Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลฉุกเฉินผู้ที่มีภาวะช็อก (Emergency Nursing Care of Adults with…
การพยาบาลฉุกเฉินผู้ที่มีภาวะช็อก
(Emergency Nursing Care of Adults with Shock)
ภาวะช็อก หมายถึง ภาวะที่เนื้อเยื่อของร่างกายได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ (poor tissue perfusion) เนื่องจากการขนส่งออกซิเจนและสารอาหารไปยังเนื้อเยื่อและเซลล์ของร่างกายลดลง จึงทำให้เซลล์ไม่สามารถรักษาระดับการทำงานปกติของเซลล์และอวัยวะที่สำคัญต่อชีวิต (vital organs)ได้ เช่น หัวใจ สมอง เป็นต้น
ระยะของภาวะช็อก (Stages of shock) อาการและอาการแสดง (Manifestations of shock) ระยะของภาวะช็อก แบ่งเป็น 4 ระยะ
initial stage หรือ early stage เป็นระยะเริ่มต้นของภาวะช็อก โดยเริ่มเกิดเมื่อค่าMAP ลดลงจากค่าปกติของแต่ละบุคคลน้อยกว่า 10 mm.Hg ซึ่งระยะนี้ร่างกายยังสามารถปรับตัวให้มีการไหลเวียนเลือดรวมถึงออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อของร่างกายได้ อาการและอาการแสดงของภาวะช็อกในระยะนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย คือ HR และ RR เพิ่มขึ้น แต่ systolic BP > 90 mm.Hg ร่วมกับผู้ป่วยมีสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะช็อก
non progressive stage หรือ compensatory stage ระยะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อ MAP ลดลงจากค่าปกติของผู้ป่วย 10-15 mm.Hg ร่างกายจะเริ่มมีการปรับตัวโดยอาศัยไตและฮอร์โมนเพิ่มขึ้น อาการและอาการแสดงของภาวะช็อกในระยะนี้ เป็นอาการจากภาวะเนื้อเยื่อของร่างกายขาดออกซิเจน
progressive stage หรือ intermediate stage ระยะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อ MAP ลดลงมากกว่า 20 mm.Hg อาการและอาการแสดงของภาวะช็อกระยะนี้ เป็นอาการจากภาวะเนื้อเยื่อของร่างกายขาดออกซิเจนเช่นเดียวกับระยะ non progressive
refractory stage หรือ irreversible stage ระยะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเซลล์และเนื้อเยื่อ ขาดออกซิเจนและเลือดไปเลี้ยงเป็นเวลานานจนถึงการตายของเซลล์และเนื้อเยื่อ
ประเภทของภาวะช็อกและกลไกการเกิดภาวะช็อก
ภาวะช็อกจากการพร่องสารน้ำ (Hypovolemic shock) เกิดจากการสูญเสียเสียปริมาณน้ำออกจากร่างกาย เช่น การสูญเสียเลือด (hemorrhage) การขาดน้ำอย่างรุนแรง (dehydration)
ภาวะช็อกจากสาเหตุของหัวใจ (Cardiogenic shock) เกิดจากประสิทธิภาพของการบีบตัวของหัวใจลดลงเป็นสำคัญ โดยมีสาเหตุหลายประการ เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย(myocardial infarction) ลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบอย่างรุนแรง (valvular regurgitation or stenosis)
ภาวะช็อกจากการกระจายของระบบไหลเวียนไม่สมดุล (Distributive shock หรือ Circulatory shock) เกิดจาก sympathetic nervous system ทำงานลดลงเนื่องจากสารบางอย่างที่มีผลต่อการทำงานของ sympathetic nervous system จึงทำให้มีความบกพร่องของหดตัวของผนังหลอดเลือดหรือเกิดการขยายตัวของหลอดเลือด (vasodilatation)
3.1 ภาวะช็อกจากการติดเชื้อ (Septic shock) เป็นภาวะช็อกที่พบได้บ่อยของ distributive shock มีสาเหตุจากการติดเชื้อในร่างกายร่วมกับภูมิคุมกันร่างกายต่ำ
3.2 ภาวะช็อกจากการแพ้ (Anaphylactic shock) เป็นภาวะช็อกที่เกิดขึ้นรวดเร็วและคุกคามต่อชีวิต มีสาเหตุจากการได้รับสารที่แพ้เข้าสู่ร่างกาย
3.3 ภาวะช็อกจากระบบประสาทผิดปกติ (Neurogenic shock) เป็นภาวะช็อกที่เกิดจากสาเหตุของการทำงานบกพร่องของระบบประสาท
ภาวะช็อกจากการอุดตันในระบบไหลเวียน (Obstructive shock) เกิดจากการอุดกั้นการไหลเวียนของเลือด หรือหัวใจไม่สามารถบีบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันเป็นสาเหตุให้venous return และ CO ลดลง
การจัดการภาวะช็อก การจัดการภาวะช็อก มีเป้าหมายในการรักษาระดับของ MAP ≥ 65 mm.Hg (สำหรับผู้ที่
ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง) ค่าของ lactate ≤ 2 mmol/L และ urine output ≥ 0.5 ml/kg/hr
การประเมินภาวะช็อก ควรประเมินโดยการซักประวัติและตรวจร่างกายให้ครอบคลุมทั้งสาเหตุของการเกิด ระยะของภาวะช็อก อาการและอาการแสดง รวมถึงการประเมินค่าที่แสดงถึงภาวะช็อก เพื่อให้การดูแลรักษาได้อย่างถูกต้อง
การรักษาภาวะช็อก
2.1การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ (fluid therapy)
2.2การรักษาด้วยยาที่มีผลต่อหัวใจและหลอดเลือด (vasoactive medication therapy)
2.3การรักษาแบประคับประคอง คือ การส่งเสริมด้านการหายใจ (respiratory support) และการส่งเสริมด้านสารอาหาร (nutrition support)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อก แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ
ระยะก่อนโรงพยาบาล มีแนวทางการปฏิบัติ
1.1 ประเมินความปลอดภัยของสถานการณ์ของที่เกิดเหตุ (scene size-up) เพื่อป้องกัน อันตรายที่อาจเกิดขึ้นซ้ำกับทีมช่วยเหลือ
1.2 ประเมินการประเมินผู้บาดเจ็บเบื้องต้น (initial assessment) เพื่อประเมินภาวะ life threatening ของ A-B-C อย่างรวดเร็วและให้การแก้ไขเบื้องต้น
1.3 ประเมินหาตำแหน่งของเลือดออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณี external bleeding เช่น เลือดออกจากบาดแผล เป็นต้น
ระยะในโรงพยาบาล
2.1 กรณีผู้ป่วยบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ควรประเมินตามหลักของ ATLS เพื่อค้นหาภาวะคุกคามต่อชีวิต
2.2 ประเมินสาเหตุของการเกิดภาวะช็อก เพื่อให้การดูแลได้ถูกต้องและตรงตามสาเหตุที่ทำให้เกิด
2.3 ประเมินอาการและอาการแสดงของการมีเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนปลายอย่างเพียง เพื่อวางแผนการพยาบาลและให้การพยาบาลได้อย่างเหมาะสม
2.4 ดูแลจัดท่านอนผู้ป่วยเพื่อเพิ่มปริมาณ CO ทำให้ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อของร่างกายได้เพิ่มขึ้น
2.5 ดูแลการได้รับออกซิเจนผ่านทาง mask, cannula หรือช่วยแพทย์ในการใส่ท่อช่วย หายใจ (endotracheal tube) แล้วต่อกับเครื่องช่วยหายใจ (ventilator) เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจน ให้แก่ร่างกาย
2.6 ดูแลให้ได้รับสารน้ำทั้ง crystalloids หรือ colloids รวมถึงส่วนประกอบของเลือดทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษ
2.7 ดูแลให้ได้รับยาเพิ่มความดันโลหิต หรือ vasoactive medicines ตามแผนการรักษา รวมถึงการติดตามผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น