Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บุคคลที่มีปัญหาจิตสังคมมีความวิตกกังวลและความเครียด - Coggle Diagram
บุคคลที่มีปัญหาจิตสังคมมีความวิตกกังวลและความเครียด
ความวิตกกังวล
อาการและอาการแสดง
การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย
ระบบหัวใจและหลอดเลือด มีภาวะหัวใจเต้นเร็ว ผิดจังหวะ เจ็บหน้าอก ใจสั่นความดันโลหิตสูง หน้าแดง
ระบบทางเดินหายใจ จะมีอาการสะอีก หายใจเร็ว หายใจลำบาก
ระบบประสาท จะมีอาการปวดศีรษะจากความเครียด ตาพร่า หูอื้อ ปากแห้ง เหงื่อ
ออก มือสั่น รูม่านตาขยาย
ระบบทางเดินอาหาร จะมีอาการกลืนลำบาก ปากแห้ง ท้องอืด ท้องเฟ้อ อึดอัดแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องเดิน
ระบบทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ จะมีอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่สุด มีการเปลี่ยนแปลงในรอบเดือน ความรู้สึกทางเพศลดลง
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ จะมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย มือสั่น
การเบลี่ยนแปลงด้านจิตใจและอารมณ์
มองตนเองไร้ค่า สงสัยบ่อย ซักถามมากขึ้น
มีความรู้สึกหวาดหวั่น กลัว ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
สับสน กระวนกระวาย ตกใจง่าย หงุดหงิดเจ้ากี้เจ้าการ โกรธง่าย ก้าวร้าว
เศร้าเสียใจง่าย ร้องไห้ง่ายเมื่อเกิดเรื่องเพียงเล็กน้อย
การเปลี่ยนแปลงด้านสังคม
ขาดความสนใจ ขาดความคิดริเริ่ม
รู้สึกว่าช่วยเหลือตนเองไม่ได้พึ่งพาผู้อื่นหรือแยกตัว
มีปัญหาเรื่องสัมพันธภาพกับผู้อื่น มีพฤติกรรมเรียกร้องมากเกินไป
การเปลี่ยนแปลงด้านสติปัญญา
ความคิด ความจำลดลง คิดไม่ออก
ครุ่นคิด หมกมุ่น
ไม่ค่อยมีสมาธิ การพูดติดขัด เปลี่ยนเรื่องพูดบ่อยหรือไม่พูดเลย
การรับรู้และการตัดสินใจผิดพลาด มีความคิดและการกระทำซ้ำๆ
ความหมาย
ความรู้สึกไม่สบาย สับสน กระวนกระวายกระสับกระส่าย
หรือตื่นตระหนกต่อสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
การตอบสนองของบุคคลต่อความวิตกกังวล
พฤติกรรมชะงักงันหรือถดถอย (paralysis and retreating behavior)
มีการเจ็บป่วยทางกาย (somatizing)
พฤติกรรมที่แสดงออกถึงการต่อสู้ (acting out behavior)
มีพฤติกรรมเผชิญความวิตกกังวลในเชิงสร้างสรรค์ (constructive behavior)
ชนิดและระดับของความวิตกกังวล
ชนิด
1) ความวิตกกังวลปกติ (normal anxiety) พบได้ทั่วไปเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตประสบความสำเร็จ มีผลให้บุคคลตื่นตัว
2) ความวิตกกังวลเฉียบพลัน (acute anxiety) เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์เข้ามากระทบหรือคุกคาม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่ากาย อารมณ์และพฤติกรรม
3) ความวิตกกังวลเรื้อรัง (chronic anxiety) เป็นความรู้สึกหวาดหวั่นไม่เป็นสุขขาดความมั่นคงปลอดภัยที่แฝงอยู่ในตัวของบุคคลตลอดเวลาจะไม่ปรากฏออกมาในลักษณะของพฤติกรรมโดยตรง แต่จะเพิ่มความรุนแรงของความวิตกกังวลขณะเผชิญกับสถานการณ์ที่เข้ามาคุกคาม
ระดับ
ความวิตกกังวลปานกลาง (moderate anxiety) +2 บุคคลจะมีความตื่นตัวมากขึ้น พยายามควบคุมตนเองมากขึ้น และใช้ความพยายามในการแก้ปัญหาสูงขึ้น
ความวิตกกังวลรุนแรง (severe anxiety) +3 มีระดับสติสัมปชัญญะลดลง สมาธิในการรับฟังปัญหาและข้อมูลต่าง ๆลดลงหมกมุ่นครุ่นคิดในรายละเอียดปลีกย่อย
ความวิตกกังวลต่ำ (mild anxiety) +1 เป็นความวิตกกังวลระดับเล็กน้อย ที่เกิดขึ้นเป็นปกติในบุคคลทั่วไป จะช่วยกระตุ้นให้บุคคลตื่นตัว
ความวิตกกังวลท่วมท้น (panic anxiety) +4 เมื่อความวิตกกังวลที่มีไม่ได้รับการระบายออกหรือแก้ไขให้ลดลง จะมีการสะสมความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนบุคคลไม่สามารถจะทนต่อไปได้มีความผิดปกติของความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมแสดงออกให้เห็นโดยมีภาวะขาดสติสัมปชัญญะ ตื่นตระหนก มึนงง สับสน วุ่นวาย เกรี้ยวกราด หวาดกลัวสุดขีด ควบคุมตนเองและรับรู้น้อยมากผิดไปจากความเป็นจริง อาจมีภาวะซึมเศร้า หลงผิด
สาเหตุ
สาเหตุทางด้านชีวภาพ
ด้านชีวเคมี (biochemical factors)
ด้านการเจ็บป่วย (medical factors)
ด้านกายภาพของระบบประสาท (neuroanatomical factors)
สาเหตุทางด้านจิตสังคม
ด้านจิตวิเคราะห์ (psychoanalytic theory)
ความขัดแย้งกันของ id และ superego ในระดับจิตใต้สำนึก (unconscious)
ด้านพฤติกรรมและการรู้คิด (cognitive-behavioral theory)
เป็นผลมาจากการเรียนรู้ต่อสิ่งอันตราย (noxious stimulus)
ของมนุษย์ที่มีการเรียนรู้และปรับตัวตามสิ่งที่เรียนรู้ตลอดชีวิต
สาเหตุทางด้านสังคม
ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความวิตกกังวล
เกิดจากสัมพันธภาพระหว่างบุคคลไม่ดี ในระยะ 2 ปีแรกของชีวิต
ความเครียด
อาการและอาการแสดง
การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย
มึนงง ปวดศีรษะ หูอื้อ มีเสียงด้งในหู ปวดตามกล้ามเนื้อ อ่อนแรงไม่อยากทำอะไร มีปัญหาเรื่องการนอน กัดฟัน อ่อนเพลีย หัวใจเต้นเร็ว หายใจไม่อิ่ม มือย็นแน่นจุกท้อง เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วง ท้องผูก
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ
วิตกกังวล โกรธง่าย หงุดหงิด ซึมเศร้า ท้อแท้การตัดสินใจไม่ดี สมาธิสั้น ขี้ลืม ไม่มีควมคิดริเริ่ม ความจำไม่ดี ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มองโลกในแง่ร้ายแยกตัว มีปัญหาด้านสัมพันธภาพ หรือไม่มีความสุขกับชีวิต
การเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรม
ร้องไห้ กัดเล็บ ดึงผมตัวเอง รับประทานอาหารเก่ง ติดบุหรี่ สุรา ก้าวร้าว
เปลี่ยนงานบ่อย หรืออาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุขณะทำงานได้
การตอบสนองของบุคคลต่อความเครียด
การตอบสนองด้านร่างกาย
ระยะเตือน (alarm reaction)
ระยะช็อก (shock phase):ประสาทอัตโนมัติเกิดปฏิกิริยา
ระยะตอบสนองการช็อก (counter shock phase shock phase)
ร่างกายจะปรับตัวกลับสู่สภาพเดิม
ระยะการต่อต้าน (stage of resistance)
บุคคลจะปรับตัวต่อต้านความเครียดเต็มที่โดยจะใช้กลไกการป้องกันตัวที่เหมาะสมและพยายามจำกัดสิ่งที่มากระตุ้นให้น้อยลงทำให้ความเครียดลดลงเข้าสู่ภาวะปกติ
ระยะหมดกำลัง (stage of exhaustion)
เมื่อบุคคลมีการปรับตัวในระยะการต่อต้านไม่สำเร็จร่างกายจะหมดแรงที่จะต่อสู้กับความครียด
เกิดภาวะอ่อนล้า เหนื่อยและหมดแรง มีการใช้กลไกป้องกันตัวเองที่ไม่เหมาะสม
มีพฤติกรมแปรปรวน มีการรับรู้ความป็นจริง บิดเบือน น้ำหนักตัวลดลง ต่อมไร้ท่อต่าง ๆ โตขึ้น
ระดับฮอร์โมนสำคัญต่าง ๆ สูงขึ้น ถ้ามีความเครียดในระดับสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจทำให้เสียชีวิตได้
การตอบสนองด้านจิตใจ
หนี หรือเลี่ยง (flight)
ปฏิเสธว่าตนกำลังมีความเครียด หรืออาจหันไปทำกิจกรรมอื่นๆทดแทนทั้งทางบวกและทางลบ
ยอมรับและเผชิญกับความครียด (fight)
ต่อสู้กับความเครียดที่มีอยู่โดยการแก้ไขเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความครียดหรือแก้ไขปรับเปลี่ยนตนเอง
ความหมาย
ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายและจิตใจที่มีต่อสิ่งกระตุ้น (stressor)และบุคคลนั้นได้ประเมินแล้วว่าสิ่งกระตุ้นนั้นคุกคามหรือทำให้ตนเองรู้สึกไม่มั่นคง ปลอดภัย หากบุคคลมีความครียดระดับสูงและสะสมอยู่นาน ๆ จะก่อให้เกิดโรคทางกายและทางจิตได้
ชนิดและระดับของความเครียด
ระดับของความเครียด
ความเครียดระดับปานกลาง (moderate stress)
ความเครียดในระดับปกติเกิดขี้นได้ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากมีสิ่งคุกคามหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เครียดไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือเป็นผลเสียต่อการดำเนินชีวิตส่วนใหญ่ จะสามารถปรับตัวกลับสู่ภาวะปกติได้เองจากการได้ทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ
(แบบประเมิน ST 20 ระดับคะแนน 24 - 41 คะแนน)
ความเครียดระดับสูง (high stress)
ความเครียดที่เกิดจากเหตุการณ์รุนแรงสิ่งต่าง ๆ สถานการณ์หรือเหตุการณ์รอบตัวที่แก้ใขจัดการปัญหานั้นไม่ได้รู้สึกขัดแย้ง ปรับความรู้สึกด้วยความลำบากส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดความผิดปกติตามมาทางร่างกาย อารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม วิธีที่ได้ผลดีในการคลายเครียดระดับนี้คือ การฝึกหายใจ คลายเครียด พูดคุยระบายความเครียดกับผู้ไว้วางใจ
(แบบประเมิน ST 20ระดับคะแนน 42 - 61 คะแนน)
ความเครียดระดับต่ำ (mild stress)
ความเครียดในระดับน้อยและหายไปได้ในระยะเวลาสั้น ไม่คุกคามต่อการดำเนินชีวิต
เกิดขึ้นไดในชีวิตประจำวันและสามารถปรับตัวกับสถานการณ์ต่างได้อย่างเหมาะสม
(แบบประเมิน ST 20 ระดับคะแนน 0 - 23 คะแนน)
ความเครียดระดับรุนแรง (severe stress)
ความเครียดระดับสูงและเรื้อรังต่อเนื่องหรือกำลังเผชิญกับวิกฤตของชีวิต เช่น
เจ็บป่วยรุนแรง เรื้อรังมีความพิการ สูญเสียคนรัก ทรัพย์สินหรือสิ่งที่รักจนทำให้บุคคลนั้นมีความล้มเหลวในการปรับตัว ชีวิตไม่มีความสุข ความคิดฟุ้งซ่าน การตัดสินใจไม่ดี
(แบบประเมิน ST 20 ระดับคะแนน 62 คะแนนขึ้นไป)
ชนิดของความเครียด
1) ความเครียดฉับพลัน (acute stress) ความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีและร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นทันที โดยมีกรหลั่งฮอร์โมนความเครียด เมื่อความเครียดหายไปร่างกายก็จะกลับสู่ภาวะปกติ ฮอร์โมนก็จะกลับสู่ปกติ
2) ความเครียดเรื้อรัง (chronic stress) ความเครียดที่เกิดขึ้นทุกวันและร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่อความครียดนั้น ซึ่งบุคคลมักมีความเครียดโดยที่ไม่รู้ตัวหรือไม่มีทางหลีกเลี่ยง
สาเหตุ
- สาเหตุจากภายนอก
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เช่น สภาพภูมิอากาศ ภัยพิบัติ การย้าย
ถิ่นฐานที่อยู่ การเปลี่ยนงาน ความเจ็บป่วยของบุคคลอันป็นที่รัก
- สาเหตุภายในตัวบุคคล
ภาวะสุขภาพของตนเอง เช่น ภาวะเจ็บปวยที่เผชิญอยู่ ความพิการ
หรือความผิดปติของสรีะร่างกายที่มีมาแต่กำเนิด การเจริญเติบโต
การพยาบาลบุคคลที่มีความเครียด
3) กิจกรรมการพยาบาล
สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด
ส่งเสริมและให้กำลังในการฝึกและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้
และเลือกกลวิธีในการจัดการความเครียดที่สร้างสรรค์
สอนและแนะนำให้ประเมินระดับความเครียดด้วยตนเอง เมื่อต้องเผชิญกับ
เหตุการณ์ที่เข้ามากระตุ้นให้กิดความเครียต
กระตุ้นและให้กำลังใจผู้ป่วยวางแผนการเปลี่ยนแปลงตนเอง
ฝึกทักษะการคิดเชิงบวก
2) การวินิจฉัยทางการพยาบาล
เป้าหมายระยะสั้น
เพื่อลดความเครียดของผู้ป่วยให้กลับสู่ภาวะปกติ
เพื่อให้การบำบัดรักษาอาการทางกายที่มีอยู่ในตอนนั้น
เป้าหมายระยะยาว
เพื่อให้ผู้ป่วยได้รู้และเข้าใจกลวิธีในการปรับตัวต่อเหตุกรณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดของตนเอง
เพื่อให้ผู้ป่วยได้จัดการความเครียดที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้นและไม่ก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมา
เพื่อลดความถี่ของการเกิดความเครียด
เพื่อปรับบุคลิภาพและการใช้กลไทางจิตให้เหมาะสมมากขึ้น
1) การประเมินสภาวะความเครียด
ประเมินอาการแสดงทางร่างกายที่เป็นผลมาจากความเครียด
ประเมินอาการแสดงทางจิตใจ
4) การประเมินผลทางการพยาบาล
อาการทางกายทุเลาหรือกลับสู่ภาวะปกติ
ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ระดับความเครียดลดลง
ผู้ป่วยสามารถเชื่อมโยงอาการ และอาการแสดงที่สัมพันธ์กับความเครียดของตนเองได้
ผู้ป่วยสามารถประเมินระดับความเครียดด้วยตนเองได้
ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีการจัดการความเครียดที่เหมาะสมกับตนเองได้
ผู้ป่วยสามารถแสวงหาแหล่งสนับสนุนช่วยเหลือทางสังคม เพื่อลดความเครียดให้กับ
การพยาบาลบุคคลที่มีความวิตกกังวล
3) กิจกรรมการพยาบาล
สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยเพื่อปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบายความไม่สบายใจ
ใช้คำพูดง่าย ๆ ข้อความสั้น ๆ กะทัดรัดได้ใจความตรงไปตรงมา
ให้กำลังใจโดยอาจสัมผัสผู้ป่วยเบา ๆ เพื่อผู้ป่วยให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ
นำผู้ป่วยออกจากสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล ซึ่งผู้ปวยไม่อาจทนหรือควบคุมตนเองได้
ส่งเสริมให้ร่วมกิจกรรมที่ง่ายๆ ไม่ชับซ้อน ใช้เวลาสั้น
2) การวินิจฉัยการพยาบาล
เป้าหมายระยะสั้น
เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยให้กลับปกต
เป้าหมายระยะยาว
เพื่อให้ผู้ป่วยได้รู้และเข้าใจถึงเหตุและผลของความวิตกกังวล
เพื่อให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้วิธีลความวิตกกังวลที่สร้างสรรค์ เพื่อลดความถี่ของการเกิดความวิตกกังวล
เพื่อปรับบุคลิกภาพและการใช้กลไทางจิตให้เหมาะสม
เพื่อขจัดความขัดแย้งและบรรเทาประสบการณ์ที่เจ็บปวดให้กับผู้ป่วย
4) การประเมินผลทางการพยาบาล
ผู้ปวยรู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้น
ผู้ป่วยสามารถแยกแยะและประเมินระดับความวิตกกังวลของตนเองได้
ผู้ป่วยสามารถบอกถึงความรู้สึกวิตกกังวลที่มีต่อตนเองและผู้อื่นได้
ผู้ป่วยสามารถอธิบายเชื่อมโยงผลของควมวิตกังวลที่มีต่อตนเองและผู้อื่นได้
ผู้ป่วยสามารถบอกวิธีการที่เหมาะสมในการแก้ไขความวิตกกังวลได้
1) การประเมินสภาวะความวิตกกังวล
การประเมินความเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม เมื่อมีกังวลเกิดขึ้น
การประเมินระดับความรุนแรงของความวิตกกังวล
การประเมินสาเหตุของความวิตกกังวลและวิธีการผชิญกับภาวะวิตกกังวล จากการซัก
ประวัติจากผู้ป่วยและบุคคลใกล้ชิด รวมทั้งการสังเกตพฤติกรรมในขณะนั้น
ประเมินสมรรถภาพและองค์ประกอบในด้านอื่น ๆของผู้ป่วย เช่น รูปแบบในการ
แก้ปัญหาในอดีต การศึกษา ฐานะทางเศษฐกิจ แหล่งสนับสนุนทางสังคม เป็นต้น