Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมภาวะโภชนาการในเด็ก ( 1 ), image, image, image, image, image -…
การส่งเสริมภาวะโภชนาการในเด็ก ( 1 )
ความหมาย อาหาร สารอาหาร และโภชนาการ
อาหาร
หมายถึง สิ่งที่เรารับประทานเข้าสู่ร่างกายแล้วเกิดประโยชน์ ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย ทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย
สารอาหาร
หมายถึง สารเคมีที่เป็นส่วนประกอบในอาหาร แบ่งเป็น 6 ประเภท คือ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และน้ำ
โภชนาการ
หมายถึง วิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยอาหาร สารอาหาร และสารอื่นๆที่อยู่ในอาหาร การกิน การย่อย การดูดซึม การขนส่ง การใช้และการขับถ่ายสารในอาหาร
ภาวะโภชนาการ (Nutritional status) หมายถึง ผลสภาพ หรือภาวะของร่างกายที่เกิดจากการบริโภคอาหาร
ภาวะโภชนาการดี
(Good nutritional status)
ภาวะทุพโภชนาการ (Malnutrition)
ภาวะโภชนาการต่ำกว่าเกณฑ์
(Under nutrition)
ภาวะโภชนาการเกิน
(Over nutrition)
ความสำคัญของอาหารแต่ละช่วงวัย
วัยทารก (infant)
การเจริญเติบโตของสมองเกิดขึ้นตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์มารดาจนถึงอายุ 2 ปี พัฒนาไปร้อยละ 80 ของสมองผู้ใหญ่ หากการเจริญเติบโตสูญเสียไปจะก่อให้เกิดปัญหาทางร่างกายและสติปัญญา
เด็กก่อนวัยเรียน (childhood)
การเจริญเติบโตน้ำหนักและส่วนสูง การขาดอาหารในวัยนี้จะมีผลต่อการพัฒนาร่างกายและสมองมากที่สุด
วัยเรียนและวัยรุ่น
ร่างกายกําลังเจริญเติบโตทั้งด้านร่างกายและสมอง ใช้แรงงานมาก หากได้รับอาหารโปรตีนไม่เพียงพอ จะทําให้การเจริญเติบโตหยุดชะงัก เซลล์สมองมีขนาดเล็ก มีผลต่อสติปัญญาและการเรียนรู้
มีผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของโครงกระดูก ทําให้มีรูปร่างเล็ก แคระแกรน ไม่แข็งแรง เจ็บป่วยง่าย
การคํานวนความต้องการพลังงาน (Holiday & Segar)
น้ำหนักตัว 0-10 กิโลกรัมแรก 100 กิโลแคลลอรี่/ กิโลกรัม/วัน
น้ำหนักตัว 10 กิโลกรัมที่สอง 50 กิโลแคลลอรี่/ กิโลกรัม/วัน
น้ำหนักตัวที่เหลือ 20 กิโลแคลลอรี่/ กิโลกรัม/วัน
ตัวอย่าง
เด็กหญิง อายุ 9 ปี น้ำหนัก 28 กิโลกรัม ควรได้รับพลังงานกี่กิโลแคลลอรี่?
พลังงานที่ควรได้รับ = (10x 100) + (10 x 50) + (8 x 20)
=1000+500+160
= 1,660 กิโลแคลลอรี่/กิโลกรัม/วัน
โภชนาการสําหรับเด็กแต่ละวัย
วัยทารก (แรกเกิด-1 ปี)
ความต้องการสารอาหารของวัยทารก
พลังงาน
ต้องการพลังงานมากกว่าผู้ใหญ่ 2-3 เท่า
ต้องการพลังงาน 100 กิโลแคลอรี่/กิโลกรัม/วัน
อาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก คือ น้ำนมแม่
ทารก 6 เดือนแรก ได้รับน้ำนมแม่อย่างเดียวจะช่วยการเจริญเติบโต และลดความเสี่ยงการเจ็บป่วย การเกิดโรคภูมิแพ้
โปรตีน
ทารกต้องการโปรตีนสูงกว่าทุกวัย การขาดโปรตีนทำให้เติบโตช้า
ร้อยละ 90 ของโปรตีนเด็กทารกได้รับมาจากนมแม่หรือนมผสม และอาหารเสริม
โปรตีนในน้ำนมแม่ ดูดซึมได้ง่าย มีภูมิคุ้มกัน alpha lactabumin ทำให้ไม่เกิดภูมิแพ้
วิตามินและเกลือแร่
เด็กที่ได้รับนมอย่างเพียงพอจะได้รับวิตามินดี เหล็ก ฟลูออไรด์ วิตามินเค วิตามินบี 12
ทารก 4-6 เดือนจะได้รับเหล็กเสริม
ทารก 6 เดือนควรได้ฟลูออไรด์เสริม
คาร์โบไฮเดรต
ช่วงอายุ 0-5 เดือน ต้องการคาร์โบไฮเดรตปริมาณร้อยละ 40 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน ซึ่งเด็กทารกจะได้รับจากน้ำนมแม่
ช่วงอายุ 6-11 เดือน ต้องการคาร์โบไฮเดรตปริมาณร้อยละ 45-65 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน ได้จากน้ำนมแม่ ข้าว แป้ง ผลไม้ซึ่งเป็นอาหารเสริมตามช่วงวัย
5.ไขมัน
ความต้องการไขมันในทารก 0-5 เดือน ร้อยละ 50 ทารก 6-12 เดือน ร้อยละ 40 ของพลังงานทั้งวัน ซึ่งน้ำนมแม่มีปริมาณไขมันตามที่ทารกต้องการ
น้ำ
ปริมาณน้ำในร่างกายเด็กทารกมีประมาณร้อยละ 70 – 80 ของน้ำหนักตัว ซึ่งถูกนำไปใช้ในกระบวนการสร้างปัสสาวะ อุจจาระ มีสูญเสียน้ำจากกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกาย
ความต้องการการน้ำของทารกอายุ 0- 5 เดือน อยู่ที่ประมาณ 500 มิลลิลิตร/วัน หรือขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการนมที่ได้รับจากน้ำนมแม่ ทารกอายุ 6 – 12 เดือนต้องการน้ำประมาณ 800 มิลลิลิตรต่อวัน(
กรณีที่เด็กดูดนมแม่ไม่ได้เลือกใช้นมผสม
นมผสมสูตรมาตรฐาน Infant formula (IF)
เป็นนมที่ผลิตขึ้นมาตามมาตรฐานมีคุณค่าใกล้เคียงกับนมแม่
ให้พลังงาน 20 กิโลแคลอรี/ ออนซ์ มีนมวัว และนมถั่วเหลือง
สูตรนมทารกคลอดก่อนกำหนด Preterm formula (PF
)
เป็นนมที่ใช้ในเด็กที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์และมีน้ำหนักตัวน้อยกว่ามาตรฐาน
ให้พลังงานมากกว่านมแม่ และนม IF คือ 22 - 24 กิโลแคลอรี/ ออนซ์ มีแล็กโทสต่ำ มีไขมันร้อยละ 40 – 50
สูตรต่อเนื่องFollow-on formula (FF)
เป็นนมสูตรต่อเนื่องสำหรับเด็กทารกอายุ 6 เดือนขึ้นไปถึง 3 ปี นมดัดแปลงจากนมวัว มีโปรตีน 2-3 กรัม/100 มิลลิลิตร
นมที่ไม่เหมาะกับทารก
นมวัวที่ยังไม่ดัดแปลง
นมวัวไขมันต่ำ
นมขาดไขมัน
นมที่ได้จากสัตว์อื่นๆที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ
นม whole milk
วัยก่อนเรียน (1-5 ปี)
ความต้องการสารอาหาร
โปรตีน
ควรได้รับโปรตีนวันละ 20-25 กรัม หรือประมาณ 1.8 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว แหล่งของอาหารโปรตีน ได้แก่ ไข่ โดยเฉพาะไข่ขาว เด็กวัยก่อนเรียนควรกินไข่วันละ 1 ฟองหรืออย่างน้อยอาทิตย์ละ 4 ฟอง
วิตามินและเกลือแร่
ในเด็กอายุ 4-5 ปี ให้เพิ่มเหล็กจากอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ ผักใบเขียวทุกชนิด ถั่ว ปลา ขนมปัง หรือธัญพืชที่เสริมเหล็ก การขาดเหล็กจะส่งผลต่อการเจริญเติบโต อารมณ์ สมาธิ และความสามารถในการเรียนลดลง
แคลเซียม และฟอสฟอรัสสำหรับสร้างกระดูกและฟัน อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ น้ำนมและผลิตภัณฑ์นม เด็กวัยนี้จึงต้องดื่มน้ำนมเป็นประจำทุกวันด้วย
เหล็กเป็นแร่ธาตุที่เด็กวัยนี้ต้องการด้วย อาหารที่มีแมกนีเซียมสูง ได้แก่ ส่วนเหล็กจำเป็น
วิตามินที่สำคัญสำหรับเด็กในวัยนี้ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินซี และวิตามินอี พบใน กล้วยน้ำว้า มะละกอสุก ส้ม ฝรั่ง และมะเขือเทศสุก
3.คาร์โบไฮเดรต
ต้องได้รับปริมาณคาร์โบไฮเดรทร้อยละ 45-65 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวันทั้งนี้ คาร์โบไฮเดรตที่มาจากน้ำตาลและอาหารที่มีน้ำตาลตามธรรมชาติไม่ควรเกินร้อยละ 25ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน
4.ไขมัน
ไขมันเด็กวัยก่อนเรียนต้องได้รับไขมันร้อยละ 30-40 ของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน
การส่งเสริมโภชนาการ/อาหารเสริมในเด็กวัยก่อนเรียน
อาหารกลุ่มข้าวธัญพืช ก๋วยเตี๋ยววันละ 4-6 ทัพพี เด็กควรได้รับข้าวขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้อง เพื่อให้ได้รับวิตามินและใยอาหาร
ผักสุกวันละ 2-3 ทัพพี ควรให้เด็กได้รับผักหลากหลายชนิด
ผลไม้ 2 ส่วนต่อวัน ตัวอย่างผลไม้ 1 ส่วน คือ กล้วย 1 ผล ส้ม 1 ผล ฝรั่งครึ่งผล มะละกอหั่นชิ้นพอคํา 6 ชิ้น
นมจืดวันละ 3 แก้ว/กล่อง หรือผลิตภัณฑ์จากนม
เนื้อสัตว์ ปลา ไก่ ถั่วเมล็ดแห้ง 2-3 ส่วนต่อวัน ตัวอย่างของ 1 ส่วน ได้แก่ เนื้อสัตว์หรือปลา หรือไก่ 2 ช้อนกินข้าว ไข่ 1 ฟอง
วัยเรียน (6-12 ปี)
ความต้องการสารอาหารของวัยเด็กวัยเรียน
พลังงาน
เด็กอายุ 6-8 ปี ทั้งชายและหญิงควรได้รับพลังงานวันละ 1,400 กิโลแคลอรี่
เด็กชาย-อายุ 9– 12 ปี ควรได้รับพลังงานวันละ 1,700 กิโลแคลอรี่
เด็กหญิงอายุ 9– 12 ปี ควรได้รับพลังงานวันละ 1,600 กิโลแคลอรี่
โปรตีน
เด็กอายุ 6-8 ปี ทั้งชายและหญิง ควรได้รับโปรตีนวันละ 28 กรัม/วัน
เด็กชายอายุ 9– 12 ปี ควรได้รับโปรตีนวันละ 40 กรัม/วัน
เด็กหญิงอายุ 9– 12 ปี ควรได้รับโปรตีนวันละ 41 กรัม/วัน
3.คาร์โบไฮเดรต
ไม่ควรมีคาร์โบไฮเดรตต่ำกว่า 130 กรัมต่อวัน เพื่อให้สมองได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตอย่างเพียงพอ ความต้องการคาร์โบไฮเดรตในเด็กจะอยู่ที่ 45 – 65% ของความต้องการพลังงาน
ไขมัน
ใช้เป็นแหล่งพลังงานสะสม และเป็นองค์ประกอบของการสร้างสารประกอบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมน ความต้องการไขมันในเด็กจะอยู่ที่ประมาณ 25 – 35% ของความต้องการพลังงานต่อวัน
วัยรุ่น (13-18 ปี)
ความต้องการอาหารของวัยรุ่น
พลังงาน
วัยรุ่นชาย 1,700 – 2,300 กิโลแคลอรี่
วัยรุ่นหญิง 1,600 – 1,850 กิโลแคลอรี่
คาร์โบไฮเดรต
ควรได้รับ 55 – 60 % ของพลังงานทั้งหมด ได้แก่ ข้าว แป้ง เผือก มัน ข้าวโพด ธัญพืช แนะนำข้าวไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง
โปรตีน
เสริมสร้างกล้ามเนื้อ สร้างภูมิคุ้มกันและฮอร์โมน ควรได้รับ 10 – 15 % ของพลังงานทั้งหมด ได้แก่ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ แนะนำเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น ปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและหนัง นม ถั่วเมล็ดแห้ง ผลิตภัณฑ์จากถั่วต่าง ๆ
ไขมัน
ให้พลังงานและความอบอุ่น รวมถึงกรดไขมันที่จำเป็นต่อระบบประสาท และช่วยในการละลายและดูดซึมวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน ควรได้รับ 30 % ของพลังงานทั้งหมด ได้แก่ ไขมันจากพืชและจากสัตว์ น้ำมันปลา เนย งา เน้นไขมันจากพืช
วิตามิน
มีมากในธัญพืช ผักและผลไม้ นอกจากนี้ผักและผลไม้ยังช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลและโคเลสเตอรอล ช่วยเสริมสร้างระบบขับถ่าย
แร่ธาตุ
แคลเซียม ช่วยสร้างกระดูก แหล่งแคลเซียม ได้แก่ นม ผลิตภัณฑ์จากนม ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งเล็ก กะปิ ปลากระป๋อง และผักใบเขียว
ฟอสฟอรัส แหล่งอาหาร ได้แก่ ถั่ว ไข่ ปลา เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ นม และเนยแข็ง
เหล็ก เป็นองค์ประกอบของเม็ดเลือดแดง ผู้หญิงมีความต้องการมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากเสียไปกับประจำเดือน แหล่งอาหาร ได้แก่ เครื่องในสัตว์ ตับ เลือด และเนื้อสัตว์ที่มีสีแดง
น้ำ ร่างกายต้องการน้ำวันละประมาณ 8 -10 แก้ว
วัยรุ่นกับโภชนาการบัญญัติ 9 ประการ “4 อย่า 5 อยาก”
อยากให้กินอาหารครบ 5 หมู่ หลากหลายไม่ซ้ำซาก และดูแลน้ำหนักตัวสม่ำเสมอ
อยากให้กินข้าวเป็นหลัก สลับกับแป้ง เน้นกินข้าวกล้อง ข้าวโพด ลูกเดือย หรืออาหารไม่ขัดขาว
อยากให้กินพืชผักให้มาก และกินผลไม้ตามธรรมชาติ เน้นกินพืชผัก 5 สี เพื่อให้ได้รับใยอาหารและสารไฟโตเอสโทรเจนอย่างเพียงพอ
อยากให้กินเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่ว เมล็ดแห้ง เน้นกินปลา ไข่ และเนื้อแดง
อยากให้ดื่มนมที่เหมาะสมกับวัย เน้นการดื่มนมรสธรรมชาติ (รสจืด) และนมขาดมันเนยสำหรับวันรุ่นที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
อย่ากินอาหารที่มีไขมันสูง เน้นวิธีการประกอบอาหารแบบไม่ใช้น้ำมันและใช้น้ำมันน้อย ต้ม นึ่ง ลวก อบและลดการกินอาหารขนมอบที่มีไขมันทรานส์ประกอบ เช่น โดนัท คุกกี้ เป็นต้น
อย่ากินอาหารรสจัด เน้นกินอาหารรสจืดและซิมก่อนเติม ลดเครื่องดื่มรสหวาน
อย่ากินอาหารที่ปนเปื้อน เน้นกินอาหารสุกใหม่ ๆ เลือกร้านค้าที่ได้มาตรฐานสุขาภิบาลอาหาร
อย่าดื่มน้ำที่มีแอลกอฮอล์ เน้นดื่มน้ำเปล่า วันละ 6 -8 แก้ว