Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 3 พยาบาลบุคคลที่มีปัญหาจิตสังคมบุคคลที่มีความโกรธและก้าวร้าว, :star:…
บทที่ 3 พยาบาลบุคคลที่มีปัญหาจิตสังคมบุคคลที่มีความโกรธและก้าวร้าว
1. ความหมายความโกรธ
:explode:ความโกรธ (anger) เป็นปฏิกิริยาตอบสนองทางด้านจิตใจและอารมณ์ของบุคคล เป็นประสบการณ์ของความรู้สึกทางอารมณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนเป็นอารมณ์ที่ต่อเนื่องกันจากความรู้สึกขุ่นเคืองใจ ไปจนถึงความรู้สึกไม่พอใจที่รุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ เกิดขึ้นเมื่อบุคคลรู้สึกว่าตนเองถูกคุกคาม ไม่ปลอดภัย ถูกทำให้ผิดหวังจากสิ่งที่ตั้งใจ หรือตั้งเป้าหมายไว้ รู้สึกสูญเสียคุณค่า และศักดิ์ศรีในตนเอง บุคคลจะรู้สึกคับข้องใจ วิตกกังวล และมีอารมณ์โกรธตามมาเป็นลำดับ และหากบุคคลเก็บกดความโกรธไว้นาน ๆ โดยไม่มีการระบายออกอย่างเหมาะสมก็จะทำให้เกิดความแปรปรวนของพฤติกรรมตามมาได้ เช่น ความก้าวร้าว (aggression) ความไม่เป็นมิตร (hostility) การกระทำที่รุนแรง (violence)
3. สาเหตุการเกิดของความความโกรธ
1) ปัจจัยด้านชีวภาพ (biological factors)
การได้รับบาดเจ็บหรือความกระทบกระเทือนที่สมอง การมีเนื้องอกที่สมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือโรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น
การเจ็บป่วยทางกายอื่นๆ เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือการเจ็บป่วยทั้งแบบฉับพลันและเรื้อรังที่ส่งผลต่อความทุกข์ทรมาน และความมีคุณค่าในตนเอง หรือกระทบต่อความเป็นตัวตน อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะโกรธได้ง่าย
สารสื่อประสารในสมอง เช่น serotonin , dopamine, epinephrine และ norepinephrine อยู่ในระดับผิดปกติ
2) ปัจจัยด้านจิตใจ (psychological factors)
ด้านพฤติกรรมและการรู้คิด (cognitive-behavioral theory)พฤติกรรมที่แสดงออกของอารมณ์โกรธนั้น เป็นผลมาจากการเรียนรู้ต่อสิ่งเร้าที่ไม่ได้ดังใจที่ตนเองคาดหวังหรือกำหนดไว้ และแสดงความโกรธออกมาแล้วส่งผลให้บุคคลนั้นได้รับการตอบสนองเป็นผลลัพธ์ บุคคลที่มีความคิดความเชื่อที่ไม่สมเหตุสมผล อาจทำให้เกิดอารมณ์โกรธได้ง่ายกว่าบุคคลที่มีความคิดความเชื่อสมเหตุสมผล
ด้านจิตวิเคราะห์ (psychoanalytic theory) ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ได้อธิบายถึงสัญชาติญาณของมนุษย์มนุษย์จะแสดงความก้าวร้าวออกมาเพื่อดิ้นร้นต่อสู้ชีวิต ซึ่งเป็นการทำงานของจิตใต้สำนึกในการตอบสนองต่อแรงขับของความก้าวร้าวในบางรายที่บุคคลเลือกที่ใช้กลไกทางจิตแบบโทษตนเอง (introjections) เพื่อจัดการกับความวิตกกังวลหรือความขัดแย้งภายใน ซึ่งภาวะตัวตน (ego) ไม่เข้มแข็งเพียงพอที่สามารถจัดการได้ก็จะทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและทำร้ายตนเองในที่สุด
3) ปัจจัยด้านสังคม (psychosocial factors)
แนวคิดทางด้านสังคมวิทยา (sociocultural theory) อธิบายว่า เด็กที่ถูกทอดทิ้ง ถูกทำร้าย หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ มักมีภาวะเก็บกดและมักแสดงออกถึงพฤติกรรมไม่เป็นมิตรก้าวร้าว และอารมณ์รุนแรงได้
เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่มีพฤติกรรมรุนแรง ก็มักจะเลียนแบบพฤติกรรมของบิดา มารดา ผู้เลี้ยงดู หรือบุคคลใกล้ชิดได้
4. การพยาบาลบุคคลที่มีความโกรธ
1) การประเมินบุคคลที่มีภาวะโกรธ
ประเมินอาการทางร่างกาย ที่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อความโกรธ เช่น ความดันโลหิตสูง อัตราหัวใจเต้นเร็ว หน้าแดง มือกำแน่น ตัวแข็งแกร่ง น้ำเสียงเปลี่ยน เป็นต้น
ประเมินบุคคลดังกล่าวว่ามีความขัดแย้งในจิตใจว่ามีสูงมาก หรือน้อยเพียงใด สังเกตจากการแสดงพฤติกรรมที่มีต่อความโกรธ เช่น การพึ่งพาสารเสพติด ดื่มสุรา เป็นต้น
ประเมินพื้นฐานอารมณ์ดั้งเดิมของผู้ป่วยและระดับความอดทนของผู้ป่วยแต่ละคน รวมทั้งระดับของการแสดงอารมณ์โกรธต่อสิ่งที่มากระตุ้นให้เกิดความโกรธ
ประเมินระดับความสามารถในการสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ความสามารถในการปรับตัวเมื่อผู้ป่วยมีอารมณ์โกรธต่อ และการปรับตัวดังกล่าวมีผลกระทบต่อบุคคลอื่นหรือไม่ หรือเมื่อมีอารมณ์โกรธผู้ป่วยมีความรู้สึกโดดเดี่ยว ไร้ที่พึ่ง หรือมีความต้องการที่เอาชนะผู้อื่น โดยคงยึดอารมณ์โกรธให้คงอยู่เรื่อยไป
ประเมินความเสี่ยงในการทำร้ายตนเอง และผู้อื่นเมื่อบุคคลมีอารมณ์โกรธ โดยการสังเกตจากลักษณะคำพูด และพฤติกรรมว่า บุคคลดังกล่าวใช้คำพูดที่รุนแรง ให้ร้าย ถากถาง กำมือแน่น ขบกราม หรือใช้สายตา มีสายตาที่ไม่เป็นมิตร เป็นต้น
ประเมินความเข้าใจตนเองของผู้ป่วย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับบุคลิกภาพและอารมณ์โกรธของตนที่เกิดขึ้น มองเห็นถึงความรับผิดชอบของตนเองต่อการแสดงอารมณ์โกรธอย่างสร้างสรรค์โดยไม่รบกวนบุคคลอื่น
ประเมินสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาณ หรือมีความเชื่อ หรือปรัชญาของชีวิตที่ยึดถืออย่างไร เพื่อจะช่วยเหลือตนเอง เมื่อเผชิญกับอารมณ์โกรธ
ประเมินการใช้กลไกทางจิต ที่อาจจะเป็นผลเสียต่อการดำเนินชีวิต เช่น บางคนหันความโกรธเข้าหาบุคคลอื่น (projection) ก็อาจทำร้ายผู้อื่นได้หรือบางคนหันความโกรธเข้าหาตนเอง (introjection) ก็อาจทำร้ายตนเอง เป็นต้น
2) การวินิจฉัยทางการพยาบาล
เป้าหมายระยะสั้น
เพื่อลดภาวะเสี่ยงในการเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง
เพื่อให้ระบายอารมณ์โกรธอย่างสร้างสรรค์
เพื่อป้องกันอันตรายจากโรคทางร่างกายที่มีความเชื่อมโยงจากอารมณ์โกรธ
เป้าหมายระยะยาว
เพื่อปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพและรูปแบบการเผชิญปัญหาที่สร้างสรรค์เมื่อมีความโกรธ
เพื่อพัฒนาทักษะในการปรับตัวและสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นเมื่อมีความโกรธ
ตัวอย่างการเขียนข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อการเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงทั้งต่อตนเองและผู้อื่นเนื่องมาจากมีอารมณ์โกรธและไม่สามารถระบายอารมณ์โกรธได้อย่างสร้างสรรค์
การแสดงอารมณ์โกรธไม่เหมาะสมเนื่องจากขาดทักษะในการเผชิญปัญหาอย่างสร้างสรรค์
เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางร่างกาย เนื่องจากมีภาววะความดันโลหิตสูงที่มีความสัมพันธ์กับอารมณ์โกรธ
ขาดทักษะในการสร้างสัมพันธภาพเนื่องจากอารมณ์โกรธ
รู้สึกผิดและคิดว่าตนเองด้อยค่าเมื่อมีอารมณ์โกรธ
3) กิจกรรมทางการพยาบาล
สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดตามแบบแผนการสร้างสัมพันธภาพ เพื่อให้เกิดความไว้วางใจในตัวพยาบาล
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึก เรื่องราวต่างๆ หรือพฤติกรรมและการสื่อสารต่อบุคคลอื่น เมื่อผู้ป่วยมีอารมณ์โกรธ และให้ผู้ป่วยเชื่อมโยงถึงผลที่ตามมาของอารมณ์โกรธที่มาจากพฤติกรรมก้าวร้าวของผู้ป่วยที่ผ่านมาทั้งทางบวกและทางลบ โดยพยาบาลควรรับฟังอย่างตั้งใจ ไม่แสดงความขัดแย้งจนกว่าอารมณ์โกรธของผู้ป่วยจะลดลง
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยเรียนรู้และเข้าใจบุคลิกภาพและอารมณ์โกรธของตนเมื่อความโกรธของผู้ป่วยลดลง เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจธรรมชาติของอารมณ์โกรธและเชื่อมโยงอารมณ์โกรธต่อภาวะสุขภาพทางร่างกายตนเอง และผลกระทบทางลบของอารมณ์โกรธทั้งทางด้านจิตใจ ด้านสัมพันธภาพต่อบุคคลรอบข้างของผู้ป่วย รวมทั้งผลกระทบอื่นๆ จากอารมณ์โกรธและฝึกให้ผู้ป่วยให้อภัยตนเองที่มีอารมณ์โกรธ
ประเมินรูปแบบการเผชิญปัญหาของผู้ป่วยว่ามุ่งเน้นการแก้ไขปัญหา หรือมุ่งเน้นการการตอบสนองทางอารมณ์เพียงอย่างเดียว และรูปแบบการเผชิญปัญหาที่ผู้ป่วยเคยใช้ส่งผลอย่างไรบ้างกับผู้ป่วยทั้งด้านลบและบวกในการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย
จัดให้ผู้ป่วยเข้ากลุ่มกิจกรรมนันทนาการบำบัด ดนตรีบำบัด กลุ่มวาดภาพเพื่อระบายอารมณ์โกรธออกไปหรือจัดให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมผ่อนคลายอื่นๆ เช่น โยคะ ฝึกการหายใจ ทั้งนี้ขึ้นกับความเหมาะสมของแต่ละผู้ป่วย
ส่งเสริมและฝึกให้ผู้ป่วยใช้ทักษะการเผชิญอารมณ์โกรธอย่างสร้างสรรค์ เมื่อผู้ป่วยมีอารมณ์โกรธลดลงและยอมรับว่ามีวิธีการระบายอารมณ์โกรธอย่างสร้างสรรค์กว่าที่ผู้ป่วยเคยใช้มาก่อน เช่น การพูดระบายความรู้โกรธกับบุคคลที่ไว้วางใจ การออกกำลังกาย การทำกิจกรรมที่ต้องใช้กำลัง การนับเลข 1-100 การเล่นโยคะ การฝึกการหายใจ การใช้หลักศาสนาในการให้อภัย เป็นต้น
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้ากลุ่มกิจกรรมบำบัดร่วมกับเพื่อนผู้ป่วยเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และร่วมคิดวิธีการแก้ไขปัญหาที่สร้างสรรค์กว่าที่เคยใช้ หรือส่งเสริมให้ผู้ป่วยวางแผนในการปรับตัวใช้ทักษะการเผชิญอารมณ์โกรธอย่างสร้างสรรค์อย่างเป็นลำดับขั้นตอนที่ชัดเจน
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนวิธีการสื่อสารเมื่อมีอารมณ์โกรธ และเชื่อมโยงถึงผลที่ตามมาจากการสื่อสารที่เหมาะสมแบบใหม่อาจจัดให้เข้ากลุ่มกิจกรรมบำบัด เพื่อฝึกทักษะในการปรับตัวให้เข้ากับสังคม การสื่อสาร และการแสดงออกอย่างเหมาะสม รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับผู้ป่วยอื่นๆ
แสดงการยอมรับ ชื่นชม และให้กำลังใจผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ เมื่อผู้ป่วยใช้กลไกการเผชิญปัญหาอย่างเหมาะสม และมีพฤติกรรมที่พึงปารถนาเพิ่มมากขึ้น
ประเมินอาการและอาการแสดงทางกายที่เป็นผลมาจากอารมณ์โกรธที่เพิ่มมากขึ้น และสัมพันธ์กับอารมณ์โกรธ หากมีอาการและอาการแสดงทางกายที่เพิ่มมากขึ้นและสัมพันธ์กับอารมณ์โกรธ รายงานแพทย์และดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาพยาบาบตามแผนการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการปรับแผนการรักษาที่เหมาะสมป้องกันอันตรายจากอาการและอาการแสดงทางกายที่เป็นผลมาจากอารมณ์โกรธ
หากผู้ป่วยที่มีอารมณ์โกรธที่รุนแรง และแสดงพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตร เช่น ส่งเสียงดัง ตาขวาง กำมือแน่น พยาบาลต้องระวังตน
4) การประเมินผลทางการพยาบาล
ผู้ป่วยสามารถอธิบายวิธีการเผชิญความโกรธที่สร้างสรรค์ได้มากกว่าเดิม
ผู้ป่วยมีวิธีการระบายความรู้สึกโกรธที่สร้างสรรค์มากขึ้น โดยไม่ใช้วิธีการที่รุนแรงในการเผชิญความโกรธ
ผู้ป่วยและผู้อื่นปลอดภัยจากพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงของผู้ป่วย
ผู้ป่วยมีอาการและอาการแสดงทางร่างกายที่เป็นผลจากอารมณ์โกรธลดลง
ผู้ป่วยมีวิธีการเผชิญปัญหาที่สร้างสรรค์มากขึ้น
ผู้ป่วยสามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นได้มากขึ้น หรือสามารสื่อสารกับผู้อื่นได้ตามความต้องการของตนได้อย่างเหมาะสม
ผู้ป่วยสามารถแสวงหาแหล่งประโยชน์ที่สนับสนุน ช่วยเหลือ เมื่อผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธ หรือพฤติกรรมก้าวร้าวไม่ได้
2. ลักษณะอาการและอาการแสดงของความความโกรธ
1) ด้านร่างกาย
ระบบประสาทซิมพาทิติก (sympathetic) จะได้รับการกระตุ้นทำให้อัตราการเต้นหัวใจและความดันโลหิตสูงขึ้น หน้าแดง มือสั่น หายใจเร็วแรง ระดับสารอีพิเนฟริน (epinephrine), นอร์อีพิเนฟริน (norepinephrine) และระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ปวดศีรษะแบบไมแกรน หรืออาจมีผลกับระบบทางเดินอาหาร เช่น มีแผลในกระเพาะอาหาร หรือเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น
2) ด้านจิตใจและอารมณ์
การกระทำที่รุนแรง (violence)
เป็นปฏิริยาของพฤติกรรมก้าวร้าวที่แสดงออกด้วยการลงมือกระทำการทำร้ายหรือทำลายโดยตรง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อตนเอง ผู้อื่นหรือทรัพย์สินได้ เช่น การทำลายข้าวของ การทำร้ายร่างกาย การฆ่าผู้อื่น การฆ่าตนเอง มักจะใช้กลไกทางจิตแบบโทษผู้อื่น (projection)
แยกตัว (withdrawal)
เกิดจากการที่บุคคลเก็บกดอารมณ์โกรธไว้ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ และเพิ่มความกดดันเรื่อยๆจนต้องแยกตัวออกจากสถานการณ์ที่ทำให้เกิดอารมณ์ มักจะใช้กลไกทางจิตแบบปฏิเสธความจริง (denial of reality) แบบถดถอย (regression)
ความก้าวร้าว (aggression)
เป็นปฏิกิริยาทางคำพูดหรือการกระทำที่โต้ตอบความรู้สึกโกรธหรือผิดหวังอย่างรุนแรง มุ่งที่จะให้เกิดผลต่อบุคคลและสิ่งอื่นๆรอบตัว เช่น พูดประชดประชัน ขู่ตะคอก พูดคำหยาบคาย ทะเลาะวิวาท ใช้น้ำเสียง ถ้อยคำในการโต้ตอบที่รุนแรง มักจะใช้กลไกทางจิตแบบโทษผู้อื่น (projection)
ซึมเศร้า (depression)
เป็นการเก็บกดอารมณ์โกรธไว้กับตนเอง ไม่กล้าแสดงออก ใช้กลไกทางจิตแบบโทษตนเอง (introjection) แบบเก็บกต (repression) และแบบฝืนทำให้ตรงข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริง (reaction formation)
ความไม่เป็นมิตร (hostility
) เกิดขึ้นเมื่อบุคคลรู้สึกว่าตนเองถูกคุกคามหรือขาดพลังอำนาจ ซึ่งอาจแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาหรือซ่อนเร้น เช่น การเฉยเมยไม่พูดไม่ทักทาย บึ้งตึง เคร่งครึม คิ้วขมวด ตาขวาง ถลึงตาจ้องมองเป็นต้น มักจะใช้กลไกทางจิตแบบโทษผู้อื่น (projection)
:star:
นางสาวธาริณี ไหวพริบ รหัส 180101120