Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล - Coggle Diagram
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ไตรมาส2
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเเทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์
เนื่องจากมารดาอายุมาก
ข้อมูลสนับสนุน
มารดามีอายุ 41 ปี
Notify : Elderly pregnancy
มารดามีโรคประจำตัวคือ Chronic hypertension
วัตถุประสงค์
เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์เมื่อมีอายุมาก
เกณฑ์การประเมิน
1.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะ
ความดัน < 140/90 ไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ
ไม่มีอาการปวดหัว ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่
2.FHS อยู่ในระหว่าง 110-160 ครั้ง/นาที
3.ผลการตรวจ Amniocentesis ไม่พบความผิดปกติของโครโมโซม
4.ผลการตรวจ NST Reactive ดี
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินสัญญาณชีพ เพื่อดูความผิดปกติของมารดา โดยเฉพาะความดันโลหิตสูง
2.ให้คำแนะนำแก่มารดาเกี่ยวกับการเจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis) เพื่อดูความผิดปกติของโครโมโซม เมื่อ GA 16-18 wks.
3.ประเมินสภาพทารกในครรภ์ โดยการฟัง FHS และทำการตรวจ NST เมื่อ GA > 28 wks หรือทำการ U/S ดูสภาพทารกในครรภ์
4.สอนมารดานับลูกดิ้นในท้อง เพื่อประเมินดูสภาพทารกในครรภ์ ดังนี้ ควรดิ้นอย่างน้อย 10 ครั้ง/วัน
นับหลังรับประทานอาหาร, สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ลูกดิ้นน้อยลง
การประเมินผล
มารดาทำ Nifty ได้ผล Low risk ไม่พบความผิดปกติ
มารดาทำ NST เมื่อ GA 33 wks ได้ผล Reactive
FHS อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ความดันโลหิตของมารดาสูงเล็กน้อย
ไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ ไม่มีอาการปวดหัว ตาพร่ามัว
ส่งเสริมพัฒนาการทารกในครรภ์
ข้อมูลสนับสนุน
มารดาตั้งครรภ์ในไตรมาส2
เกณฑ์การประเมิน
1.ทารกดิ้นมากกว่า 10 ครั้ง/วัน
2.มารดาบิดา มีความรู้ในการส่งเสริมพัฒนาการทารกในครรภ์
3.มารดาสามารถบอกเกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการทารกในครรภ์ได้ถูกต้อง
วัตถุประสงค์
เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทารกในครรภ์
กิจกรรมการพยาบาล
1.บอกความสำคัญของการส่งเสริมพัฒนาการทารกในครรภ์แก่บิดามารดา เพื่อให้เกิดความตระหนักในการส่งเสริมพัฒนาการ
2.ให้ความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการ ดังนี้
-พัฒนาการด้านการรับรู้ = 17-20 wks *นั่งเก้าอี้โยก
-พัฒนาการด้านการได้ยินเสียง = 21-24 wks *พูดคุยกับลูก
-ทารกเริ่มรับรู้แสง = 25-28 wks *ส่องไฟที่หน้าท้อง
2.ให้ความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการ ดังนี้
-พัฒนาการด้านการรับรู้ = 17-20 wks
นั่งเก้าอี้โยก
-พัฒนาการด้านการได้ยินเสียง = 21-24 wks
พูดคุยกับลูก
-ทารกเริ่มรับรู้แสง = 25-28 wks *ส่องไฟที่หน้าท้อง
3.แนะนำให้มารดานับลูกดิ้น เพื่อประเมินสภาพทารกในครรภ์
4.สอบถามเกี่ยวกับความเข้าใจของมารดาในการส่งเสริมพัฒนาการทารกในครรภ์
การประเมินผล
มารดาสามารถบอกเกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการทารกในครรภ์ได้
เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากหญิงตั้งครรภ์มีน้ำหนักเพิ่มมากกว่าเกณฑ์
ข้อมูลสนับสนุน
มารดามี BMI 24.98 กิโลกรัมต่อตารางเมตร
มารดามีน้ำหนักเพิ่ม 13.5 kg. (GA 33 wks.)
วัตถุประสงค์
เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากน้ำหนักตัวเพิ่มมากกว่าปกติ
เกณฑ์การประเมิน
1.ระดับน้ำตาล BS < 140 หรือไม่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง
2.มารดาไม่มีภาวะคลอดก่อนกำหนด
กิจกรรมการพยาบาล
1.บอกความสำคัญของการควบคุมน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ให้แก่มารดา และแนะนำเกี่ยวกับการควบคุมน้ำหนักตัวให้คงที่ เพื่อให้มารดาเกิดความตระหนักในการควบคุมน้ำหนัก
2.แนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีรสชาติหวาน หรือของจุกจิก เพราะอาจทำให้น้ำหนักตัวของมารดาเพิ่มขึ้นได้
3.ตรวจคัดกรองเบาหวาน โดยใช้ BS 50 g. เมื่อมาฝากครรภ์ครั้งแรก หากผลปกติให้นัดตรวจอีกครั้ง เมื่อ GA 24-28 wks
(เมื่อ GA 24-28 wks ค่า BS > 140 ให้ตรวจ OGTT อีกครั้งใน 1 สัปดาห์
การประเมินผล
มารดาตรวจคัดกรองเมื่อ GA 26 wks ได้ค่า BS 133 mg/dL (ปกติ)
ไตรมาส1
มารดามีความวิตกกังวลเกี่ยงก้อนเนื้อบริเวณรังไข่ (Cyst)
ข้อมูลสนับสนุน
U/S พบ cyst 3.3x4.1x5.0 cm.
U/S ผล Cyte 3.8x4.3 cm. เมื่อ GA 9 wks
มารดาบอกว่า ‘ไม่อยากอาหาร กังวลเรื่องก้อนที่รังไข่’
วัตถุประสงค์
เพื่อลดความวิตกกังวลของมารดา
เกณฑ์การประเมิน
1.มารดาไม่มีหน้านิ่วคิ้วขมวด
2.มารดาไม่มีความวิตกกังวล
กิจกรรมการพยาบาล
1.พูดคุยกับมารดาเพื่อสร้างความไว้วางใจ ให้โอกาสมารดาได้ระบายความกังวลใจ
2.รับฟังมารดาด้วยความสนใจ สบตา ใส่ใจในเรื่องที่มารดาเล่า เป็นการเเสดงออกของความใส่ใจ
3.ให้ความรู้เกี่ยวกับก้อนในท้องของมารดาว่าเป็นก้อน Cyst ไม่เป็นอันตราย
4.แนะนำให้มารดาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยเกี่ยวกับก้อนในท้อง พร้อมกับให้แนวทางในการรักษาอย่างเหมาะสม
การประเมินผล
มารดาไม่มีหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่มีความวิตกกังวล
ไตรมาส3
เสี่ยงต่อการเกิดรกเกาะต่ำ
ข้อมูลสนับสนุน
มารดามีอายุ 41 ปี
มารดามีประวัติ Placenta previa ในครรภ์ก่อน
วัตถุประสงค์
มารดาไม่เกิดภาวะรกเกาะต่ำ
กิจกรรมการพยาบาล
1.แนะนำมารดาเกี่ยวกับการสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นจากการที่เกิดรกเกาะต่ำ คือ มีเลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่มีอาการเจ็บครรภ์
2.แนะนำให้มารดาตรวจ U/S เพื่อประเมินดูการเกาะของรก ซึ่งถือเป็นวิธีการที่เเม่นยำที่สุด
3.หากมารดามีอาการผิดปกติ ควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อทำการรักษา เนื่องจากมารดาอาจเกิดภาวะตกเลือดได้
เกณฑ์การประเมิน
1.มารดาไม่มีเลือดออกทางช่องคลอด โดยไม่เจ็บครรภ์
2.ผล U/S ไม่พบรกเกาะต่ำทั้ง 4 ประเภท
3.มารดาสามารถบอกอาการผิดปกติที่มาโรงพยาบาลได้
การประเมินผล
1.มารดาไม่มีเลือดออกทางช่องคลอด
2.ผล U/S ปกติ ไม่พบรกเกาะต่ำ
3.มารดาสามารถบอกอาการผิดปกติที่มาโรงพยาบาลได้
เสี่ยงต่อการเกิด preecalmpsia เนื่องจากความดันโลหิตสูง
ข้อมูลสนับสนุน
มารดาเป็น Chronic hypertension
มารดาบอกว่า ‘รับประทานยาลดความดันมาตลอด’
วัตถุประสงค์
เพื่อป้องกันการเกิด Preeclampsia ของมารดา
เกณฑ์การประเมิน
1.ความดันโลหิต <160/110 mmHg
2.มารดาไม่มีอาการปวดหัว ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่
3.มารดาสามารถบอกอาการผิดปกติที่ควรมาโรงพยาบาลได้
4.ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติ อยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ ค่าเม็ดเลือดแดง เอนไซม์ตับ เกร็ดเลือด
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะความดันโลหิต ไม่ควรเกิน 160/110 mmHg เนื่องจากอาจเกิด Eclampsia ตามมาได้
2.แนะนำมารดาเกี่ยวกับการสังเกตอาการผิดปกติ คือ ปวดหัว ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่
3.ตรวจทางห้องปฏิบัติการ นั่นคือ เม็ดเลือดแดง เอนไซม์ตับ เกร็ดเลือด เพื่อประเมินภาวะ HELLE Syndrome
4.ควรงดกิจกรรมหนัก ไม่ลุกเดินบ่อย
5.ให้มารดาชั่งน้ำหนัก วัดความดันทุกครั้งในการมาฝากครรภ์ตามนัด เพื่อประเมินดูความผิดปกติของความดันสูง
การประเมินผล
1.ความดันโลหิต <160/110 mmHg
2.มารดาไม่มีอาการปวดหัว ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่
3.มารดาสามารถบอกอาการผิดปกติที่ควรมาโรงพยาบาลได้
4.ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการอยู่ในเกณฑ์ปกติ
มารดาขาดความรู้ในการคุมกำเนิด
ข้อมูลสนับสนุน
มารดาบอกว่า ‘ยังไม่ได้คืดเกี่ยวกับเรื่องคุมกำเนิด’
มารดาอายุ 41 ปี (Elderly pregnancy)
วัตถุประสงค์
ส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดแก่มารดา
เกณฑ์การประเมิน
1.มารดามีความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิด
2.มารดาสามารถบอกถึงข้อดีของการคุมกำเนิดได้
กิจกรรมการพยาบาล
1.ให้ความรู้เกี่ยวกับข้อดีของการคุมกำเนิด และการตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก เพื่อให้มารดาสามารถตัดสินใจคุมกำเนิดได้
2.สอบถามเกี่ยวกับการวางแผนคุมกำเนิดของมารดา เพื่อประเมินความเข้าใจของมารดา
3.ให้ความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดแก่มารดา ดังนี้
-ถุงยางอนามัย สามารถป้องกันได้ง่าย
-ห่วงคุมกำเนิด สามารถคุมได้ 5-6 ปี
-การทำหมันหญิง ทำได้ทันทีตอนคลอด หรือหลังคลอด 24-48 ชั่วโมง
-การฉีดยาคุม สามารถให้นมบุตรต่อได้
-การฝังยาคุม สามารถอยู่ได้นาน 3-5 ปี
การประเมินผล
1.มารดามีความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิด
2.มารดาสามารถบอกถึงข้อดีของการคุมกำเนิดได้