Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
4.4 การพยาบาลเด็กและวัยรุ่นที่มีการเจ็บป่วยทางจิตเวช โรคภาวะออทิซึมสเปกตรั…
4.4 การพยาบาลเด็กและวัยรุ่นที่มีการเจ็บป่วยทางจิตเวช โรคภาวะออทิซึมสเปกตรัม
ความหมาย
กลุ่มโรคที่มีความผิดปกติของพัฒนาการทางระบบประสาท ที่มีความบกพร่องของพัฒนาการด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การสื่อสารร่วมกับความผิดปกติของพฤติกรรม และความสนใจหมกหมุ่นในบางเรื่อง
ลักษณะอาการและอาการแสดง
ด้านการสื่อสารและด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
มีความผิดปกติทางอารมณ์และทางสังคม
ไม่มีการสบสายตา,
ไม่แสดงสีหน้ากิริยาท่าทาง
ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก
ไม่รู้ร้อนรู้หนาวและไม่รู้จักหลีกเลี่ยงอันตราย
มีความบกพร่องด้านการสื่อสาร
บกพร่องในการเข้าใจภาษาและการใช้ภาษากายในการสื่อสาร,
ไม่สามารถผสมผสานระหว่างการสื่อสารแบบวัจนภาษาและอวัจนภาษา
การใช้คําพูดหรือการใช้ภาษาที่ไม่มีบุคคลอื่นสามารถเข้าใจได้
พูดช้า ชะงัก
มีความบกพร่องในการสร้าง รักษา และเข้าใจในสัมพันธภาพ
ชอบเล่นคนเดียว,
ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน
มีความยากลําบากในการเล่นตามจินตนาการหรือการเล่นบทบาทสมมติ
มีแบบแผนพฤติกรรม ความสนใจ หรือกิจกรรมที่จํากัดซ้ําๆ (stereotyped)
มีการแสดงกิริยาบางอย่างซ้ํา (mannerism) เช่น การสะบัดมือ การหมุนตัว การหมุนต้นคอการโยกตัว ใช้วัตถุให้มีการเคลื่อนไหวซ้ําๆ หรือใช้คําพูดซ้ําๆ
ยึดติดกับสิ่งเดิม กิจวัตรประจําวันเดิม หรือแบบแผนการสื่อสารเดิมๆ ซ้ําๆ
หมกหมุ่นกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด
มีการตอบสนองต่อการรับสัมผัสสิ่งเร้าที่เข้ามากระตุ้น (เช่น แสง สี เสียง สัมผัส เป็นต้น) มากหรือน้อยกว่าบุคคลทั่วไป
การบําบัดรักษา
1) การรักษาทางยา
ยา methylphenidate ใช้บรรเทาอาการขาดสมาธิ พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง วิ่งไปมา
ยา haloperidol กับ risperidone ที่ใช้บรรเทาอาการหงุดหงิด พฤติกรรมวุ่นวาย ก้าวร้าวพฤติกรรมทําร้ายตนเองหรือผู้อื่น
ยา fluoxetine ใช้บรรเทาอาการซึมเศร้า ลดพฤติกรรมซ้ําๆ
ยา lorazepam ใช้บรรเทาอาการวิตกกังวล
2) พัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร ด้วยการทําอรรถบําบัด (speech therapy) ภาพเพื่อการสื่อสาร (picture exchange communication system:PECS)
3) พัฒนาด้านทักษะทางสังคม (social skills)
สบสายตาบุคคลอื่นเวลาต้องการสื่อสาร
กระตุ้นความเข้าใจในอารมณ์ทั้งของตนเองและผู้อื่น
4) พฤติกรรมบําบัด(behavioral therapy)
5) การบําบัดทางความคิด และพฤติกรรม (cognitive behavioral therapy: CBT)
6) ศิลปะบําบัด (art therapy) พัฒนาการด้านอารมณ์
7) ดนตรีบําบัด (music therapy)
8) การฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการศึกษา (educational rehabilitation) เช่น การศึกษาพิเศษเฉพาะทาง, การเรียนร่วม, ห้องเรียนคู่ขนานกับห้องเรียนปกติ,
9) การให้คําแนะนําครอบครัว
10) การฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ (vocational rehabilitation)
การพยาบาล
การประเมินสภาพ (assessment)
การซักประวัติเป็นการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาการสําคัญ
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต ประวัติส่วนตัว
ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว
ประวัติการตั้งครรภ์ ประวัติการคลอด
ประวัติการเจ็บป่วยของมารดาและครอบครัว
ประวัติการเจ็บป่วยของเด็ก ประวัติการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก
การประเมินทางร่างกาย
การตรวจร่างกาย ลักษณะทั่วไป ศีรษะและคอ การตรวจช่องปากและฟัน ระบบหัวใจและหลอดเลือด และระบบประสาท
ผลการตรวจอื่นๆ เช่น ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การประเมินพัฒนาการ
การสังเกตพฤติกรรม
การใช้แบบคัดกรองพัฒนาการตามช่วงวัย
• PDDSQ ที่ใช้คัดกรองเด็กที่มีอายุ1-4 ปี
• PDDSQ ที่ใช้คัดกรองเด็กที่มีอายุ4-18 ปี
การประเมินสภาพจิต
สัมพันธภาพในครอบครัว รูปแบบการติดต่อสื่อสารของบุคคลในครอบครัว
รูปแบบการเลี้ยงดู
การเรียน
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มีพฤติกรรมก้าวร้าวเนื่องจากขาดความสามารถในการควบคุมตนเอง
มีความบกพร่องด้านการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นเนื่องจากมีพฤติกรรมแยกตัว
เสี่ยงต่ออุบัติเหตุเนื่องจากมีพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง
เสี่ยงต่อการทําร้ายตนเองเนื่องจากขาดความสามารถในการควบคุมตนเอง
เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารเนื่องจากมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารซ้ําซาก
กิจกรรมการพยาบาล
การฝึกกิจวัตรประจําวัน ให้เด็กรู้จักทํากิจวัตรประจําวัน
เมื่อตื่นนอนตอนเข้า ต้องไปเข้าห้องน้ํา อาบน้ํา แต่งตัว เก็บที่นอน ช่วยจัดโต๊ะรับประทานอาหารประทานอาหารร่วมกัน
ฝึกทักษะการสื่อความหมาย
เลียนแบบกิริยาท่าทางต่าง ๆ
เลียนแบบการออกเสียง
รู้จักความหมายของเสียง
สามารถแยกความหมายของเสียง
ฝึกทักษะทางสังคม
ไปสวนสาธารณะ
งานสังสรรค์
เดินทางท่องเที่ยว
แก้ไขพฤติกรรมที่ไม่หมาะสม
ทำอะไรแล้วพอใจเด็กจะทำซ้ำอีก
ชอบเลียนแบบ
ส่งเสริมสิ่งต่างๆที่ทำ เช่น การยิ้ม การสัมผัส การกอด การให้สิทธิพิเศษ
เพิกเฉยเวลาทำไม่ดี เช่น การที่ไม่พอใจแล้วนอนดิ้นกับพื้น
การแยกให้อยู่ตามลําพังชั่วคราว (time out)
พฤติกรรมแยกตัว จับมือหยิบของเล่นแล้วยื่นให้เด็กอื่น แบ่งขนมให้เด็กอื่น
พฤติกรรมไม่สบตา ฝึกให้เด็กสบตาคนอื่น
พฤติกรรมซน อยู่ไม่นิ่ง ฝึกให้เด็กนั่งเก้าอี้ในการทํากิจวัตรประจําวัน ลดสิ่งเร้าที่ทําให้เด็กไม่มีสมาธิ
อารมณ์ฉุนเฉียว เมื่อเด็กมีอารมณ์ฉุนเฉียวให้จับมือเด็กไว้เบา ๆ แสดงสีหน้าเรียบเฉย พร้อมบอกเด็กว่า "ลุกขึ้น" ออกแรงดึงเล็กน้อย
ไม่ควรให้ของที่เด็กต้องการเมื่อเด็กแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว,
เมื่อมีพฤติกรรมก้าวร้าวให้จับมือเด็กไว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเพื่อให้เด็กหยุด
ไม่ตําหนิ ดุด่า ประชดประชัน ไม่ลงโทษรุนแรงเพื่อให้เด็กหยุด
เมื่อเด็กมีพฤติกรรมรุนแรงเพื่อเรียกร้องหรือต่อรองให้ได้สิ่งที่ต้องการอย่าให้
ถ้าเด็กนั่งโยกตัวให้พาไปเล่นชิงช้า ถ้าเด็กชอบสะบัดมือให้ร้อยลูกปัดหรือเล่นลูกบิด
ให้เด็กลองกินอาหารชนิดอื่นก่อนที่จะกินอาหารที่ชอบกินซ้ํา ๆโดยบอกว่าวันนี้มีอาหารให้เลือก 2 ชนิด โดยต้องกินอาหารชนิดใหม่ก่อนจึงจะกินอาหารที่ประจําได้
ควรทําแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้เด็กสามารถปรับตัวได้ด้วยตนเอง
สาเหตุ
1) ปัจจัยทางพันธุกรรม คู่แฝด
2) ปัจจัยทางสมอง
มีช่องว่างในสมอง (ventricle)
มีความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ความไม่สมดุลของซีโรโทนิน (serotonin)
3) ปัจจัยในระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอด และระยะหลังคลอด
อายุพ่อแม่ที่มีอายุมาก
เด็กที่คลอดก่อนกําหนด
อายุครรภ์น้อยกว่า 33 สัปดาห์
น้ําหนักแรกเกิดต่ํากว่าเกณฑ์มาตราฐาน
ภาวะที่ไม่เข้ากันของภูมิคุ้มกันระหว่างมารดาและทารก (immunological incompatibility)เซลล์ประสาทของทารกเกิดความบกพร่อง
เลือดออกในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์
ติดเชื้อหัดเยอรมัน
ได้รับสารตะกั่ว
ด้านการสื่อสารและด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
มีความผิดปกติทางอารมณ์และทางสังคม
ไม่มีการสบสายตา,
ไม่แสดงสีหน้ากิริยาท่าทาง
ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก
ไม่รู้ร้อนรู้หนาวและไม่รู้จักหลีกเลี่ยงอันตราย
มีความบกพร่องด้านการสื่อสาร
บกพร่องในการเข้าใจภาษาและการใช้ภาษากายในการสื่อสาร,
ไม่สามารถผสมผสานระหว่างการสื่อสารแบบวัจนภาษาและอวัจนภาษา
การใช้คําพูดหรือการใช้ภาษาที่ไม่มีบุคคลอื่นสามารถเข้าใจได้
พูดช้า ชะงัก
มีความบกพร่องในการสร้าง รักษา และเข้าใจในสัมพันธภาพ
ชอบเล่นคนเดียว,
ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน
มีความยากลําบากในการเล่นตามจินตนาการหรือการเล่นบทบาทสมมติ