ่งที่ขัดกับแรงโน้มถ่วงเป็นเวลานาน
มีการเคลื่อนไหวมากแบบควบคุมตนเองไม่ได้+กระสับกระส่าย เคลื่อนไหวแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย
มีการเคลื่อนไหวน้อยจนหยุดนิ่ง ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรอบๆข้างเลย
การจงใจที่จะทำตัวอยู่นิ่งเฉยจงใจที่จะไ่ให้ตัวเองเคลื่อนไหว
การอยู่ท่าทางแปลกๆต้านกับแรงโน้มถ่วงเป็นเวลานาน
การที่ค้างอยู่ในท่าที่จัดไว้ โดยมีแรงต้านเมื่อถูก
จัดท่าโดยผู้ตรวจ เหมือนหุ่นชี้ผึ้งที่ถูกปั้น
ความผิดปกติของการพูด(disturbance of speech)
cluttering พูดเป็นจังหวะติด ๆ ขัด ๆ มีช่วงที่พูดเร็วและกระตุกไปกระตุกมา
dysarthria ความผิดปกติในการเปล่งเสียงพูด โดยไม่ผิดหลักไวยกรณ์
dysprosody การพูดแบบไม่มีเสียงขึ้นลงตามลักษณะปกติของการพูด
nonspontaneous speech การพูดเฉพาะเวลาถูกถามหรือถูกพูดด้วยโดยตรง ไม่เริ่มพูดเองก่อน
poverty of speech การพูดมีปริมาณคําน้อยมาก อาจตอบคําถามด้วยคําพยางค์เดียว
poverty of content of speech การพูดมีเนื้อความน้อยแม้ปริมาณคําในการพูดเพียงพอ อาจเกิดจากพูดคลุมเครือ พูดไม่มีสาระหรือพูดแบบซ้ํา ๆ
pressure of speech พูดมาก พูดเร็ว และเร่งขึ้นเรื่อย ๆ และมักพบว่าพูดเสียงดังด้วย
stuttering คือ พูดติดอ่าง เป็นการพูดซ้ําเสียงเดิม ซ้ําคําเดิม ทําเสียงยานคางหรืออึกอักอยู่นานกว่าจะพูด ทําให้การพูดไม่ลื่นไหล
volubility หรือ logorrhea พูดมากแบบควบคุมไม่ได้
ความผิดปกติของอารมณ์ (disturbance of emotion) สามารถแบ่ง emotion ได้เป็นสองส่วน คือ
อารมณ์ที่แสดงออก (affect) และ อารมณ์ (mood)
ความผิดปกติของอารมณ์ที่แสดงออก (disturbance of affect) affect คือสภาวะอารมณ์ที่ปรากฏให้ผู้อื่นสังเกตได้
appropriate affect การแสดงออกของอารมณ์เข้าได้กับเนื้อหาความคิดและลักษณะการพูดเป็นการแสดงออกทางอามณ์ที่สมเหตุสมผล หรือสอดคล้องกับเหตุการณ์ในขณะนั้น
blunted affect ความเข้มข้นของอารมณ์ที่แสดงออกลดลงอย่างมาก
flat affect ไม่มีหรือเกือบจะไม่มีการแสดงออกของอารมณ์ ใบหน้านิ่งเฉยและพูดด้วยน้ําเสียงราบเรียบ
inappropriate affect การแสดงออกของอารมณ์ที่ไม่สอดคล้องกับความคิดและคําพูดในชณะนั้น
labile affect อารมณ์ที่แสดงออกเปลี่ยนแปลงง่ายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยไม่สอดคล้องกับสิ่งกระตุ้นภายนอก
restricted affect หรือ constricted affect ความเข้มข้น (intensity) ของอารมณ์ที่แสดงออกลดลง กล่าวคือ มีการแสดงออกทางอารมณ์อย่างจํากัด
ความผิดปกติของอารมณ์ (disturbance of mood) คือ สภาวะอารมณที่คงอยู่นาน เป็นประสบการณ์ภายในเฉพาะตัวที่มีผลต่อการรับรู้และพฤติกรรมของบุคคลนั้น
alexithymia มีความยากลําบากหรือไม่สามารถบรรยายสภาพอารมณ์ของตนเองพบภาวะนี้ในผู้ป่วยที่มีอารมณ์เศร้า ใช้สารเสพติด หรือมี post-
traumatic stress disorder
ambivalence อารมณ์สองฝักสองฝ่าย มีอารมณ์ตรงข้ามกันในเวลาเดียวกัน ตัวคนเดียวกัน
anhedonia ไม่สนใจและถอนตัวจากกิจกรรมตามปกติที่เคยทําให้มี
ความสุข มักเกิดร่วมกับอารมณ์เศร้า
anxiety อารมณ์วิตกกังวล
apathy อารมณ์เฉยชา ไม่มีชีวิตชีวา
depression อารมณ์เศร้า
dysphoric mood อารมณ์ไม่พึงพอใจ
ecstasy ปลาบปลื้มปิติสุขอย่างเหลือล้น
elevated mood เบิกบานร่าเริงและมั่นใจมากกว่าปกติ
euphoria ปลื้มปิติยินดีร่วมกับมีความรู้สึกฮึกเหิม (grandeur) หรือเคลิ้มสุขด้วย
euthymic mood อารมณ์เป็นปกติไม่เศร้าหรือร่าเริงจนเกินไป
expansive mood มีการแสดงออกของอารมณ์อย่างเต็มที่ ร่วมกับมีการประเมินความสําคัญของตนเองสูงเกินไปด้วย
fear สภาวะทางอารมณ์ที่ตอบสนองต่ออันตรายที่มาคุกคาม
grief หรือ mounding อารมณ์เศร้าที่เกิดจากสูญเสีย
guilt รู้สึกผิด แบบโทษตัวเอง
mood swing อารมณ์ขึ้นๆลงๆเหมือคนจะหมดประจำเดือน
ความผิดปกติของความคิด (disturbance of thinking)
ความผิดปกติโดยรวมของความคิด (general disturbance in form or process of thinking)
autistic thinking ความคิดหมกมุ่นอยู่กับโลกภายในหรือโลกส่วนตัว จนไม่สนโลกความเป็นจริง หลงตัวเอง
illogical thinking การคิดแบบไม่มีหลักตรรกศาสตร์ หรือคิดแบบไม่สมเหตุสมผล
reality testing คือ ความสามารถในการประเมิน (evaluation) และพิจารณา (judgment) สิ่งต่าง ๆ ตามที่เป็นจริง
ความผิดปกติของกระบวนการคิด (disturbances in form of thought)
circumstantiality ความคิดอ้อมค้อมและมีรายละเอียดมากแต่ยังกลับเข้าสู่ประเด็นได้
clang association ความคิดเชื่อมโยงกันด้วยคําพ้องเสียง เล่นคําหรือใส่ทํานองแต่ไม่ได้เชื่อมโยงกันด้วยเนื้อความ
flight of ideas ความคิดเปลี่ยนจากประเด็นหนึ่งไปอีกประเด็นหนึ่งอย่างรวดเร็วแต่ผู้ฟังสามารถเข้าใจได้เนื่องจากเนื้อความมีความเชื่อมโยงกัน
incoherence ความคิดสะเปะสะปะ ไม่สามารถทําความเข้าใจได้ เนื่องจากความคิดไม่ได้เชื่อมโยงกันด้วยเนื้อหาหรือไวยากรณ์
loosening of association หรือ derailment คิดออกนอกประเด็นและเนื้อหาความคิดไม่เชื่อมโยงกัน
neologism ความคิดเกิดจากการผสมคําหรือวลีขึ้นใหม่ที่ผู้ฟังไม่สามารถเข้าใจได้
ความผิดปกติของเนื้อหาความคิด (disturbance of content of thought)
delusion อาการหลงผิด
bizarre delusion เนื้อหาของความหลงผิดมีลักษณะเหลวไหล แปลกประหลาด เช่น มนุษย์ต่างดาวไปผังชิปไว้ในสมองของผู้ป่วย
delusionof control เนื้อหาของความหลงผิดว่าตนเองถูกควบคุมความตั้งใจ (will) ความคิด(thought) หรือความรู้สึก (feeing) ซึ่งถูกกระทําจากจากอิทธิพลภายนอก
delusion of self-accusation หลงผิดว่าตนเองกระทําความผิด ทําให้รู้สึกเสียใจและสํานึกผิดอย่างมากโดยไม่สมเหตุสผล
delusion of persecution หลงผิดว่าถูกปองร้าย ถูกรังควาน ฉ้อฉล หลอกลวง รบกวนหรือถูกกลั่นแกล้ง
delusion of grandeur หลงผิดว่าตนเองเก่ง มีความสําคัญ มีอํานาจ
delusion of reference หลงผิดว่าพฤติกรรมของคนอื่นมีความหมายพาดพิงถึงตนเองและมักป็นการพาดพิงไปทางลบ
somatic delusion หลงผิดว่าการทําหน้าที่ของร่างกายไม่ดี
systematized delusion เนื้อหาของความหลงผิดเป็นเรื่องเป็นราวของเหตุการณ์เดียวหรือมีแก่นเรื่องเดียวกัน
obsession การย้ำคิด คือ ความคิดที่เกิดขึ้นซ้ำทั้งที่รู้ว่าไม่มีอะไรเเต่ก็ยังคิดเเบบเดิม
overvalued idea ความเชื่อที่บุคคลนั้นให้คํานิยมหรือให้ความสําคัญมาก
phobia การกลัวที่ผิดธรรมดา คือ กลัวบางสิ่งบางอย่างหรือสถานการณ์เฉพาะบางอย่างซึ่งเป็นความกลัวอย่างไม่มีเหตุผลและกลัวมากเกินไป
poverty of content ความคิดที่มีเนื้อหาความคิดน้อยแม้จะมีปริมาณความคิดมาก เพราะความคิดนั้นคลุมเครือหรือคิดซ้ํา ๆ
ความผิดปกติของการรับรู้สัมผัส (disturbance of perception)
การรับรู้ผิดปกติแบบประสาทหลอน (hallucination) เป็นการรับรู้ที่เกิดขึ้นเองไม่มีสิ่งเร้าอาจมีการหลงผิด
auditory hallucination หูแว่ว
gustatory hallucination รับรสผิดเพี้ยน
olfactory hallucination ได้กลิ่นผิดเพี้ยนแปลกๆ
tactile หรือ haptic hallucination เช่นรู้สึกว่ายังขยับนิ้วได้ทั้งที่ไม่มีนิ้วแล้ว
visual hallucination เห็นภาพหลอน
การรับรู้ผิดปกติแบบประสาทลวง (illusion) คือ การรับรู้ที่บิดเบือนไปจากสิ่งที่มากระตุ้นจริง
การรับรู้ผิดปกติที่เป็นปรากฎการณ์ conversion และ dissociation เป็นการรับรู้ผิดปกติที่อาจเกิดจากกลไกทางจิต ซึ่งแปรสิ่งที่เก็บกดอยู่ในจิตไร้สํานึกให้เป็นอาการทางร่างกาย
ความผิดปกติของการรับรู้ที่เกิดความผิดปกติของพุทธิปัญญา(cognition) คือ อาการที่ไม่สามารถจําได้ (recognize) หรือไม่สามารถแปลการรับรู้ (interpretation) สิ่งที่มากระตุ้นได้
ความผิดปกติของความจํา (disturbance of memory)
amnesia สูญเสียความจํา
anterograde amnesia สูญเสียความจําของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากจุดที่เริ่มต้นสูญเสียความจํา
retrograde amnesia สูญเสียความจําของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจุดที่เริ่มต้นสูญเสียความจํา
paramnesia คือ ความจําเป็นเท็จเนื่องจากมีการบิดเบือนในกระบวนการระลึก
retrospective falsification การบิดเบือนความจําของเหตุการณ์ในอดีต
confabulation การที่บุคคลต่อเติมความจําที่ลืมไปด้วยเหตุการณ์ที่ไม่เป็นจริงหรือจินตนาการของบุคคลนั้นเอง
de ja vu อาการประสาทลวงว่าเคยประสบเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
jamais vu อาการจําสถานการณ์ที่เคยประสบมาแล้วว่า เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยพบมาก่อน
เกณฑ์การจําแนกโรคทางจิตเวช
International Classification of Disease and Related Health Problem 10 th Revision (ICD 10) นี้เป็นระบบที่ใช้ป็นทางการทั่วโลก เป็นการจัดระบบจําแนกโดยอาศัยสาเหตุของโรค และการดําเนินโรค โดยใช้ระบบตัวอักษรร่วมกับตัวเลขตั้งแต่ A00 -Z99 โดยความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรม(mental and behavioral disorders) จะเริ่มที่ F00-F99
Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorder 5 th edition (DSM V) เป็นการจําแนกโรคโดยอาศัยอาการและอาการแสดงเป็นหลัก โดยการประเมินผู้ป่วยในหลายด้านแบ่งออกเป็น 5 แกน 3 แกนแรกเป็นการวินิจฉัยโรคที่เป็นทางการ ส่วน 2 แกนหลังเป็นข้อมูลส่วนที่เพิ่มเติมใช้ในการรักษาและพยากรณ์โรค
สิทธิของผู้ป่วย กฎหมาย จริยธรรมในการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช
-เพื่อปกป้องคุ้มครอง ส่งเสริมและปรับปรุงคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตของประชาชน -เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยธรรมชนของผู้ที่มีความผิดปกติทางจิต -เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากผู้ป่วยจิตเวช
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551
"ความผิดปกติทางจิต" หมายความว่า อาการผิดปกติของจิตใจที่แสดงออกมาทางพฤติกรรม อารมณ์ ความคิด ความจํา สติปัญญา ประสาทการรับรู้ หรือการรู้เวลา สถานที่ หรือบุคคล รวมทั้งอาการผิดปกติของจิตใจที่เกิดจากสุราหรือสารอื่นที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
"ผู้ป่วย" หมายความว่า บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตซึ่งควรได้รับการบําบัดรักษา
"ผู้ป่วยคดี" หมายความว่า ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการสอบสวน ไต่สวนมูกฟ้อง หรือพิจารณาในคดีอาญา ซึ่งพนักงานสอบสวนหรือศาลสั่งให้ได้รับการตรวจหรือบําบัดรักษา รวมทั้งผู้ป่วยที่ศาลมีคําสั่งให้ได้รับการบําบัดรักษาภายหลังมีคําพิพากษาในคดีอาญาด้วย
"ภาวะอันตราย" หมายความว่า พฤติกรรมที่บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตแสดงออกโดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของตนเองหรือผู้อื่น
“ความจําเป็นต้องได้รับการบําบัดรักษา" หมายความว่า สภาวะของผู้ป่วยซึ่งขาดความสามารถในการ ตัดสินใจให้ความยินยอมรับการบําบัดรักษาและต้องได้รับการบําบัดรักษาโดยเร็วเพื่อป้องกันหรือบรรเทามิให้ความ ผิดปกติทางจิตทวีความรุนแรงหรือเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยหรือบุคคลอื่น
"คุมขัง" หมายความว่า การจํากัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลด้วยอํานาจของกฎหมายโดยการคุมตัว ควบคุม กัก กักกัน ขัง กักขัง จําขังและจําคุก
มาตรา 12 สถานบําบัดรักษาแต่ละแห่งให้มีคณะกรรมการสถานบําบัดรักษา ซึ่งแต่งตั้งโดยอธิบดีประกอบด้วย จิตแพทย์ประจําสถานบําบัดรักษา1 คน เป็นประธานกรรมการ แพทย์1 คน พยาบาลจิตเวช1 คน นักกฎหมาย 1 คน และนักจิตวิทยาคลินิกหรือนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์1 คนเป็นกรรมการ
มาตรา 13 คณะกรรมการสถาบําบัดรักษามีอํานาจหน้าที่ตรวจวินิจฉัย ประเมินอาการ และมีคําสั่งให้บุคคลนั้นต้องเข้ารับการบําบัดรักษาในสถานบําบัดรักษาให้บุคคลนั้นต้องรับการบําบัดรักษา ณ. สถานที่อื่นนอกจากสถานบําบัดรักษาเมื่อบุคคลนั้นไม่มีภาวะอันตราย และ พิจารณา ทําความเห็นเกี่ยวกับการบําบัดรักษาและผลการบําบัดรักษาตามพระราชบัญญัติ
มาตรา 15
ได้รับการบําบัดรักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์ โดยคํานึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการบําบัดรักษาไว้เป็นความลับ เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้เปิดเผยได้
ได้รับการคุ้มครองจากการวิจัยกระทําได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ป่วยและต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการที่ดําเนินการเกี่ยวกับจริยธรรมการวิจัยในคนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ได้รับการคุ้มครองในระบบประกันสุขภาพและประกันสังคม และระบบอื่น ๆของรัฐอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม
มาตรา 16 ห้ามมิให้ผู้ใดเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วย ในประการที่น่าจะทําให้เกิดความเสียหายแก่
ผู้ป่วย
เว้นเเต่!ในกรณีที่อาจเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยหรือผู้อื่น
เว้นเเต่!มีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผย
เว้นเเต่!เพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน
มาตรา 17 การบําบัดรักษาโดยการผูกมัดร่างกาย การกักบริเวณ หรือแยกผู้ป่วย จะกระทําไม่ได้ เว้นแต่เป็นความจําเป็น เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยเอง บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่น โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของผู้บําบัดรักษาตามมาตราฐานวิชาชีพ
มาตรา 18 การรักษาทางจิตเวชด้วยไฟฟ้า การกระทําต่อสมองหรือระบบประสาท หรือการบําบัดรักษาด้วยวิธีอื่นใดที่อาจเป็นผลทําให้ร่างกายไม่อาจกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างถาวร
กรณีผู้ป่วยให้ความยินยอมเป็นหนังสือเพื่อการบําบัดรักษานั้น
กรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือมีความจําเป็นอย่างยิ่งเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วย
มาตรา 19 การทําหมันผู้ป่วยจะกระทําไม่ได้เว้นแต่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 18 ผู้ป่วยให้ความยินยอมเป็นหนังสือโดยผู้ป่วยได้รับทราบเหตุผลความจําเป็น ความเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายร้ายแรง หรืออาจเป็นผลทําให้ไม่สามารถแก้ไขให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาพเดิมและประโยชน์ของการบําบัดรักษา
มาตรา 20 การวิจัยใด ๆที่กระทําต่อผู้ป่วยจะกระทําได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ป่วยและต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการที่ดําเนินการเกี่ยวกับจริยธรรมการวิจัยในคนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจะกระทําได้ต่อเมื่อผู้ป่วยได้รับการอธิบายเหตุผลความจําเป็นในการบําบัดรักษารายละเอียดและประโยชน์ของการบําบัดรักษาและได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย ซึ่งความยินยอมผู้ป่วยจะเพิกถอนเสียเมื่อใดก็ได้
มาตรา 21 การบําบัดรักษาจะกระทําได้ต่อเมื่อผู้ป่วยได้รับการอธิบายเหตุผล ความจําเป็นในการบําบัดรักษา รายละเอียด และประโยชน์ของการบําบัดรักษา และได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยต้องทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อผู้ป่วยเป็นสําคัญ
มาตรา 22 บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้เป็นบุคคลที่ต้องได้รับการบําบัดรักษา
บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตและมีภาวะอันตราย
ผู้ป่วยขาดความสามารถในการตัดสินใจให้ความยินยอมรับการบําบัดรักษา
จําเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเร็วเพื่อป้องกันหรือบรรเทามิให้ความผิดปกติทางจิตทวีความรุนแรงหรือเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผู้อื่น
มาตรา 23 ผู้ใดพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์อันน่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีลักษณะบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตตามมาตรา 22 ให้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจโดยไม่ชักช้า
มาตรา 24 เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตํารวจได้รับแจ้งตามมาตรา 23 หรือพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์อันน่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีลักษณะบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตตามมาตรา 22 ให้ดําเนินการนําตัวบุคคลนั้นไปยังสถาพยาบาลของรัฐ หรือสถานบําบัดรักษาซึ่งอยู่ไกลโดยไม่ชักช้า
มาตรา 27 ให้แพทย์อย่างน้อยหนึ่งคนและพยาบาลอย่างน้อยหนึ่งคน ที่ประจําสถานพยาบาลของรัฐหรือ
สถานบําบัดรักษา ตรวจวินิจฉัย และประเมินอาการเบื้องต้นของบุคคลที่มีการนําส่ง