Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ผู้ที่มีความวิตกกังวล/เครียด, นศพต.รวิสรา ราเหม เลขที่ 49 - Coggle Diagram
ผู้ที่มีความวิตกกังวล/เครียด
ความวิตกกังวล
สภาวะทางอารมณ์ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่ามีการกระตุ้นที่มากเกิดขึ้น รู้สึกเหมือนถูกคุกคามตกอยู่ในอันตรายและไม่มั่นคงปลอดภัย ทําให้เกิดความหวาดหวั่นตึงเครียดไม่เป็นสุข มีการตอบสนองทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
ระดับของความวิตกกังวล
1. ความวิตกกังวลในระดับต่ำ (Mild anxiety)
หมายถึง มีความวิตกกังวล เพียงเล็กน้อย กระตุ้นให้บุคคลมีความตื่นตัว เตรียมพร้อมที่จะรับรู้ และ ปรับตัวให้สามารถเข้ากับสถานการณ์นั้นได้ในบางคนจะมีการรับรู้ดีขึ้น เช่น มีความสามารถใน การเรียนรู้เพิ่มขึ้น
การพยาบาล
แสดงการยอมรับให้กําลังใจ กระตุ้นให้แก้ปัญหาอย่างเหมาะสม
2. ความวิตกกังวลในระดับปานกลาง
(Moderate anxiety)
มีความ ตื่นตัวมากขึ้น เนื่องจากระบบประสาท Sympathetic ทํางาน จะลุกลี้ลุกลน การรับรู้จะถูกจํากัดให้แคบลง อยู่ในขอบเขตของสิ่งเร้าที่ตนสนใจ สิ่งเร้า อื่นที่อยู่นอกเหนือความสนใจ หรืออยู่รอบๆ สิ่งที่สนใจจะถูกตัดออกไป
อาจมีการปรับตัวแบบสูงหรือหนีความมั่นใจใจตนเองจะลดลง
จะมีพลังงานเกิดขึ้นมากกว่าคนที่มีความวิตกกังวลน้อย
อยู่นิ่งเฉยไมได้จะต้องทําการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อขจัดพลังงานส่วนเกิน ออกไปก่อนจึงจะมีสมาธิ
การพยาบาล
ให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก ช่วยผู้ป่วยให้สํารวจความรู้สึกตนเอง ส่งเสริมการผ่อนคลายความวิตกกังวล ช่วยให้ปรับตัวและมีความสามารถแก้ปัญหา
3. ความวิตกกังวลในระดับรุนแรง(Severe anxiety)
อาการลุกลี้ลุกลนกระสับกระส่ายหรือการพูดรัวและเร็วขึ้นบางคนอาจจะพูดติดอ่าง การรับรู้และการมีสติลดลง มีการตอบสนองแบบสูงหรือหนีการรับรู้สภาพแวดล้อมผิดๆไปจากความเป็นจริง สติปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆลดลงไม่รับรู้กาลเวลา และสถานที่ ดังนั้น บุคคลที่มี ภาวะความวิตกกังวลในระดับนี้อาจจะไม่ได้ยินสิ่งที่เราพูดหรือบอกให้ทํา นอกจากนั้นพฤติกรรม ของบางคนที่มีความวิตกกังวลในระดับนี้ อาจจะแสดงพฤติกรรมตรงกันข้ามเช่นอาจจะเป็นอัมพาตหรือพูดไม่ออกเลย หรือพูดแต่เสียงสั่นรัว
การพยาบาล
อยู่เป็นเพื่อน ให้ผู้ป่วยให้รู้สึกปลอดภัย
ลดสิ่งกระตุ้น
ตอบสนองความต้องการด้านร่างกาย
4. ความวิตกกังวลในระดับรุนแรงที่สุด
(Panic anxiety)
ไม่สามารถควบคุมตนเองได้และกระทํากิจกรรมต่างๆ อย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย
พฤติกรรม ทางด้านคําพูดและกิริยาอาการต่างๆ จะถดถอยลง การรับรู้จะแคบมาก
ไม่สามารถตัดสินใจ หรือ แก้ปัญหาได้
อาจมีอาการอ่อนเพลียมากเป็นลม การแสดงออกทางคําพูด จะพูดด้วยเสียงที่มีลักษณะสูงมาก หรือเสียงสั่น พูดน้อยลง หรืออาจพูดวกวนได้
การพยาบาล
ช่วยให้ผู้ป่วยสงบ ปกป้องผู้ป่วยให้รู้สึกปลอดภัย
ลดสิ่งกระตุ้น
ตอบสนองความต้องการด้านร่างกาย
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
วิตกกังวล เนื่องจากไม่สามารถควบคุมหรือแก้ไขปัญหาได้
เผชิญปัญหาไม่เหมาะสมเนื่องจากรู้สึกเป็นห่วงกังวล
กระบวนการคิดเปลี่ยนแปลงเนื่องจากวิตกกังวลระดับรุนแรง
สร้างสัมพันธภาพเชิงวิชาชีพเพื่อให้รู้สึกไว้วางใจมั่นคงปลอดภัย
ส่งเสริมให้ควบคุมหรือลดความวิตกกังวลโดยการฝึกผ่อนคลาย
ดูแลให้ได้รับยา sedative
ช่วยเหลือให้ผู้ป่วยได้เผชิญกับปัญหาอย่างเหมาะสม
จัดกิจกรรมลดความวิตกกังวล
ความเครียด
กรมสุขภาพจิต ได้ให้ความหมายว่า ความเครียดเป็นอาการที่ร่างกายและจิตใจเกิดการตื่นตัวเตรียมรับกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งบุคคลคิดว่าไม่น่าพอใจ หรือเป็นเรื่องที่เกินกําลังความสามารถและทรัพยากรที่จะแก้ไข ทําให้เกิดความหนักใจเป็นทุกข์ และอาจทําให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกายและพฤติกรรมตามไปด้วย
สาเหตุของความเครียด
สาเหตุจากภายนอกตัวบุคคล
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
สังคมและสัมพันธภาพกับคนอื่นๆ
สภาวการณ์และเหตุการณ์อื่นๆ
สาเหตุจากภายในตัวบุคคล
ระดับพัฒนาการ
เนื่องจากความไม่สมดุลกันระหว่างความคาดหวังของคนแวดล้อมกับความสามารถของบุคคล
การรับรู้และการแปลเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์กลัว โกรธ เกลียด กังวล หรือตื่นเต้น ถือเป็นเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดทําให้ร่างกายถูกกระตุ้นและมีการสนองตอบทางด้านสรีรวิทยา
สิ่งที่คุกคามต่อภาพพจน์ของบุคคลสูญเสียเอกลักษณ์ความเป็นหญิงจาการผ่าตัดเต้านมการตัดมดลูก
ความเจ็บปวด
การเคลื่อนไหวไม่ได้
การสูญเสียและการเปลี่ยนแปลงการสูญเสียบุคคลที่รัก
ผลกระทบของความเครียด
ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่เรียกว่า คอร์ติซอล และ อะดรีนาลินออกมา เพื่อทําให้ร่างกายมีความดันโลหิตสูง และหัวใจเต้นเร็วเพื่อเตรียมพร้อมให้ร่างกายแข็งแรง และมีพลังงานพร้อมที่จะกระทําการ เช่น วิ่งหนีอันตราย ยกของหนีไฟ
แต่หากร่างกายไม่ได้ใช้พลังงานเหล่านั้น ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะหมุนเวียนเข้าสู่กระแสเลือด ทําให้อวัยวะต่างๆ ทํางานผิดปกติบ่อยขึ้น จนกลายเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น HT โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ฯลฯ
โดยทั่วไป ในสภาพที่ปกติที่ไม่มีความเครียด อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายจะทํางานอยู่ในสภาพสมดุล แต่เมื่อมีสิ่งมาคุกคาม (Stressor) ก็จะทําให้สมดุลของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป เกิดการเปลี่ยนแปลงของสรีระวิทยาและชีวเคมีของร่างกาย เกิดเป็นพฤติกรรมปรับตัวที่เรียกว่า กลุ่มอาการปรับตัวทั่วไป (General adaptation syndrome)
ซึ่งแยกออกได้เป็น 3 ระยะ
1. ระยะเตือน(Alarm reaction)
เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของบุคคลต่อสิ่งเร้า หรือตัวกระตุ้นที่ก่อให้เกิดภาวะเครียดในระยะแรก ปฏิกิริยาในระยะนี้จะเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ตั้งแต่เพียงไม่กี่นาทีถึง 48 ชม.ซึ่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของตัวกระตุ้น อาการที่แสดงออกนั้นเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาเทติค และต่อมพิทูอิทารีส่วนหน้า เช่น อัตราการเต้นของหัวใจจะแรงและเร็ว ความดันโลหิตสูงขึ้น หายใจเร็ว
2. ระยะต่อต้าน
(Stage of resistance)
ปรับตัวอย่างเต็มที่ต่อตัวกระตุ้นที่เกิดความเครียดและผลที่ตามมาคือ อาการจะดีขึ้นหรือหายไป โดยการต่อสู้หรือถอยหนีจากตัวกระตุ้น
3. ระยะหมดกําลัง
(The stage of exhaustion)
ความสามารถในการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตต้องมีจุดจบ ถ้าตัวกระตุ้นให้เกิดความเครียดรุนแรงและไม่สามารถจะขจัดออกไปได้ เกิดการหมดกําลัง และหากไม่ได้รับการช่วยเหลือ หรือประคับประคองจากภายนอกอย่างเพียงพอ กลไกการปรับตัวจะล้มเหลว เกิดโรค และเสียชีวิตได้ในที่สุด
ความเครียดอาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางร่างกายจิตใจและพฤติกรรม
ความผิดปกติทางร่างกายหรือที่เรียกว่าอาการไซโคโซมาติค (Psychosomatic disorder)
เป็นอาการป่วยที่มีสาเหตุมาจากปัญหาทางอารมณ์ แต่อาการของโรคปรากฎทางกาย เช่น มีอาการใจสั่น อาการหอบ ท้องอืด นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย เป็นต้น
ความผิดปกติทางจิตใจ
ได้แก่ กลัวโดยไร้เหตุผล ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง วิตกกังวล คิดมาก คิดฟุ้งซ่าน หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด โกรธง่าย เป็นต้น
ความผิดปกติทางพฤติกรรม
ได้แก่ มีการรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นหรือลดลง สูบบุหรี่ ดื่มสุรามากขึ้น ใช้สารเสพย์ติด ใช้ยานอนหลับ จู้จี้ขี้บ่น เป็นต้น
ระดับความเครียด
1. ความเครียดระดับต่ำ(Mild stress)
เป็นความเครียดที่เกิดขึ้น และหมดไปในระยะเวลาอันสั้นเพียงนาที หรือชั่วโมงนั้น เกี่ยวข้องอยู่กับสาเหตุหรือเหตุการณ์เพียงเล็กน้อยในชีวิตประจําวัน เช่น การจราจรติดขัด การพลาดเวลานัดหมาย เป็นต้น
2. ความเครียดระดับปานกลาง(Moderate stress)
ความเครียดระดับนี้รุนแรงกว่าระดับแรก อาจจะอยู่นานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อตัวบุคคลมากกว่าสาเหตุในระดับแรก เช่น ความเครียดจากงานหนัก มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือการเจ็บป่วยที่ไม่รุนแรง เป็นต้น
3. ความเครียดระดับสูง(Severe stress)
ความเครียดระดับนี้รุนแรงมากมีอาการอยู่เป็นสัปดาห์ หรืออาจเป็นเดือนหรือปี ซึ่งเกิดจากสาเหตุรุนแรงสาเหตุเดียวหรือหลายสาเหตุ เช่นการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักการสูญเสียอวัยวะของร่างกายที่มีความสัมพันธ์กับการดํารงชีวิต
บทบาทของพยาบาลในการช่วยเหลือผู้ที่มีความเครียดให้มีการผ่อนคลาย
พยาบาลช่วยดึงเอาแหล่งประโยชน์ทั้งภายในและภายนอก (resource) ของบุคคลที่ประสบภาวะเครียดมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เรียกกระบวนการนี้ว่า mobilize internal หรือ external resource ช่วยให้บุคคลสามารถเสริมสร้างความสามารถใหม่ ให้เขาหาทางเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมภายนอกหรือเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อให้ลดความเครียดทางอารมณ์
ความเครียดของบางคนเกิดขึ้นเนื่องมาจากการรับรู้ที่ผิดจากความเป็นจริง แปลผิดๆ หรือตีความหมายเหตุการณ์ไปในทางที่ไม่ดี แล้วตนเองเกิดรู้สึกไม่สบายใจ ถ้าในกรณีเช่นนี้ พยาบาลก็ช่วยบุคคลให้มองเหตุการณ์ใหม่ มองหลายๆแง่ หลายๆมุม
ถ้าความเครียดเกิดจากปัจจัยในตัวบุคคลเอง เช่น การตีค่าตนเองตำนิสัยการรับประทานอาหารที่ไม่ดี การดําเนินชีวิตประจาวันผิดทาง พยาบาลช่วยบุคคลเหล่านี้ให้มีความรู้ในเรื่องบุคลิกภาพ สอนเขาให้ รู้จักผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่างๆ
ถ้าความเครียดเกิดจากกลไกการแก้ไขภาวะเครียด หรือ Coping Mechanism พยาบาลช่วยบุคคลให้ตระหนักถึงกลไกการแก้ไขปัญหา ที่เขากําลังใช้อยู่ และช่วยให้เขามีความรู้ในกลไกอื่นๆที่เขาอาจจะใช้ได้ ช่วยให้เขาตระหนักถึงแหล่งประโยชน์อื่นๆ ที่จะช่วยประคับประคองเขาในภาวะความเครียด
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
อารมณ์แปรปรวนไม่อยู่ในภาวะสมดุล เนื่องจากเกิดภาวะสูญเสีย
ความดันโลหิตสูง เนื่องจากมีการสูญเสียการทําหน้าที่ของร่างกาย
เกิดโรคอ้วนเนื่องจากรับประทานมากเพื่อลดการซึมเศร้า
นศพต.รวิสรา ราเหม เลขที่ 49