Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ยาในระบบภมิูคุ้มกันของร่างกาย, นางสาวกัณนิภา นักร้อง รหัสนักศึกษา…
ยาในระบบภมิูคุ้มกันของร่างกาย
ระบบภูมิคุ้มกันพื้นฐานของร่างกาย
ประกอบด้วย
ระบบภูมิคุ้มกันแต่กําเนิด (Innate immunity)
คือระบบภูมิคุ้มกันที่พร้อมใช้งานได้ทันที แต่จะมีความจำเพาะเจาะจงต่ำ
ตอบสนองแบบทันที
ไม่มีการปรับตัว
ไม่มีการจดจํา
Monocyte, Macrophage, Eosinophil, NK
cell
ระบบภูมิคุ้มกันชนิดรับมา (Adaptive immunity)
จะเกิดขึ้นเมื่อสัมผัสกับสิ่งแปลกปลอมอย่างเฉพาะเจาะจง จะมีความจำเพาะเจาะจงที่สูงกว่า ระบบInnate immunity
ประกอบด้วย
Humoral immune response (HIR)
Cell mediate immune response (CMIR)
ตอบสนองช้ากว่า
มีการปรับตัวเพื่อให้ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม
อย่างมีประสิทธิภาพ
มีการจดจําหลังจากทําลายสิ่งแปลกปลอมไปแล้ว
T-Cell, B-Cell, Antibody
สารปรับภูมิคุ้มกันร่างกาย (Immunomodulators)
คือ ยา หรือ สารเคมีบางอย่างที่เข้าสู่ร่างกายแล้วมีผลกระตุ้น (stimulation) หรือยับยั้ง (suppression) ภูมิคุ้มกันของร่างกาย
Immunostimulation
เป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายด้วยการใส่สารบางอย่างเข้าไป เช่น การฉีดวัคซีน การให้ immunoglobulin
Immunosuppression
เป็นการลดการทํางานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายหรือกดภูมิคุ้มกันไว้ด้วยการให้สารหรือยาเข้าไปในร่างกาย เช่น การใช้ในกรณีป้องกันการปฏิเสธอวัยวะใหม่ในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ ใช้ในการรักษาโรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตัวเอง เช่น SLE rheumatoid
หลักการพื้นฐานของระบบภูมิคุ้มกันการปลูกถ่ายอวัยวะ
Cross-matching (การตรวจความเข้ากันได้)
มีการตรวจอยู่ 2 อย่าง
ABO matching (การตรวจความเข้ากันได้ของหมู่เลือด)
HLA matching (การตรวจความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อ)
•HLA เป็นตําแหน่งของยีนบนโครโมโซมคู่ที่6 แบ่งย่อยๆออกเป็น Class I และ Class II และในแต่ละ Class จะแบ่งย่อยออกเป็นแต่ละ subtype
•Subtype A B และ DR จะมีความสําคัญต่อการปลูกถ่ายอวัยวะ
Kidney transplantation
ประเภทของผู้บริจาค
ผู้บริจาคที่มีชีวิต Living Donor
ผู้บริจาคสมองตาย Cadaveric Donor (Deceased Donor)
การปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้บริจาคไปยังผู้รับบริจาคที่มีลักษณะทางพันธุกรรมแตกต่างกันจะทําให้เกิดการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายของผู้รับต่ออวัยวะใหม่ที่ทําการปลูกถ่าย
การกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันจะกระตุ้นทั้ง T-Cell และ B-Cell ในร่างกายของผู้รับ
ยากดภูมิที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่ออกฤทธิ์ต่อ T-Cell
ยากดภูมิคุ้มกันสําหรับผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ
เป้าหมายการให้ยากดภูมิคุ้มกัน
ป้องกันการเกิดภาวะต่อต้านอวัยวะ (acute rejection)
เพิ่มอัตราการรอดของอวัยวะ (graft survival)
เพิ่มอัตราการรอดของผู้ป่วย (patient survival)
เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้น
แบ่งออกเป็นการให้ยา 2 ระยะ หลักๆ ได้แก่
Induction Phase
ให้กรณีผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดภาวะปฏิเสธอวัยวะ (High risk for rejection)
-ปลูกถ่ายอวัยวะซ้ำ (Re-transplantation)
-ผู้ป่วยเชื้อสาย African American
-ผู้ป่วยเด็ก
-ผู้ป่วยที่มีความผันแปรของระบบภูมิคุ้มกันสูง เช่น HLA mismatch, ได้รับเลือกมาก่อน
ยากดภูมิกันในระยะ induction ได้แก่
Polyclonal antibodies; Antithymocyte globulin
Monoclonal antibodies
Maintenance Phase
มียาอยู่ 4 กลุ่มหลักๆ ได้แก่
1.Calcineurin inhibitors (CNIs)
ยาไซโคลสปอรีน (Cyclosporine)
ชื่อการค้า นีโอรัล (Neoral®)
วิธีการรับประทานยา
– รับประทานเวลาเดิมทุกวัน ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง วันละ 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง
– การรับประทานยาพร้อมอาหารจะลดปริมาณการดูดซึมยาและทําให้การดูดซึมยาช้าลง
– ยาไซโคลสปอรีนมีโอกาสเกิด Drug interaction ได้สูง เนื่องจากยาถถูกเปลี่ยนแปลง ผ่าน CYP3A4 จึงต้องระวังการให้ร่วมกับยาอื่น
รูปแบบยา
– SANDIMMUNE เป็นยาในรูปแบบ soft gelatin capsule มีค่าการดูดซึมประมาณ 20 – 50 เปอร์เซ็นต์ จึงพัฒนามาเป็น NEORAL เป็นยาในรูปแบบ modified microemulsion ซึ่งให้มีการดูดซึมที่ดีขึ้นและสม่ำเสมอ
อาการข้างเคียง
มีขนขึ้นมากกว่าปกติ
เหงือกบวม หรือมีเลือดออกตามไรฟัน
มือสั่น
ความดันโลหิต หรือระดับไขมันในเลือดสูงขึ้น
มีพิษต่อไต
การจัดการ
แจ้งให้แพทย์ทราบ
รักษาความสะอาดในช่องปากเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ควรใช้แปรงสีฟันชนิดขนแปรงอ่อน และใช้ไหมขัดฟัน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
แจ้งให้แพทย์ทราบหากมือสั่นมากจนรบกวนการทํากิจวัตรประจําวัน
รับการติดตามอย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคําแนะนําอย่างเคร่งครัด
ทานน้ำวันละ 2-3 ลิตร และรับการติดตามสม่ำเสมอ
ยาทาโครลิมัส (Tacrolimus หรือ FK 506)
ชื่อการค้า โปรกราฟ (Prograf®) , แอดวากราฟ (Advagraf® )
วิธีการรับประทานยา
Prograf รับประทานเวลาเดิมทุกวัน ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง วันละ 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง
Advagraf รับประทานเวลาเดิมทุกวัน ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง วันละ 1 ครั้ง
การรับประทานยาพร้อมอาหารจะลดปริมาณการดูดซึมยาและทําให้การดูดซึมยาช้าลง
ยาทาโครลิมัสมีโอกาสเกิด Drug interaction ได้สูง เนื่องจากยาถูกเปลี่ยนแปลงผ่าน CYP3A4 ระวังการให้ร่วมกับยาอื่น
อาการข้างเคียง
มือสั่น
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
ความดันโลหิตสูงขึ้น
ผมร่วง
พิษต่อไต
การจัดการ
แจ้งให้แพทย์ทราบหากมือสั่นมากจนรบกวนการทํากิจวัตรประจําวัน
รับการติดตามอย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคําแนะนําอย่างเคร่งครัด
ทานน้ำวันละ 2-3 ลิตร และรับการติดตามสม่ำเสมอ
2.Antiproliferative agents
ยามายโคฟีโนลิค แอซิด (MMF/EC-MPS)
ชื่อการค้า Cellcept® , Myfortic®
ขนาดรับประทานยาและวิธีรับประทานยา
– ขนาดยาโดยเฉลี่ยในคนไทยประมาณ 1.5 กรัมต่อวัน โดยแบ่งให้วันละ 2 ครั้ง
– แต่หากผู้ป่วยเกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียมาก สามารถแบ่งให้วันละ 3 ถึง 4 ครั้งได้
อาการข้างเคียง
• กดการทํางานของไขกระดูก ทําให้เม็ดเลือดขาวลดลง เกิดการติดเชื้อง่าย และยังทำให้เม็ดเลือดแดงลดลงได้ ทำให้ซีด อ่อนเพลีย และเหนื่อยง่ายกว่าปกติ
• ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง
การจัดการ
รักษาสุขภาพอนามัยและสังเกตอาการแสดงเบื้องต้นของการติดเชื้อ ภาวะซีด แล้วแจ้งให้แพทย์ทราบ แพทย์จะเป็นผู้ตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ
แพทย์อาจลดขนาดยา หรือแบ่งการรับประทานยาเป็นมื้อย่อยตามความเหมาะสม
3.Mamalian target of rapamycin
inhibitors (mTOR inhibitors)
ยาซัยโรลิมัส (Sirolimus)
ชื่อการค้า ราพามูน (Rapamune®)
ข้อบ่งใช้
– ใช้ในผู้ป่วยที่มีความเสี6ยงสูงหรือเกิด CNI-induced Nephrotoxicity
วิธีการรับประทาน
รับประทานตรงเวลาทุกวัน วันละ 1 ครั้ง (ค่าครึ่งชีวิต 62 ชั่วโมง)
หลีกเลี่ยงการรับประทานยาร่วมกับนม ยาลดกรด และยาเสริมธาตุเหล็ก เพราะทําให้การดูดซึมของยาเข้าสู่ร่างกายลดลง
อาการข้างเคียง
แผลในปาก, แผลหายช้า
ระดับไขมันในเลือดสูงขึ้น ลดการสร้างเกร็ดเลือด
ยาเอเวอโรลิมัส (Everolimus)
ชื่อการค้า เซอร์ติแคน (Certican®)
วิธีการรับประทาน
รับประทานตรงเวลาทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง
อาการข้างเคียง
ผื่น
แผลในปาก แผลหายช้า
ระดับไขมันในเลือดสูงขึ้น
4.Corticosteroids
• Methylprednisolone (Solumedrol®)
• Prednisolone
การให้ยา
จะให้ในรูปแบบยาฉีด methylprednisolone ประมาณ 3 วัน หลังจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นรูปแบบยาเม็ด prednisolone และค่อยๆลดขนาดยาลง
ข้อควรระวัง
แนะนําให้รับประทานหลังอาหารทันทีและดื่มน้ําตามมากๆเพื่อลดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร หรือให้คู่กับยาลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร เช่น Omeprazole
ปัญหาจากการใช้ยาที่พบบ่อยในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ
ปัญหาความร่วมมือในการรับประทานยา (Compliance problem)
ความไม่ร่วมมือในการรับประทานยา เป็นปัจจัยหนึ่งที่สําคัญต่อการเกิดปฏิเสธอวัยวะ (อัตราความไม่ร่วมมือในการรับประทานยาอยู่ที่ 28 – 52 เปอร์เซ็นต์)
ผู้ป่วยไม่ทราบถึงความสําคัญ และข้อบ่งชี้ของยากดภูมิคุ้มกัน
ปัญหาด้านการเงิน
ไม่รับประทานยา หรือไม่เห็นความสําคัญของยาที่มีผลเพิ่มระดับยาในเลือด
ยาที่ใช้บ่อยในการเพิ่มระดับยากดภูมิคุ้มกัน ได้แก่
Diltiazem (kidney transplantation)
Fluconazole (liver transplantation)
การเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (Adverse drug reaction)
การเกิดอันตรกิริยาระหว่างยา (Drug interaction)
การเกิดอันตรกิริยาทางเภสัชจลนศาสตร์(Pharmacokinetic interaction)
ได้แก่
– การดูดซึมยา (Absorption)*
– การกระจายยา (Distribution)
– การเปลี่ยนแปลงยา (Metabolism)*
– การขจัดยาออกจากร่างกาย (Excretion)
การเกิดอันตรกิริยาทางเภสัชพลศาสตร์ (Pharmacodynamic interaction)
• ยาที่มีผลเพิ่มการเกิดพิษต่อไตกับยากลุ่ม Calcineurin inhibitors เช่น Amphotericin B, Aminoglycosides, NSAIDs
ยาที่มีผลต้านฤทธิ์ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น Vitamin C, Echinacea
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
Transplantation ward
Discharge Counseling
Post Transplant Clinic (OPD)
นางสาวกัณนิภา นักร้อง รหัสนักศึกษา 6301110801001 Sec 1