Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
มะเร็ง, image, image, image, image, image, image - Coggle Diagram
มะเร็ง
การรักษาด้วยเคมีบำบัด
มีเป้าหมายหลัก
การรักษา (Cure) เพื่อให้หายขาดหรือปลอด
จากโรค 5-10 ปี
การควบคุมโรค (Control) ในกรณีที่เซลล์มะเร็ง
มีการแพร่กระจายของโรคและไม่สามารถรักษาได้
การประคับประคอง (Palliative care)
ผลของยาเคมีบำบัดต่อเซลล์
ยาเคมีบำบัดจึงมีผลทั้งต่อเซลล์มะเร็งและเซลล์ปกติ
รูปแบบการใช้ยาเคมีบำบัด
Adjuvant chemotherapy หมายถึง การให้ยา
เคมีบำบัดตามหลังวิธีการรักษาอื่นๆ
Neoadjuvant chemotherapy หมายถึง การให้ยา
เคมีบำบัดก่อนการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ
Concurrent treatment หมายถึง การให้ยา
เคมีบำบัดพร้อมกับการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือรังสี
Salvage chemotherapy หมายถึง การให้ยา
เคมีบำบัดเมื่อมีการกลับเป็นซ้ำของรอยโรค
Palliative chemotherapy หมายถึง การให้ยา
เคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งในระยะที่มีการเเพร่กระจายเเล้ว
หลักการบริหารยาชนิดรับประทาน
ล้างมือก่อนและหลังการบริหารยา สวมถุงมือชนิด
ไม่มีแป้งที่สามารถป้องกันการซึม
ยาเม็ดเคมีบำบัดที่ต้องแบ่งครึ่ง ต้องหักแบ่งในถุง
พลาสติกที่ปิดสนิท
กรณีที่ต้องบดยาเม็ดเคมีบำบัดให้เป็นผง หรือแกะ
ยาออกจากแคปซูลเพื่อให้ยาทางสายยาง
เก็บยาแยกจากยาอื่น
การกินยาต่อเนื่องที่บ้าน
ต้องเก็บยาแยกจากยาอื่น ล้างมือให้สะอาดก่อน
และหลังรับประทานยา เน้นย้ำการรับประทานยา
การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ยาในกลุ่มนี้ไม่ควรเป็นยาที่ทำให้เกิดเนื้อตาย
ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องไม่มีภาวะเลือดออกง่ายหรือ
เกร็ดเลือดต่ำ
การฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ
วิธีนี้ช่วยให้ยาสามารถกระจายไปทั่วร่างกาย
ได้รวดเร็ว
หลักการบริหารยาเข้าทางหลอดเลือดดำ
เลือกเข็มพลาสติกที่มีความยืดหยุ่นขนาดเบอร์
ที่เล็กที่สุด
เลือกหลอดเลือดที่มีขนาดใหญ่ เรียบตรง
หลีกเลี่ยงการแทงหลอดเลือดดำบริเวณข้อต่างๆ
ควรเปิดหลอดเลือด แล้วฉีดยาเคมีบำบัดช้าๆ หลังจากนั้นให้ปล่อยสารน้ำทางหลอดเลือด
ดำโดยเร็ว
ภาวะแทรกซ้อน
การกดไขกระดูก เกิดภาวะเกร็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือด
ขาวและเม็ดเลือดแดงลดน้อยลง อาการอ่อนเพลีย
เลือดออกง่ายและติดเชื้อ
พิษต่อทางเดินอาหาร
ผมร่วง (alopecia)
พิษต่อระบบประสาท
พิษต่อผิวหนัง
Extravasation
เป็นผลจากการให้ยาเคมีบำบัดทางหลอดเลือด
ดำที่มีการรั่วซึมออกจากหลอดเลือดไปสู่เนื้อเยื่อ
พิษต่อระบบทางเดินปัสสาวะ
พิษอื่นๆ เช่น พิษต่อหัวใจ
การดูแลก่อนให้เคมีบำบัด
เป็นการแจ้งผลการวินิจฉัยแก่ผู้ป่วยหรือ
ญาติใกล้ชิด เพื่อให้ผู้ป่วยทราบถึงแนวทางการรักษา
ประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับจากการรักษา รวมทั้งผลดีและผลเสีย
การพยาบาลขณะได้รับยาเคมีบำบัด
การบริหารยาเคมีบำบัดต้องทำอย่างระมัดระวัง
เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
ตรวจสอบความถูกต้องของชนิด ขนาด
วิธีบริหารยาเคมีบำบัดให้ตรงกับคำสั่งการรักษา
จัดเตรียมยาฉุกเฉินและอุปกรณ์จำเป็นที่
พร้อมใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีการแพ้ยา
จัดเตรียม spill kit สำหรับกำจัดขยะเคมีบำบัด
ผู้บริหารยาควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันสาร
เคมี เช่น ถุงมือ แว่นตา ผ้าปิดปากและจมูก เสื้อกาวน์
2.5 ตรวจสอบคำสั่งการรักษา ชื่อ-นามสกุลผู้
ป่วย H.N. ชื่อยา ขนาด จำนวน วิธีการบริหารยา
เลือกเส้นเลือดที่เหมาะแก่การให้ยา พร้อม
เข็มที่ใช้อย่างเหมาะสม
บริหารยาเคมีบำบัดตามขั้นตอน โดยใช้หลัก
ปราศจากเชื้อ
แนะนำผู้ป่วยให้ระมัดระวังการเคลื่อนไหว
บริเวณที่แทงเข็ม
เฝ้าสังเกตอาการผิดปกติในช่วง 15 นาทีแรก
หยุดให้ยาเคมีบำบัดทันที แต่ไม่ต้องดึงเข็ม
รายงานแพทย์
ใช้ปากกาเมจิกเขียนตำแหน่งรอยผิวหนังที่
เกิดการรั่วของยา
สวมถุงมือแบบ Nitrile Gloves ใช้ syringe
3มล.หรือ 5 มล. ต่อเข้ากับ IV catheter ที่ให้ยาเคมี
ดูดเลือดหรือยาเคมีบำบัดส่วนที่รั่วซึมออก
ดึงเข็มที่ให้ยาเคมีบำบัดออก และห้ามกด/คลึง
ทายาบริเวณผิวหนังที่เกิดการรั่วซึม
ยกอวัยวะส่วนที่ยาเคมีบำบัดรั่วซึมให้สูง
กว่าระดับหัวใจ
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง
บริเวณที่เกิดการรั่วซึมของยาเป็นระยะๆ
บันทึก วัน เวลา ชนิด ขนาดของยาเคมี
บำบัดที่ให้ รวมทั้งวิธีการให้ ปริมาณยาที่รั่วซึมโดยประมาณ บันทึกตำแหน่ง และความกว้างที่เกิด และการรักษาพยาบาลเมื่อเกิดการรั่วซึมของยา
ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยในเรื่องการ
ประเมิน อาการผิดปกติของผิวหนังที่อาจเกิด
การพยาบาลภายหลังได้รับยาเคมีบำบัด
วางแผนจำหน่ายผู้ป่วย
ทบทวนข้อมูลและความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับการ
ปฏิบัติตัวตั้งแต่ก่อนรักษา
ผลข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัด
คลื่นไส้และอาเจียน
ผมร่วง
อาการเจ็บปากหรือเจ็บคอ
ท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืด
ไม่อยากอาหาร
น้ำหนักลด
อาการที่ควรระวังหลังการให้เคมีบำบัด
บริเวณแขนข้างที่ได้รับยาเคมีบำบัด มีอาการบวม
แดง แสบ หรือดำคล้ำ
มีแผลหรือมีเชื้อราในช่องปากและลำคอ
มีอาการคลื่นไส้อาเจียนรุนแรง
ปัสสาวะมีเลือดปน เจ็บเวลาปัสสาวะ
ระยะโรคมะเร็ง
ระยะที่ 1 : ก้อนเนื้อ/แผลมะเร็งมีขนาดเล็ก
ยังไม่ลุกลาม
ระยะที่ 2 : ก้อน/แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่ม
ลุกลามภายในเนื้อเยื่อ/อวัยวะ
ระยะที่ 3 : ก้อน/แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่ม
ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียง และลุกลาม
ระยะที่ 4 : ก้อน/แผลมะเร็งขนาดโตมาก และ/
หรือ ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียง จนทะลุ
เข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ก้อนมะเร็ง
TNM คือ ระบบในการพิจารณาว่ามะเร็งอยู่ในขั้นไหน หรือ Staging
โดยจะพิจารณาร่วมกันใน 3 ปัจจัยได้แก่
TX ไม่สามารถประเมินขนาดของก้อนมะเร็งได้
T1 ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของก้อน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 ซ.ม.
โดย T1 สามารถแบ่งย่อยได้เป็น
T1mic - อาศัยกล้องจุลทัศน์เห็นขนาดก้อนเล็กกว่า 0.1 ซ.ม.
หรือเรียกว่ามี Microinvasion
T1a - ขนาดก้อน > 0.1 ซ.ม. แต่ <= 0.5 ซ.ม.
T1b - ขนาดของก้อน > 0.5 ซ.ม. แต่ <= 1 ซ.ม.
T1c - ขนาดของก้อน > 1 ซ.ม.
T2 ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของก้อนมากกว่า 2 ซ.ม.
แต่ไม่มากกว่า 5 ซ.ม.
T3 ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของก้อนมากกว่า 5 ซ.ม.
T4 ขนาดของก้อนขยายไปจนถึง ผนังหน้าอก หรือผิวหนัง
หรือทำให้เกิดการอักเสบจนเห็นผิวหนังที่มีก้อนอยู่เกิดการอักเสบ
บวม แดง โดยสามารถแบ่งย่อยได้เป็น
T4a - ก้อนขยายไปยังผนังทรวงอก
T4b - ก้อนขยายไปยังผิวหนังบริเวณทรวงอก
T4c - ก้อนขยายไปทั้งผนังทรวงอกและผิวหนัง
T4d - มะเร็งที่มีการอักเสบ โดยผิวหนังที่เหนือก้อนมะเร็ง
มีการอักเสบ บวม แดง ร้อน และปวดเมื่อเวลาไปสัมผัส
NX ต่อมน้ำเหลืองไม่สามารถประเมินได้ ยกตัวอย่างกรณี
ที่ได้ทำการผ่าตัด เอาต่อมน้ำเหลืองออกไปก่อนหน้านั้น
N0 = ไม่มีเซลมะเร็งในต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง
N1 = พบเซลมะเร็งเฉพาะที่รักแร้ แต่ไม่พบที่ตำแหน่งอื่นๆ
N2 = พบเซลมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองใต้กระดูกซี่โครง หรือถ้า
ที่รักแร้จะเป็นแบบติดแน่นกับอวัยวะอื่นด้วย แบ่งย่อยได้เป็น
N2a - พบเซลมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ที่ติดแน่นกับอวัยวะอื่น
N2b - พบเซลมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ข้างใต้กระดูกซี่โครง
N3 พบเซลมะเร็งของต่อมน้ำเหลืองที่อยู่เหนือหรือใต้กระดูก
ไหปลาร้า หรือพบได้ทั้งต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้
N3a - พบเซลมะเร็งของต่อมน้ำเหลืองที่ใต้กระดูกไหปลาร้า
(collarbone)
N3b - พบเซลมะเร็งของต่อมน้ำเหลืองทั้งที่รักแร้และใต้กระดูกซี่โครง
N3c - พบเซลมะเร็งของต่อมน้ำเหลืองที่เหนือกระดูกไหปลาร้า (collarbone)
Mx = ไม่สามารถประเมินการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆได้
M0 = ไม่มีหลักฐานของการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ
M1 = มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ นอกเหนือจากเต้านมหรือ
ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้
การรักษามะเร็ง
การรักษา (Cure) เพื่อให้หายขาดหรือปลอด
จากโรค 5-10 ปี
การควบคุมโรค (Control) ในกรณีที่เซลล์มะเร็ง
มีการแพร่กระจายของโรคและไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
การประคับประคอง (Palliative care) ในกรณีที่
เซลล์มะเร็งมีการแพร่กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว
การผ่าตัด เป็นการเอาก้อนที่เป็นมะเร็งออกไป
รังสีรักษา เป็นการให้รังสีกำลังสูง เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
เคมีบำบัด เป็นการให้ยา (สารเคมี) เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
ฮอร์โมนบำบัด เป็นการใช้ฮอร์โมน เพื่อยุติการเจริญ
เติบโตของเซลล์มะเร็ง
การรักษาแบบผสมผสาน เป็นการรักษาร่วมกัน
หลายวิธีดังกล่าวข้างต้น แต่จะใช้วิธีใดนั้นขึ้นอยุ่กับ
ระยะและความรุนแรงของโรค
สาเหตุจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย
สารเคมีบางชนิด เช่น สารเคมีในควันบุหรี่
และเขม่ารถยนต์
รังสีต่างๆ รวมทั้งรังสีอุลตร้าไวโอเลตในแสงแดด
การติดเชื้อเรื้อรัง
พยาธิ เช่น พยาธิใบไม้ตับ มีความสัมพันธ์กับ
มะเร็งท่อน้ำดีในตับ
สาเหตุภายในร่างกาย
กรรมพันธ์ที่ผิดปกติ
ความไม่สมดุลทางฮอร์โมน
ภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง
การระคายเคืองที่เกิดซ้ำๆ เป็นเวลานาน
ภาวะทุพโภชนาการ เป็นต้น
อาการ
แต่เป็นอาการเช่นเดียวกับการอักเสบของเนื้อเยื่อ มักเป็นอาการที่แย่ลงเรื่อยๆ และเรื้อรัง
มีก้อนเนื้อโตเร็ว หรือ มีแผลเรื้อรัง ไม่หาย
ภายใน 1 – 2 สัปดาห์
มีต่อมน้ำเหลืองโต คลำได้ มักจะแข็ง ไม่เจ็บ
ไฝ ปาน หูด ที่โตเร็วผิดปกติ หรือ เป็นแผลแตก
หายใจ หรือ มีกลิ่นปากรุนแรงจากที่ไม่เคยเป็น
มาก่อน
เลือดกำเดาออกเรื้อรัง มักออกเพียงข้างเดียว
ไอเรื้อรัง หรือ ไอเป็นเลือด
ปัสสาวะบ่อย ขัดลำกล้อง ปัสสาวะเล็ด
มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ
ปวดศีรษะรุนแรงเรื้อรัง หรือ แขน/ขาอ่อนแรง
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น
การตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ
และเสมหะ
การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
การตรวจทางรังสี
การตรวจโดยใช้เครื่องมือพิเศษส่องกล้อง