Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
CASE STUDY ANC (Elderly pregnancy with Oligohydramios :…
CASE STUDY ANC
(Elderly pregnancy with Oligohydramios : มารดาอายุมากและมีภาวะน้ำคร่ำน้อย)
ข้อมูลพื้นฐาน
มารดาหญิงไทยอายุ 38 ปี (elderly pregnancy with oligohydramios:มารดาอายุมากร่วมกับมีภาวะน้ำคร่ำน้อย)
ประวัติครอบครัว
-มารดาของผู้ป่วยเป็นความดันโลหิตสูง
ไม่มีประวัติการผ่าตัด
ประวัติการแพ้
แพ้ยาDisento , sulfa
-มีผื่นคันตามร่างกาย
ไม่มีประวัติการเจ็บป่วยในอดีต ไม่มีโรคประจำตัว
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
CBC2/3/63
Hb 12.1 g/dL ต่ำ
WBC 10.79 สูง
Neurrophil 81.6 สูง
Lymphocyte 12.9 ต่ำ
ประวัติการฝากครรภ์
การตรวจร่างกาย
conjunctiva ไม่ซีด ไม่มีฟันผุ ไม่มี thyroid ไม่บวม หัวนมไม่บอด
การตรวจครรภ์
อายุครรภ์สัมพันธ์กับอายุครรภ์
Striae gravidarum สีเงิน
Fundal grip : 3/4 > สะดือ
Umbilical grip :
last part (Right)
small (left)
FHS : 148
Pawlik’s grip : vertex presentation
Bilateral inguinal grip : head engagement
การฝากครรภ์
G2P1-0-0-1
(29 ธันวาคม 2548 : Normal labor เพศชาย 3040 g ไม่มีภาวะแทรกซ้อน )
GA 38 wks 1 day by date
มาฝากครรภ์ ANC รพ.ตร 9 ครั้ง
-ได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยัก 2 เข็ม
-เจาะเลือดและอัลตราซาวด์พบว่าทารกมีภาวะปกติจึง
ไม่ประสงค์เจาะน้ำคร่ำ
-Ultrasound AFI = 2 cm (oligohydramios ร่วมกับรกเสื่อม placenta grad 3 )
-PV 1 cm eff 25% station-1 MI
-ส่ง admit LR
BMI 20.03
น้ำหนักตลอดการตั้งครรภ์ 10.6 kg
ไตรมาสที่ 2 : 29 Wk น้ำหนักลด 0.2 Kg
38 wk น้ำหนักลง 0.5 kg เนื่องจากนอนไม่หลับ
BS 50
8 wk 4 d by date = 98
25 wk = 106
การให้คำแนะนำมารดาในไตรมาสที่ 3
(38 Wks)
การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
มารดามาด้วยอาการน้ำหนักลดและนอนไม่หลับเวลากลางคืนในไตรมาสที่ 3 ส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อน เช่น สายสะดือถูกกด รกเสื่อมสภาพ สำลักขี้เทา ทำให้อัตราการผ่าตัดคลอดเนื่องจาก non reassuring fetus เพิ่มขึ้น ปัจจัยสำคัญคือ ระยะเวลาที่มีน้ำคร่ำน้อย ควรเฝ้าตรวจติดตาม สุขภาพทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด โดยทำ non stress test (NST) และตรวจวัดดัชนีปริมาณ
น้ำคร่ำ หรือตรวจ biophysical profileสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ผลNST: non Recction ให้U/s ค่า AFI < 2 cm placenta grand 3 = postterm จึงให้ PV และส่ง admit LR เพื่อทำการผ่าตัดคลอดเนื่องจากรกเสื่อมและมีน้ำคร่ำน้องอาจส่งผลให้ทารกเกิดภาวะ fetal distress
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ไตรมาสที่1
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก
ข้อมูลสนับสนุน
หญิงตั้งครรภ์อายุ 38 ปี
Notify : Elderly Pregnancy
วัตถุประสงค์
ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก
เกณฑ์การประเมินผล
สัญญาณชีพ อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะ BP < 160/110mmHg , HR 60-100 bpm
ไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ
ผลตรวจ amniocentesis ปกติ ไม่พบความปกติของทารก
ไม่เกิดภาวะรกเกาะต่ำ (Placenta previa) รกเสื่อม
ทารกดิ้นดี FHS 110-160 bpm
ผลการตรวจ NST : reaction
BS 50 gm < 140
กิจกรรมการพยาบาล
1ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะ BP , HR เพื่อประเมินภาวะความดันโลหิตสูงเนื่องจากมารดาที่มีอายุมากจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความดัน โลหิตสูงได้มาก
2.ตรวจคัดกรองเบาหวาน โดยจะคัดกรอง Bs 50 gm เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรก หากผลเป็นปกติจะนัดมาตรวจอีกครั้ง เมื่ออายุครรภ์ 24-28 wks แต่ถ้าหากค่า Bs 50 gm > 120 gm/dL จะนัดมาตรวจค่า OGTT อีกครั้ง ใน 1 สัปดาห์ ซึ่งหากผลผิดปกติ 2 ค่าขึ้นไป จะถือว่าเป็นเบาหวาน
3.ขณะตั้งครรภ์ให้คำแนะนำมารดาเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมและความผิดปกติของโครโมโชม เนื่องจากความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุของสตรีตั้งครรภ์ที่เพิ่มขึ้น โดยจะทำการเจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis) เพื่อตรวจดูโครโมโซม และ ตรวจดูความผิดปกติของทารก เมื่อมีอายุครรภ์ 16-18 wks
4.ประเมินสภาพทารกในครรภ์ ได้แก่ การฟัง FHS โดยปกติอยู่ระหว่าง 110-160 ครั้ง/นาที การตรวจครรภ์ด้วยวิธี Leopold maneuver เพื่อประเมินลักษณะของทารกในครรภ์ และประเมินความสัมพันธ์ของขนาดและอายุครรภ์ การตรวจ NST เพื่อประเมิน FHS ของทารกที่เปลี่ยนแปลงขณะที่ทารกมีการเคลื่อนไหว และการตรวจประเมินอื่นๆตามแผนการรักษาของแพทย์
5.ติดตามผลการตรวจอัลตราชาวด์เพื่อประเมินความผิดปกติของทารก เช่น ความผิดปกติของโครงสร้างของทารกภายในครรภ์ ความผิดปกติของลำไส้ ปากแหว่งเพดานโหว่ การตรวจดูปริมาณน้ำคร่ำ ประเมินความผิดปกติของรก
การประเมินผล
สัญญาณชีพ อยู่ในเกณฑ์ปกติ
BP < 160/110mmHg , HR 95 bpm
ไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ
ผลตรวจ amniocentesis ปกติ ไม่พบความปกติของทารก
รกเสื่อม placenta grand 3
ทารกดิ้นดี FHS 148 bpm
ผลการตรวจ NST : Non reaction
BS 50 gm 104
ไตรมาส3
อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อทารกในครรภ์เนื่องจากมีน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ
วัตถุประสงค์
ไม่มีภาวะแทรกซ้อนในระยะเจ็บครรภ์คลอดและระยะรอคลอด เช่น รกลอกตัวก่อนกำหนด สายสะดือพลัดต่ำ ทารกในครรภ์พร่องออกซิเจน ตกเลือดหลังคลอด
เกณฑ์การประเมินผล
AFI 2 - 5 cm
สัญญาณชีพ อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ อุณหภูมิ 36.5-37.4 องศาเซลเซียส อัตรากรหายใจ 12-22 ครั้งนาที ชีพจร 60-100 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต < 160/110มิลลิเมตรปรอท
อัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ 110 - 160 ครั้ง/นาที จังหวะสม่ำเสมอ
ตรวจไม่พบภาวะสายสะดืออยู่ระดับส่วนนำหรือต่ำกว่าส่วนนำ
ไม่มีอาการรกลอกตัวก่อนกำหนด เช่น มีเลือดออกมาผิดปกติก่อนทารกคลอด รกเสื่อม
กิจกรรมการพยาบาล
ให้มารดาเฝ้าระวังอาการเจ็บครรภ์คลอดที่ควรมาโรงพยาบาล เช่น ปวดที่หลังร้าวไประหว่างขา นั่งพักไม่หาย มีมูกเลือด มีน้ำใสๆไหลออกมาคล้ายปัสสาวะแต่กลั้นไม่ได้
ให้มารดาสังเกตนับลูกดิ้นโดยนับหลังจากรับประทานอาหารใน 1 ชั่วโมง ทารก ควรดิ้นอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือ 10 ครั้ง/วัน
ให้พักผ่อนบนเตียง ช่วยทำกิจกรรมและปฏิบัติกิจวัตรประจำวันบนเตียง เพื่อช่วยลดการใช้พลังงานและออกซิเจน และป้องกันภาวะสายสะดือพลัดต่ำ
อธิบายเกี่ยวกับอาการและสาเหตุของความไม่สุขสบายต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้หญิงตั้งครรภ์รับรู้ เข้าใจ และให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล
แนะนำการปฏิบัติตัวเพื่อบรรเทาอาการไม่สุขสบาย เช่น การหายใจที่ลดการออกแรงโดยการฝึกหายใจ เช้า - ออก ลึกๆ ช้าๆ และใช้เทคนิคการผ่อนคลายเพื่อลดอาการ
6.ultrasound ดูน้ำคร่ำโดยถ้า <2 cm ถือว่าน้ำคร่ำน้อย
7.ultrasound ดูความเสื่อมของรก
ประเมินความก้าวหน้าของการคลอด เกี่ยวกับ การเปิดขยายของปากมดลูกหดรัดตัวของมดลูกและการเคลื่อนต่ำของส่วนนำ
ใช้ผ้าปราศจากเชื้อ (Sterile) ปูรองกัน เพื่อสังเกต
10.monitor NST เพื่อดู reaction และ สังเกต FHS ให้อยู่ระหว่าง 110 - 160 ครั้ง/นาที
11.รายงานแพทย์เพื่อวางแผนการยุติการตั้งครรภ์หากน้ำคร่ำ < 2 cm ไม่ควรคลอด NL เนื่องจากการกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวจะส่งผลให้ทารกเกิดภาวะfetal distress หรือ late decelation ควรพิจารณาผ่าทางหน้าท้อง
การประเมินผล
-มารดาสามารถรับอาการลูกดิ้นได้ถูกต้อง
AFI 2 Cm
placenta grad 3
ข้อมูลสนับสนุน
มารดามีน้ำหนักลดลง
AFI 2 cms
รกเสื่อมสภาพ grad 3
NST reaction
ไตรมาสที่2
เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์เนื่องจากน้ำหนักตัวของมารดาลดลง
วัตถุประสงค์
เพื่อให้ทารกในครภ์ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน
ข้อมูลสนับสนุน
-อายุครรภ์ 29+1 น้ำหนักมารดาลดลง 0.2 kg
กิจกรรมการพยาบาล
ให้ความรู้และข้อแนะนำในการเลือกรับประทานอาหาร ให้มารดารับประทานยาตามคำสั่งแพทย์
2.เนื้อสัตว์ต่างๆหญิงมีครรภ์ควรได้รับเนื้อสัตว์
ให้เพียงพอทุกวันจะเป็นเนื้อสัตว์ชนิดใดก็ได้แต่ไม่ควรติดหนัง
3.ไข่เป็ดหรือไข่ไก่ ควรรับประทานทุกวันประมาณ วันละ 1 ฟอง นอกจากจะมีโปรตีนมากแล้วยังมีธาตุเหล็กและวิตามินเอ
4.นมสดมีโปรตีนสูงและมีแคลเซียมที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีถ้าไม่สามารถดื่มนมได้อาจจะดื่มนมถั่วเหลืองแทนแต่ควรรับประทานเนื้อสัตว์ ไข่ หรือถั่วเมล็ดแห้งให้มากขึ้น
5.ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ ฯลฯ ซึ่งควรรับประทานสลับกับเนื้อสัตว์และรับประทานเป็นประจำ
6.ข้าวและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ถ้าหากรับประทานเป็นข้าวซ้อมมือจะทำให้ได้วิตามินบี1
และกากใยเพิ่มขึ้นซึ่งช่วยป้องกันอาการเหน็บชาและลดอาการท้องผูกได้
7.ผักและผลไม้ต่างๆควรรับประทานให้หลากหลายตามฤดูกาล รับประทานผลไม้หลังอาหารทุกมื้อและรับประทานเป็นอาหารว่างทุกวัน ผักและผลไม้เป็นแหล่งอาหารที่ให้วิตามินเกลือแร่
การประเมินผล
มารดาสามารถปฎิบัติได้และน้ำหนักขึ้นมา 0.6 kg
Oligohydramios
ภาวะน้ำคร่ำน้อย การตั้งครรภ์ที่มีปริมาณน้ำคร่ำน้อยกว่า 500 มิลลิลิตร การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงดูค่า amniotic luid index (AFI) คือค่าการคำนวณความลึกของถุงน้ำคร่ำที่ได้จากการตรวจถุงน้ำคร่ำ 4 ตำแหน่ง โคยระดับที่ปกติ คือ AFI ประมาณ 5-25 เซนติเมตร < 5 เซนติเมตร ถือว่ามีภาวะน้ำคร่ำน้อยหรือ หากวัดความลึกของถุงน้ำคร่ำเพียงตำแหน่งเดียว
ใช้ระดับถุงน้ำคร่ำที่ลึกที่สุด (single dcepcst pocket) เป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
< 2 เซนติเมตร : มีน้ำคร่ำน้อย
< 1 เซนติเมตร
: ภาวะน้ำคร่ำน้อยอย่างรุนแรง
สาเหตุ
ทารกในครรภ์มีความผิดปกติของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ไตตีบ (renal agenesis)มีถุงน้ำในท่อไต (cystic kidneys มีการอุดตันของทางออกของกระเพาะปัสสาวะ (bladder outletobstruction)
ความผิดปกติของโครโมโซม เช่น trisomy 18, turner syndrome,Meckel-Gruber syndrome
รกเสื่อมสภาพ (placenta insufficiency) ตั้งครรภ์เกินกำหนด (postterm pregnancy)
รกเสื่อมสภาพ (placenta insufficiency) ตั้งครรภ์เกินกำหนด (postterm pregnancy)
ทารกเจริญเติบโตช้ำในครรภ์ (intrauterine growth
การรั่วของถุงน้ำคร่ำก่อนกำหนดเป็นเวลานาน (prolonged premature Ieakage of membrane)
มารดาได้รับสารพิษขณะตั้งครรภ์ เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ สารเสพติด
การติดเชื้อของมารดาขณะตั้งครรภ์ เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การตั้งครรภ์แฝด ที่เกิดจากแฝดร่วมไข่ และมีการเชื่อมต่อกันผิดปกติของเส้นเลือด ทำให้เลือดถูกส่งไปเลี้ยงทารกคนหนึ่งมากผิดปกติ ส่วนทารกที่มีเลือดมาเลี้ยงน้อยกว่าปกติก็จะมีน้ำคร่ำน้อยเมื่ออายุครรภ์มากขึ้นพื้นผิวของเยื่อหุ้มถุงน้ำคร่ำจะขยายใหญ่ขึ้นปริมาณน้ำจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปริมาณน้ำคร่ำส่วนใหญ่ได้มาจากการถ่ายปัสสาวะของทารกในครรภ์ หากทารกไม่มีไตจะไม่สามารถสร้างปัสสาวะได้. ทำให้ไม่มีน้ำคร่ำหรือมีน้อยมาก (oligohydramnios) เมื่อน้ำคร่ำน้อยก็อาจ
เกิดภาวะpulmonary hypoplasia ในทารกได้บ่อยเนื่องจาก
มีการกดต่อผนังทรวงอก โดยมดลูกที่มีน้ำคร่ำน้อยจะขัดขวางการขยายตัวของปอดและผนัง
ขาดน้ำที่จะหายใจเข้าไปใน terminal airway ของปอด ผลตามมา คือ การหยุดเติบโตของปอด
อาจเกิดจากการผิดปกติของปอดเอง จะเห็นว่าปริมาณน้ำคร่ำที่หายใจเข้าในตัวทารกที่ปกติ
การวินิจฉัย
การซักประวัติ ประวัติการตั้งครรภ์ในอดีตและปัจจุบัน ความผิดปกติของการตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะน้ำคร่ำน้อยผิดปกติ อาจให้ประวัติว่ามีน้ำเดินออกทางช่องคลอด การรับรู้และการเผชิญกับสถานการณ์ของหญิงตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับความผิดปกติที่เกิดขึ้น จะทำให้หญิงตั้งครรภ์วิตกกังวล ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองลดลง
การตรวจร่างกายและการตรวจครรภ์
ตรวจทางหน้าท้องและตรวจครรภ์ มักตรวจพบระดับยอดมดลูกและทารกในครรภ์เล็กกว่าอายุครรกั ซึ่งเป็นอาการบ่งชี้ถึงกาวะการเจริญเติบโตช้ำในครรภ์ ทารกในครรภ์มีการเคลื่อนไหวน้อยและคลำได้ส่วนต่างๆ ของทารกชัดเจน
ตรวจร่างกายระบบต่างๆ เพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อนและความผิดปกติอื่นๆ โดยหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ พบว่า มีน้ำคร่ำออกมาปริมาณน้อย
การประเมินภาวะแทรกซ้อน คือหากเกิดในครรภ์ที่มีอายุครรภ์น้อย ทารกในครรภ์จะมีความพิการรุนแรงและเสียชีวิต ภาวะแทรกซ้อนของภาวะน้ำคร่ำน้อยส่งผลต่อทารก ดังนี้
การกดของผนังมดลูกต่อทารกในครรภ์ทำให้ทารกมีความผิดปกติทางรูปร่าง เช่น หน้าตา ผิดปกติ จมูกแบน ตาเล็ก แขนขาโก่ง หรือเท้าปุก (กลุ่ม Potter's syndrome) และอาจเกิดสายสะดือย้อยทำให้ทารกอยู่ในภาวะคับขัน (fetal distress) มีภาวะขาดออกซิเจน (asphyxia) เกิดอัตราการตายของทารกในครรภ์ และอัตราการตายปริกำเนิด
ภาวะปอดมีการเจริญเติบโตน้อย (pulmonary hypoplasia) เกิดจากทรวงอกทารกถูกกด
เป็นเวลานาน ทำให้ปอดไม่สามารถขยายตัวได้ เกิดภาวะปอดแฟบ
อัตราการตายปริกำเนิดสูงกว่าการตั้งครรภ์ปกติ เนื่องจากความผิดปกติของทารกในครรภ์
เช่น ความพิการแต่กำเนิด การเจริญเติบโตช้ในครรภ์ และมีภาวะขาดออกซิเจน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงและผลการตรวจวัดระดับน้ำคร่ำ amniotic fluid index: AFI
พบว่า น้อยกว่า 5 เซนติเมตร
การทดสอบความเป็นกรด-ด่าง (PH) ของน้ำในช่องคลอด ถ้าพบว่า pH > 6.5 แสดงว่า
น้ำคร่ำรั่วออกมา หรือการตรวจวินิจฉัยการรั่วออกของน้ำคร่ำวิธีอื่นๆ
การรักษา
การรักษาภาวะน้ำคร่ำน้อยขึ้นอยู่กับสาเหตุและอายุครรภ์ของทารกถ้าหากเป็นความผิดปกติทางโครโมโซมของทารกไม่สามารถแก้ไขได้ อาจต้องมารักษาหลังคลอด หากมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้น้ำคร่ำน้อย การหยุดปัจจัยเสี่ยง จะช่วยทำให้ปริมาณน้ำคร่ำมากขึ้นได้
กรณีที่อายุครรภ์ยังน้อยและเกิดการรั่วของถุงน้ำคร่ำ ให้การรักษาโดยการนอนพัก งดทำงานหนัก ต้องระวังภาวะติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำ และการฉีดน้ำเกลือเข้าไปในถุงน้ำคร่ำ จะสามารถช่วยเพิ่มปริมาณน้ำคร่ำได้
กรณีที่อายุครรภ์มากพอที่ทารกจะมีชีวิตรอดภายนอกมดลูกได้แพทย์จะพิจารณาให้คลอดโดยส่วนใหญ่มักจะสิ้นสุดด้วยการผ่าท้องคลอดเนื่องจาก ภาวะน้ำคร่ำน้อยจะส่งผลให้ทารกขาคออกซิเจนได้จากการหดรัดตัวของมดลูก ระหว่างคำเนินการคลอดทางช่องคลอด
Elderly pregnancy
การตั้งครรภ์ในสตรีอายุมาก
ความเสี่ยง
การแท้งบุตร (miscarriage) เกณฑ์การวินิจฉัยภาวะแท้งในประเทศไทย คืออายุครรภ์น้อยกว่า 24 wks หรือน้ำหนักไม่เกิน 650 g
การตั้งครรภ์นอกมดลูก (ectopic pregnancy) สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของท่อนำไข่
ทารกตายคลอด (stillbirth) คือ ทารกเสียชีวิตในครรภ์ในระยะที่สามารถรอดชีวิตได้ (viable period) ตั้งแต่อายุครรภ์ 25 wksขึ้นไป
ทารกมีโครโมโซมผิดปกติ (chromosomal abnormalitie) เช่น trisomy โครโมโซมเกิน monosomy โครโมโซมขาด
การตั้งครรภ์แฝด (multifetal pregnancy)
การคลอดก่อนกำหนด ((preterm birth) เช่น จากการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดเอง (spontaneous preterm birth)
ภาวะแทรกซ้อนที่จำเป็นต้องดำเนินการให้คลอดก่อนกำหนด (indicated preterm birth) เช่น ภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนการเจ็บครรภ์
ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย (low birth weight;LBW) เกิดได้จากการคลอดก่อนกำหนด ภาวะทารกโตช้าในครรภ์
ทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อยกว่า 2500 g (low birth weight;LBW)
-ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1500 g (very low birth weight;VLBW)
-ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1000 g (extremely low birth weight; ELBW)
การผ่าท้องทำคลอด (cesarean section)
ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น placenta Previous รกเสื่อม
ภาวะแทรกซ้อนทางอายุรกรรม(marternal medical complications)
ภาวะความดันโลหิตสูง (hypertension) ควรเฝ้าระวัง ภาวะครรภ์เป็นพิษ ทารกโตช้าในครรภ์ เป็นต้น
ภาวะเบาหวานก่อนตั้งครรภ์ (pregestational diabetes) GDM A1 Flashing blood sugar ปกติ 4 ค่า : GDM A2
การดูแลรักษา (management)
การดูแลในระยะก่อนตั้งครรภ์ (preconceptional care)
เนื่องจากสตรีสูงอายุมีอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการตั้งครรภ์สูงขึ้นอย่างชัดเจน การวางแผนและเตรียมตัวตั้งครรภ์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนี้
การให้คำปรึกษาแก่สตรีสูงอายุในระยะก่อนตั้งครรภ์ (preconceptional counseling) สตรีสูงอายุที่วางแผนจะมีบุตรควรได้รับความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงในระหว่างการตั้งครรภ์ที่จะเพิ่มมากขึ้นในแง่มุมต่างๆ ดังนี้
ความเสี่ยงทางสูติศาสตร์ (obstetric complications) เช่น การแท้งบุตร
การตั้งครรภ์นอกมดลูก ทารกตายคลอด
การคลอดก่อนกำหนดและการตั้งครรภ์แฝด เป็นต้น
ความเสี่ยงต่อภาวะทุพพลภาพและการตายทารกปริกำเนิด
(perinatal morbidity and mortality) เช่น การคลอดก่อนกำหนดทั้งจากโรคของสตรีตั้งครรภ์เองและจากภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด และภาวะทารกโตช้าในครรภ์ เป็นต้น
ความเสี่ยงที่ทารกจะมีโครโมโซมผิดปกติ (fetal aneuploidy)
ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุของสตรีและความเสี่ยงที่ทารกจะพิการแต่กำเนิด
ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือดของสตรีตั้งครรภ์
ความเสี่ยงจากโรคประจำตัวและภาวะแทรกซ้อนทางอายุรกรรม (medical complications)
เช่น โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน เป็นต้น
ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของสตรีตั้งครรภ์ (maternal mortality) ทั้งในระยะตั้งครรภ์
ระยะคลอด และระยะหลังคลอด
การเตรียมความพร้อมของสตรีสูงอายุในระยะก่อนตั้งครรภ์ (preconceptional preparation) สตรีสูงอายุควรเข้ารับการซักประวัติ ตรวจร่างกายและตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการ โดยเฉพาะสตรีสูงอายุที่มีโรคประจำตัวเพื่อประเมินความรุนแรง การดำเนินโรค ภาวะแทรกซ้อน และการควบคุมโรค สำหรับสตรีสูงอายุที่ไม่ทราบว่าตนเองมีโรคประจำตัวหรือไม่ ก็ควรได้รับการตรวจประเมินนี้เช่นกัน ดังนี้
การซักประวัติอาการของโรคทางอายุรกรรมที่ พบบ่อยเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
การตรวจร่างกาย โดยเฉพาะการตรวจความดันโลหิต การตรวจจอตา (eye ground)การตรวจระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบประสาท ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
การตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการ*03) เช่น การตรวจน้ำตาลในเลือด (fasting plasma glucose, FPG) การตรวจการทำงานของไต (creatinine: Cr) การตรวจโปรตีนในปัสสาวะ 24 ชั่วโมง (urine protein)
การตรวจคัดกรองความเสี่ยง
ระยะก่อนการตั้งครรภ์
แนะนำการเตรียมตัวและวางแยนการตั้งครรภ์โดยการตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฎิบัติการ
เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะอ้วน
คัดกรองธาลัสซีเมีย
ฉีดหัดเยอรมัน ไวรัสตับอักเสบ แนะนำความเสี่ยงและการป้องกันความเสี่ยงและการป้องกันเพื่อเป็นข้อมูลการตัดสินใจ
ระยะตั้งครรภ์
ความพิการแต่กำเนิด โดยธีการตรวจวินิจฉัยทารกก่อนคลอด (prenatal diagnosis) ได้แก่ chorionic villus sampling, amniocentesis, cordocentesis
การตรวจคัดกรอง สารเคมีในเลือด หรือ โครโมโซม โดยตรวจเลือดแม่
การเจาะน้ำคร่ำ และนำเซลล์ที่เจาะได้จากน้ำคร่ำมาตรวจหาทางพันธุกรรมเจาะเลือดจากแม่ดยหลักการจะเป็นการหาเซลล์ของทารก ที่หลุดออกมาและผ่านตัวรก
เข้าสู่กระแสเลือดของแม่triple screening หรือquadruple screeningเป็นการหาสารชีวเคมีในร่างกายแม่ เทียบกับค่าของสตรีตั้งครรภ์ปกติ ผลที่ได้จะมีความแม่นยำประมาณ 70-80 % ตรวจวินิจฉัยทารกในครรภ์ ว่ามีโอกาสเป็นเด็กดาวน์หรือเด็กที่มีโครโมโซมผิดปกติ