Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 3.3 การพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาจิตสังคมบุคคลที่มีภาวะสูญเสียและเศร้าโศก…
บทที่ 3.3 การพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาจิตสังคมบุคคลที่มีภาวะสูญเสียและเศร้าโศก
ความหมาย
ภาวะเศร้าโศก (grief) เป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์และจิตใจที่เกิดขึ้นภายหลังจากบุคคลเผชิญกับการสูญเสียหรือคาดว่าจะมีการสูญเสียเกิดขึ้น
การสูญเสีย (loss) เป็นการที่บุคคลพลัดพรากจากบุคคล สัตว์เลี้ยง สิ่งของ อวัยวะ หรือความรู้สึก ซึ่งบุคคลให้คุณค่าว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญกับชีวิต เมื่อมีการสูญเสียจะมีปฏิกิริยาต่อการสูญเสียนั้น ๆ ซึ่งเป็นการแสดงออกที่เจ็บปวดทั้งด้านร่างกาย จิตใจ การรู้คิด และพฤติกรรม ซึ่งแตกต่างกันออกไป แต่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับภาวะเศร้าโศก บางคนสามารถเผชิญกับการสูญเสียได้ดี แต่บางคนไม่สามารถเผชิญต่อการสูญเสียได้
ประเภท
ภาวะสูญเสีย
การสูญเสียตามช่วงวัย(maturational loss) เช่น เด็กที่ต้องหย่านมแม่การต้องออกจากโรงเรียน
การสูญเสียภาพลักษณ์หรืออัตมโนทัศน์(loss of body image or some aspect of self) ด้านร่างกายหรือจิตสังคม เช่น การสูญเสียอวัยวะในร่างกาย การป่วยเรื้อรัง
การสูญเสียสิ่งของภายนอก (loss of external object) เช่น ทรัพย์สินเงินทอง
การสูญเสียความรักหรือบุคคลสำคัญในชีวิต (loss of a love or a significant other) เช่น การ ตายของบิดา
ภาวะเศร้าโศก
การเศร้าโศกแบบปกติ (normal grief) เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อภาวะเศร้าโศกของบุคคลแบบปกติที่มีต่อการสูญเสียในรายที่ปรับตัวได้ เเบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะเฉียบพลัน และระยะ เผชิญกับความสูญเสีย
การเศร้าโศกแบบผิดปกติ (maladaptive grief) เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อภาวะเศร้าโศกของ บุคคลที่ไม่สามารถปรับตัวต่อการสูญเสียตามกระบวนการของภาวะเศร้าโศกแบบปกติ
chronic grief reaction เป็นปฏิกิริยาความเศร้าโศกเรื้อรังยาวนานหลายปีไม่ลดลง
delayed grief reaction เป็นปฏิกิริยาเศร้าโศกที่ล่าช้า บุคคลไม่สามารถแสดงความเศร้าโศกออกมาได้ ทำให้กระบวนการเศร้าโศกไม่เริ่มต้นหรือไม่สิ้นสุด ถ้าได้รับการกระตุ้นทำใหเกิดการตอบสนองที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ
grief reaction เป็นปฏิกิริยาเศร้าโศกที่เกินจริง ทำให้เสียหน้าที่ด้านต่าง ๆ อย่างชัดเจน เช่น มีphobia อย่างมากเป็นเวลานาน 6 เดือน ถือว่ามีพยาธิสภาพทางจิตใจ คือ เศร้าโศกได้นานเกินกว่า 1 ปี และมีลักษณะอาการและอาการแสดง คือ แยกตัว ไม่สนใจตนเองและสิ่งแวดล้อม ไม่มีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต และมีภาวะซึมเศร้าและความคิดฆ่าตัวตาย
ปฏิกิริยาการแสดงออกทางอารมณ์
ภาวะเศร้าโศก
ระยะเฉียบพลัน เกิดขึ้นในช่วง 4 – 8 สัปดาห์แรก ช็อค ไม่เชื่อ และไม่ยอมรับ ตื่นตะลึง ตัวชา และปฏิเสธ หากปฏิกิริยาการใช้เวลานานเป็นหลาย ๆ เดือน จะแสดงถึงพยาธิสภาพของการปัญหาทางจิตใจ รุนแรงมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการให้คุณค่า มักแสดงออกด้วยการเสียใจ การร้องไห้ รับประทานอาหารน้อยลง
ระยะเผชิญกับการสูญเสีย หลังจากที่บุคคลผ่านช่วงวิกฤตในระยะเฉียบพลันแล้ว ภาวะของการ เศร้าโศกจะยังมีอยู่ในจิตใจ
อาการแสดงทางกาย เช่น มีความรู้สึกหายใจขัด อ่อนเพลีย ตัวชา หน้ามืด คอแห้ง คลื่นไส้อาเจียน
อาการทางจิตใจ เช่น คิดหมกมุ่น อยู่กับสัญลักษณ์หรือตัวแทนของบุคคลที่สูญเสีย เช่น รูป หดหู่ ว้าเหว่ กระวนกระวาย แยกตัว ไม่ยอมรับความจริง โทษตนเอง ขาดสมาธิ แปลภาพผิด, ประสาทหลอน
ภาวะการสูญเสีย
ระยะพัฒนาการตระหนักรู้ถึงการสูญเสีย (developing awareness) เป็นระยะที่บุคลเริ่มมีสติ โดยส่วนใหญ่จะไม่เกิน 6 เดือนภายหลังจากมีการสูญเสียเกิดขึ้น
ระยะพักฟื้น (restitution) เป็นระยะที่บุคคลจะมีการปรับตัวเพื่อฟื้นคืนสู่ภาวะปกติ เริ่มยอมรับ ความจริง
ระยะช็อค (shock and disbelief) เป็นระยะแรกที่รับรู้ถึงการสูญเสียจะตกใจ ไม่เชื่อ ปฏิเสธ อาจเกิดความรู้สึกมึนชาใน 2 -3 ชั่วโมงถึง 2 -3 สัปดาห์
การพยาบาล
2) การวินิจฉัย
ระยะสั้น เพื่อลดภาวะซึมเศร้าหรืออาการแสดงที่เป็นภาวะเศร้าโศกแบบผิดปกติให้กลับสู่ภาวะปกติ
ระยะยาว เพื่อฝึกทักษะการยอมรับความจริงของชีวิตโดยเฉพาะในเรื่องการสูญเสีย
เช่น เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายซ้ำเนื่องจากมีภาวะซึมเศร้าจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
1) การประเมิน
ประเมินระดับการให้คุณค่า และความหมายของสิ่งสูญเสีย
ประเมินระดับความรุนแรงของอาการ
ประสบการณ์การสูญเสียในอดีต รูปแบบที่ใช้จัดการการสูญเสียและภาวะเศร้าโศกของผู้ป่วย
3) กิจกรรมการพยาบาล
ใช้เทคนิคการสื่อสารเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึก
สร้างสัมพันธภาพแบบตัวต่อตัวให้เกิดความไว้วางใจ และส่งเสริมสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้ป่วยและครอบครัว
ชี้ให้ผู้ป่วยเปรียบเทียบกับประสบการณ์การสูญเสียของตนเองกับผู้อื่นที่มีลักษณะรุนแรงกว่า
จัดกิจกรรมหรือจัดให้เข้ากลุ่มบำบัดที่ได้ผ่อนคลาย
4) การประเมินผล
ผู้ป่วยสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้มากขึ้น และแสวงหาแหล่งสนับสนุนช่วยเหลือที่เหมาะสมได้
ผู้ป่วยมีวิธีการเผชิญหน้าปัญหาที่เหมาะสมมากขึ้น