Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (OPERANT CONDITIONING THEORY) - Coggle…
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ
(OPERANT CONDITIONING THEORY)
Burrhus Skinner นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน
เป็นผู้คิดทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning theory
หรือ Instrumental Conditioning หรือ Type-R. Conditioning) เขามีความคิดว่าทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคนั้น จำกัดอยู่กับพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนน้อยของมนุษย์ พฤติกรรมส่วนใหญ่แล้วมนุษย์จะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติเอง ไม่ใช่เกิดจากการจับคู่ระหว่างสิ่งเร้าใหม่กับสิ่งเร้าเก่าตามการ
พฤติกรรม
ประกอบด้วย 3 ปัจจัย
พฤติกรรม(Behavior)
ผลที่ได้รับ(Consequence)
สิ่งที่ก่อให้เกิดขึ้นก่อน(Antecedent)
นำมาใช้ในการปรับพฤติกรรม
ไม่พึงประสงค์ให้เป็นพฤติกรรม
ที่พึงประสงค์ โดยนำการเสริมแรงเข้ามาช่วยในการปรับพฤติกรรม
การเสริมแรงแบ่งออก
เป็น 2 ลักษณะ
การเสริมแรงทางบวก เป็นการเสริมแรงที่มีผลทำให้พฤติกรรมที่ได้รับการเสริมแรงนั้นมีความถี่เพิ่มขึ้น
การเสริมแรงทางลบ เป็นการเสริมแรงที่ทำให้ความถี่ของพฤติกรรมลดลง
การวิเคราะห์การใช้ทฤษฎีจากงานวิจัย
ชื่อเรื่องวิจัย
ผลของการใช้แรงเสริมทางบวกที่ส่งผลต่อการเพิ่มพฤติกรรมความรับผิดชอบการส่งงานของนักศึกษา
(The effect of using positive reinforcement to increase responsible behavior of undergraduate student)
การดำเนินการวิจัย
ระยะดำเนินการทดลอง
แบ่งเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 ระยะเส้นฐานพฤติกรรม (Baseline phase)
เป็นระยะที่ผู้สอนมอบหมายงานให้กลุ่มตัวอย่างตามปกติ โดยไม่มีการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนนผู้วิจัยเก็บข้อมูลรายละเอียดการส่งงานของนักศึกษาจำนวน 2 ครั้ง และบันทึกรายละเอียดการส่งงานลงแบบบันทึกพฤติกรรมการส่งงาน ผู้สอนตรวจให้คะแนนคุณภาพของงาน
ระยะที่ 2 ระยะการทดลองให้การเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนน
(Treatment phase)
ระยะที่3 ระยะติดตามผล (Follow up) ผู้สอนประกาศแจ้งให้นักศึกษารับทราบว่างานชิ้นต่อไปไม่มีการให้คะแนนพฤติกรรมการส่งงานซึ่งเป็นการยุติการเสริมแรงทางบวกด้วยคะแนน และกลับไปใช้กระบวนการเช่นเดียวกันกับระยะเส้นฐานอีกครั้งหนึ่ง และบันทึกรายละเอียดการส่งงานลงแบบบันทึกพฤติกรรมการส่งงาน และบันทึกคะแนนพฤติกรรมการส่งงาน ลงแบบบันทึกคะแนนงาน
ระยะหลังการทดลอง
ผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้จากแบบบันทึกพฤติกรรมการส่งงาน และแบบบันทึกคะแนนงาน มาวิเคราะห์
ข้อมูล
ระยะก่อนการทดลอง
ผู้สอนให้โจทย์ > นักศึกษาทำโจทย์ > นักศึกษาส่งงาน > ผู้ตรวจงานจากเอกสารต้นฉบับให้คะเเนนคุณภาพงาน > ผู้วิจัยตรวจงานทางอีเมล(เวลาส่งงาน เเละการปฏิบัติตามคำสั่ง) > ผู้วิจัยบันทึกข้อมูล
ผลการวิจัยพบว่า แรงเสริมทางบวกมีประสิทธิภาพในการเพิ่มพฤติกรรมความรับผิดชอบในการส่งงาน ของนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง ซึ่งจะเห็นได้ว่า เมื่อผู้วิจัยเพิ่มแรงเสริมทางบวกด้วยคะแนน กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยของ คะแนนพฤติกรรมความรับผิดชอบในการส่งงานสูงขึ้น โดยมีค่าเฉลี่ยของจำนวนนักศึกษาที่มีความรับผิดชอบใน การส่งงานสูงขึ้น และมีค่าเฉลี่ยของจำนวนนักศึกษาที่ส่งงานล่าช้า และไม่ส่งงานน้อยลง และมีค่าเฉลี่ยของจำนวนนักศึกษาที่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ระบุในโจทย์สูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับระยะเส้นฐานพฤติกรรม ซึ่งสอดคล้องกับหลายงานวิจัยที่กล่าวว่าแรงเสริมทางบวกมีประสิทธิภาพในการเพิ่มและคงอยู่ของพฤติกรรมความรับผิดชอบ
เอกสารอ้างอิง
วรัฐา นพพรเจริญกุล เเละสุจิตรา อดุลย์เกษม. (2561). ผล
การใช้แรงเสริมทางบวกที่ส่งผลต่อการเพิ่มพฤติกรรม
ความรับผิดชอบการส่งงานของนักศึกษา. สืบค้นเมื่อ
28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564, จาก
https://www.tci-thaijo.org/index.php/Veridian-E-Journal/article/download/118966/91132/
การประยุกต์ใช้จากทฤษฎี
ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการเสริมเเรงทางบวกโดยการให้คะเเนนตามคุณภาพของงาน เพื่อจูงใจให้นักศึกษามีพฤติกรรมการส่งงานมากขึ้น โดยการเเจ้งนักศึกษาว่างานที่มอบหมายจะมีการให้คะเเนนตามคุณภาพของงาน ซึ่งการที่จะให้บุคคลมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือมีพฤติกรรมนั้น ๆ เพิ่มขึ้นจะต้องให้สิ่งที่บุคคลรู้สึกพอใจ เมื่อบุคคลพอใจต่อสิ่งที่มาเสริมเเรงก็จะทำให้บุคคลมีเเนวโน้มทีจะปฏิบัติพฤติกรรมนั้น ๆเพิ่มขึ้น
เรียกย่อๆ ว่า A-B-C ซึ่งทั้ง 3 จะดำเนินต่อเนื่องไป ผลที่ได้รับจะกลับกลายเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดขึ้นก่อนอันนำไปสู่การเกิดพฤติกรรมและนำไปสู่ผลที่ได้รับตามลำดับ