Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

โครงการและความรู้ทางการแพทย์ - Coggle Diagram

- - - - การสอนเพศศึกษาโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น นักเรียนที่ได้เรียนบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนี้ ok
        
        พบว่าร้อยละ 73.9 มีความพึงพอใจต่อบทเรียนช่วยสอนนี้
      - การสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมต่อการเรียนเพศศึกษา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ok
        
        ความรู้ต่อเรื่องเพศมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ เจตคติและการปฏิบัติไม่มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน ในกลุ่มทดลอง ความรู้มีความ สัมพันธ์กับเจตคติและการปฏิบัติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติแต่กลุ่มเปรียบเทียบ ความรู้ เจตคติและการปฏิบัติมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำกว่ากลุ่มทดลอง และไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ จึงเห็นได้ว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและการสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมมีผลเชิงบวก
      - นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ok
        
        กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ ทัศนคติในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และพฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มากกว่าก่อนการเข้าร่วมโปรแกรมและมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001)
      - เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ต่อความรู้และความเชื่อด้านสุขภาพในการ ป้องกันตนเองจากการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ในวัยรุ่นหญิง ok
        
        ภายหลังการได้รับโปรแกรม กลุ่มทดลองมีความรู้สูงกว่า กลุ่มเปรี ยบเทียบอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ และกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยของความเชื่อด้านสุขภาพ สูงกว่า กลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ใน 2 ด้าน คือ ด้านการรับรู้ความเสี่ยง และ ด้านการรับรู้ ความรุนแรง ส่วนในด้านการรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรคและการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการมีเพศสัมพันธ์ ที่ปลอดภัย กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความเชื่อด้านสุขภาพไม่แตกต่างกันทั้งก่อนและหลังการได้รับ โปรแกรม และไม่แตกต่างจากกลุ่มเปรียบเทียบ
      - โปรแกรมเพศวิถีศึกษาสำหรับวัยรุ่นตอนต้นประเทศไทย ok
        
        1) คุณลักษณะกลุ่มตัวอย่าง เป็นวัยรุ่นตอนต้นอายุ 13-15 ปี ผลการเรียนระดับปานกลาง อาศัยกับพ่อแม่ 2) ลักษณะโปรแกรม เป็นโปรแกรมเพศวิถีศึกษาสำหรับวัยรุ่นตอนต้นดำเนินงานในโรงเรียน (School-based program) จำนวนครั้งของการจัดกิจกรรม 1-8 ครั้ง ใช้กิจกรรมและสื่อหลากหลาย เช่น บรรยาย อภิปราย บทบาทสมมติ เกมส์ วิดีทัศน์ อุปกรณ์คุมกำเนิด เป็นต้น โปรแกรมมุ่งป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศโดยเน้นสร้างกระบวนการทางความคิดและทักษะชีวิต ดังนี้ 2.1) ให้ความรู้เพศศึกษา เนื้อหาประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงร่างกายและพัฒนาการทางเพศวัยรุ่น พฤติกรรมและสถานการณ์เสี่ยงทางเพศโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์ การใช้ถุงยางอนามัย หลักการปฏิเสธ การทำแท้งความเสมอภาคและสิทธิทางเพศ 2.2) สร้างทัศนคติต่อเพศสัมพันธ์ปลอดภัยโดยอิทธิพลกลุ่มเพื่อน 2.3) สร้างทักษะชีวิต ได้แก่ การคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์ การตระหนักรู้หรือรับรู้ความสามารถตนเอง การสร้างสัมพันธภาพ การปฏิเสธ การแก้ปัญหา การตัดสินใจ ผ่านการวิพากษ์วิจารณ์ ระดมสมอง และฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จำลอง 3) ผลลัพธ์หลักฐานเชิงประจักษ์ วัดด้านความรู้เพศวิถีศึกษา ทัศนคติต่อการมีเพศสัมพันธ์ปลอดภัยและพฤติกรรมป้องกันสถานการณ์เสี่ยง ไม่มีการวัดพฤติกรรมเสี่ยงและสุขภาพทางเพศ เช่น การชะลอการมีเพศสัมพันธ์หรือการตั้งครรภ์ไม่ตั้งใจ เป็นต้น ส่วนใหญ่วัดผลหลังสิ้นสุดการทดลองและไม่มีการติดตามประเมินผล
      - ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาแบบกลุ่มช่วยเหลือตนเอง ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของหญิงตั้งครรภ์. ok
        
        ภายหลังเข้าร่วมโปรมแกรมสุขศึกษาพบว่าหญิงตั้งครรภ์ กลุ่มทดลองมีความรู้?การรับรู้อันตรายและโอกาสเสี่ยงต่อ การเกิดโรค มีทัศนคติและการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรค ติอต่อทางเพศสัมพันธ์ดีขึ้นมากกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่า กลุ่มเปรียบเทียบแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < .001) การศึกษาความสัมพันธ์ของตัวแปรกับการปฏิบัติ ตัวเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พบว่าความรู้ การรับรู้อันตรายและโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเพศ สัมพันธ์ มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการปฏิบัติตัวเพื่อ ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?ซึ่งต่างจากทัศนคติต่อการ ป้องกันโรค ที่พบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติตัว เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผลการวิจัยครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า การจัดโปรแกรม สุขศึกษาแบบกลุ่มช่วยเหลือตนเอง ซึ่งเน้นการสร้าง สัมพันธภาพในกลุ่ม มีผลทางด้านจิตใจ ก่อให้เกิดความไว้วางใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ส่งผลให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ขณะตั้งครรภ์ในเรื่องการพูดคุยกับสามีและการใช้ถุงยาง อนามัยในการป้องกันโรคไปในแนวทางที่พึงประสงค์ได้
      - การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่อง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
        
        ผลการวิจัย พบว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง เพศศึกษา ได้ผลการทดสอบประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/E2 เท่ากับ 86.44/87.22 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่อง เพศศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง เพศศึกษา อยู่ในระดับมากที่สุด
      - โปรแกรมสุขศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ในหมู่ทหารเกณฑ์
        
        การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าโปรแกรมสุขศึกษาที่ใช้ในการศึกษาสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มความรู้และการรับรู้ด้านสุขภาพในเชิงบวกซึ่งจะช่วยปรับปรุงพฤติกรรมสุขภาพเชิงป้องกันของกลุ่มอื่น ๆ รวมทั้งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ในระดับสูง กลุ่มเสี่ยง
      - โครงการสุขศึกษาเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ของทหารบกจังหวัดลำปาง
        
        หลังจากดำเนินโครงการเกี่ยวกับความรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างทั้งสองกลุ่มและภายในกลุ่มทดลองทั้ง 1 และ 8 สัปดาห์หลังจากโปรแกรม (p <0.001) การรับรู้เกี่ยวกับความอ่อนไหวมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างทั้งสองกลุ่มที่ 8 สัปดาห์และภายในกลุ่มทดลองทั้ง 1 และ 8 หลังโปรแกรม (p = 0.25 และ p <0.001 ตามลำดับ) การรับรู้ความรุนแรงมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติภายในกลุ่มทดลองที่ 1 สัปดาห์หลังจากโปรแกรม การรับรู้เกี่ยวกับผลประโยชน์ด้านต้นทุนมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างทั้งสองกลุ่มที่ 8 สัปดาห์และภายในกลุ่มทดลองทั้ง 1 และ 8 สัปดาห์หลังจากโปรแกรม (ทั้งหมดที่ p> 0.001) การปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างทั้งสองกลุ่มและภายในกลุ่มทดลอง 8 สัปดาห์หลังจากโปรแกรม (p = 006 และ p <0.001 ตามลำดับ) ความสัมพันธ์ของการปฏิบัติต่อการใช้ condom และความรู้การรับรู้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์มีเพียงความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างการปฏิบัติและการรับรู้ความรุนแรงในกลุ่มเปรียบเทียบ แต่ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอื่น ๆ และวิธีปฏิบัติในการใช้ถุงยางอนามัย มีข้อเสนอแนะว่าโปรแกรมสุขศึกษาเปรียบเทียบกับวิธีการแทรกแซงที่แตกต่างกันพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิผลในการส่งเสริมความรู้ทัศนคติและการปฏิบัติที่ดีขึ้นดังนั้นจึงควรนำโปรแกรมนี้ไปใช้ในกลุ่มผู้ดูแลและรับสมัครกลุ่มอื่น ๆ
      - การประเมินประสิทธิผลของสุขศึกษาเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การวางแผนครอบครัวโรคเอดส์และสรีรวิทยาการสืบพันธุ์ผ่านโปสเตอร์ ok
        
        ผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีความรู้และการรับรู้ในระดับสูงเกี่ยวกับหัวข้อที่แสดงในการทดสอบก่อนเรียนซึ่งเป็นผลมาจากผลของหนังสือสื่อนิตยสารและสุขภาพ _ ในโรงเรียนมัธยมของพวกเขา ผลการทดสอบหลังเรียนพบว่าระดับความรู้และการรับรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นิทรรศการโปสเตอร์ในปัจจุบันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้โดยการรีเฟรชความรู้ของนักเรียนเหล่านี้ที่อ้างว่าได้รับข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้แล้ว การสนทนากลุ่มโฟกัสที่นักเรียนเปิดกว้างต่อรูปแบบของสุขศึกษานี้มีสีสันและมีข้อ จำกัด แต่เป็นพิเศษ ขอแนะนำว่าควรให้ผู้โพสต์ที่มีรูปภาพจำนวนมาก แต่มีข้อความที่ จำกัด และไม่สามารถเข้าใจได้ง่ายเพื่อให้พวกเขาตระหนักถึงโรคและการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ที่ได้รับจากพฤติกรรมเสี่ยงและมาตรการป้องกันที่พวกเขาสามารถทำได้คืออะไร ใช้เวลา
      - OKประสิทธิผลของโครงการสุขศึกษาเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
        
        ประสิทธิผลของโครงการสุขศึกษาเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ในกองทัพบกที่รับสมัครในกรุงเทพมหานคร
        
        ผลการศึกษาพบว่าผู้เข้ารับการคัดเลือกในกลุ่มทดลองหลังจากให้โปรแกรมสุขศึกษา (HEP) คะแนนเฉลี่ยด้านความรู้และการรับรู้ความไวต่อความเสี่ยงความรุนแรงของโรคและการปฏิบัติตัวจากคำแนะนำของบุคลากรด้านสุขภาพสูงกว่าค่าเฉลี่ย กลุ่มเปรียบเทียบ (p <0.001) คะแนนเฉลี่ยของการปฏิบัติในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ในกลุ่มทดลองหลังการให้ HEP สูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.001) อย่างไรก็ตามไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ถุงยางอนามัยกับความรู้การรับรู้ สำหรับกลุ่มเปรียบเทียบไม่มีความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยด้านความรู้การรับรู้และการปฏิบัติหลังการทดลอง เมื่อทำการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมก่อนการทดลองและหลังการแทรกแซงครั้งแรกและครั้งแรกพบว่าความรู้และการรับรู้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.001) สำหรับกลุ่มเปรียบเทียบก่อนการทดลองและหลังการแทรกแซงครั้งแรกและครั้งที่สองไม่มีความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยด้านความรู้การรับรู้และการใช้ถุงยางอนามัย สำหรับงานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าโปรแกรมสุขศึกษาได้ผล โครงการนี้ได้รับผลกระทบเชิงบวกต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ของผู้ได้รับคัดเลือก ผู้วิจัยต้องการแนะนำว่าควรใช้โปรแกรมสุขศึกษาที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบความเชื่อด้านสุขภาพ โปรแกรมควรเริ่มต้นด้วยการบรรยายที่จัดอย่างดี ช่วงต่อจากสไลด์, VDO เทป, A รณรงค์, นิทรรศการ, แผ่นพับ, สติกเกอร์, AIDS Safely Tips; ผู้บัญชาการทหารเกณฑ์ให้ข้อมูลบ่อยครั้ง ในขณะเดียวกันก็ต้องจัดหาถุงยางอนามัยให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
        
        ประสิทธิผลของโครงการสุขศึกษาเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ของทหารเกณฑ์จังหวัดปราจีนบุรี
        
        หลังการ ทดลองมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P <0.001) มากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบในด้านความรู้ความอ่อนไหวต่อการรับรู้ความรุนแรงและผลประโยชน์ด้านต้นทุน ทัศนคติความเชื่อและพฤติกรรมป้องกัน 2. หลังการทดลองกลุ่มทดลองแสดงความรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในด้านความรู้การรับรู้ความอ่อนไหวความรุนแรงและผลประโยชน์ด้านต้นทุนทัศนคติความเชื่อและพฤติกรรมป้องกัน ข้อเสนอแนะ. ผลของการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าโปรแกรมสุขศึกษาผ่านการบรรยายการสาธิตการพูดคุยเรื่องสุขภาพควบคู่ไปกับสื่อโสตทัศน์ช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจและความเชื่อมั่นและแนวปฏิบัติที่เหมาะสมเกี่ยวกับพฤติกรรมป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ในกลุ่มประชากร
        
        ประสิทธิผลของโครงการสุขศึกษาเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ในหมู่ทหารเกณฑ์จังหวัดชลบุรี
        
        ผลลัพธ์หลักหลังได้รับโปรแกรมสุขศึกษาพบว่า 1. กลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทุกมิติของการรับรู้และการใช้ถุงยางอนามัยมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบยกเว้นอุปสรรคที่มีอุปาทานไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 2. กลุ่มทดลองมีคะแนนสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในด้านความรู้และการรับรู้ทุกมิติ 3. กลุ่มทดลองมีสัดส่วนของถุงยางอนามัยที่ใช้วิธีคัดเลือกมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 4. ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ความอ่อนไหวต่อการรับรู้การรับรู้ความรุนแรงและการใช้ถุงยางอนามัยในกลุ่มทดลอง แต่มีความสัมพันธ์เชิงลบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างการรับรู้ประโยชน์ (r = -.47, p <.05) อุปสรรคการรับรู้ (r = -.41, p <.05) และการใช้ถุงยางอนามัย ในการศึกษานี้โปรแกรมสุขศึกษาที่เป็นระบบมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความรู้การรับรู้และการใช้ถุงยางอนามัยของผู้เข้าร่วมกลุ่มทดลอง การเปลี่ยนการใช้ถุงยางอนามัยเป็นผลมาจากเทคนิคการกระตุ้นและกระตุ้นความกลัว การเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้นอยู่กับการปลุกเร้าอารมณ์ ดังนั้นควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคงอยู่ของการปฏิบัติเชิงป้องกัน
        
        ประสิทธิผลของโครงการสุขศึกษาเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กองทัพไทยรับสมัครในจังหวัดราชบุรี
        
        กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในการทดสอบความรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์จากการทดสอบหลังเรียนครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองมากกว่าการทดสอบก่อนหน้านี้ 2. คะแนนเฉลี่ยในการทดสอบหลังเรียนครั้งแรกและครั้งที่สองเกี่ยวกับการรับรู้เกี่ยวกับความอ่อนไหวและประโยชน์ของและอุปสรรคในการดำเนินการเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ของกลุ่มทดลองสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนหน้านี้อย่างมีนัยสำคัญ ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญนี้เมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนการทดสอบหลังเรียนครั้งแรกและครั้งที่สองเกี่ยวกับการรับรู้เกี่ยวกับความรุนแรง 3. คะแนนเฉลี่ยความรู้ในการทดสอบหลังเรียนครั้งแรกและครั้งที่สองของกลุ่มทดลองเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์สูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 4. เมื่อนำคะแนนเฉลี่ยในการทดสอบหลังเรียนครั้งแรกและครั้งที่สองเกี่ยวกับการรับรู้เกี่ยวกับความอ่อนไหวความรุนแรงและผลประโยชน์และอุปสรรคในการดำเนินการเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ของกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบจะเปรียบเทียบเฉพาะคะแนนเฉลี่ยในครั้งแรก แบบทดสอบหลังเรียนเกี่ยวกับประโยชน์และอุปสรรคของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญ 5. หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยของการดำเนินการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์สูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญ 6. หลังการทดลองกลุ่มทดลองได้กลุ่มทดลองที่ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์มากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการศึกษานี้บ่งชี้ว่าโปรแกรมสุขศึกษาที่ใช้ในการศึกษาสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มความรู้และการรับรู้ด้านสุขภาพในเชิงบวกซึ่งจะช่วยปรับปรุงพฤติกรรมสุขภาพเชิงป้องกันของกลุ่มอื่น ๆ รวมทั้งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์สูง กลุ่มเสี่ยง
        
        ประสิทธิผลของโครงการสุขศึกษาเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์พฤติกรรมการป้องกันของกองทัพเรือจังหวัดสงขลา
        
        ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ของกลุ่มทดลองหลังการให้โปรแกรมสุขศึกษา (HEP) สูงกว่าก่อนให้ HEP และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 2. ค่าเฉลี่ยค่าเฉลี่ยที่มีต่อการรับรู้ความเสี่ยงความรุนแรงของโรคของกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบไม่แตกต่างกันในตอนท้ายของการประชุมครั้งแรกและครั้งที่สอง นอกจากนี้ยังไม่แตกต่างกันเมื่อเปรียบเทียบระหว่างก่อนการทดสอบในตอนท้ายของเซสชันแรกและครั้งที่สอง 3. ค่าเฉลี่ยในการรับรู้การฝึกของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบเมื่อสิ้นสุดการประชุมครั้งแรกและครั้งที่สองอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากการเปิดเผยแล้วก็ยังสูงกว่าหลังสิ้นสุดเซสชันแรกและครั้งที่สองอย่างมีนัยสำคัญ 4. ความรู้การรับรู้โรคและการปฏิบัติในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์มีความผิดปกติ 5. สัดส่วนการใช้ถุงยางอนามัยในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการป้องกันโรคเอดส์หลัง HEP กลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญ โดยสรุปผลการวิจัยระบุว่า HWP มีประสิทธิภาพ ส่งผลในเชิงบวกต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ในหมู่ผู้ได้รับคัดเลือก ผู้วิจัยขอแนะนำว่าควรจัดให้มี HEP สำหรับทหารทุกกลุ่ม โปรแกรมอาจมีการจัดระเบียบเนื้อหาและกระบวนการ จะเริ่มต้นด้วยการบรรยายและสไลด์วิดีโอเทปแผ่นพับโปสเตอร์การแสดงออกสติกเกอร์ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ ต้องจัดเตรียมถุงยางอนามัยให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
        
        ประสิทธิผลของโครงการสุขศึกษาเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ของกองทัพอากาศจัดหางานจังหวัดลพบุรี
        
        หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีพฤติกรรมสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.001) มากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบในด้าน 1.1 ความรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ 1.2 การรับรู้ความรุนแรงของโรค 1.3 การรับรู้ ประโยชน์ของการดำเนินการป้องกัน 1.4 การรับรู้อุปสรรคของการดำเนินการป้องกัน 1.5 การใช้ถุงยางอนามัย 2. หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีพฤติกรรมสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.001) มากกว่ากลุ่มก่อนการทดลองในด้าน 2.1 ความรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ 2.2 การรับรู้ความรุนแรงของโรค 2.3 การรับรู้ประโยชน์ของการดำเนินการป้องกัน 2.4 การรับรู้อุปสรรคในการดำเนินการป้องกัน และมีพฤติกรรมที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.01) ต่อการรับรู้ความอ่อนแอต่อโรคมากกว่าการทดลองเหล่านั้น 3. อัตราส่วนของพฤติกรรมการใช้ถุงยางอนามัยในกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p <0.001) 4. มีความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญทางสถิติในเชิงบวกระหว่างพฤติกรรมการป้องกันและความรู้ความรุนแรงของโรคที่เกิดขึ้นการรับรู้ประโยชน์ของการดำเนินการป้องกัน (p <0.01) ข้อเสนอแนะ: 1. โปรแกรมสุขศึกษาเชิงระบบซึ่งบูรณาการหลักการ Health Belief Model สำหรับข้อมูลทัศนูปกรณ์มีประสิทธิผลในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 2. การสนับสนุนทางสังคมจากเพื่อนที่ถูกระบุโดยวิธีโซไซโอเมตริกเป็นสิ่งที่ดีในการกระตุ้นและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม 3. โปรแกรมสุขศึกษานี้ถูกนำไปใช้และประเมินในกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ เช่นนักศึกษาวิทยาลัยกลุ่มทหารอื่น ๆ
        
        ประสิทธิผลของโครงการสุขศึกษาเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ของทหารบกจังหวัดเชียงใหม่
        
        1 และการทดสอบหลังเรียน 2 ใช้คำถามเชิงโครงสร้างสองคำถามในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าการแจกแจงเปอร์เซ็นต์ค่าเฉลี่ยเลขคณิตส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบทีตัวอย่างที่จับคู่การทดสอบค่าทีของนักเรียนการทดสอบสัดส่วนและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์โมเมนต์ของผลิตภัณฑ์เพียร์สัน สำหรับการทดสอบหลังเรียน 1 และการทดสอบหลังเรียน 2 ความรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ของทหารเกณฑ์ดีกว่าก่อนเข้าร่วมโครงการสุขศึกษาอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่การรับรู้ความอ่อนไหวการรับรู้ความรุนแรงและการรับรู้ประโยชน์ของ การดำเนินการในหมู่พวกเขาเป็นไปในเชิงบวกมากกว่าเมื่อก่อน แนวทางปฏิบัติในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ในหมู่ทหารเกณฑ์เป็นที่พึงปรารถนามากกว่าก่อนที่จะเปิดตัวโครงการสุขศึกษา นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญระหว่างการปฏิบัติ และความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์และการรับรู้ความอ่อนแอ เพื่อเน้นความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ การรับรู้ถึงความอ่อนไหวความรุนแรงและประโยชน์ของการปฏิบัติงานจริง และขอแนะนำให้นำการสนับสนุนทางสังคมผ่านผู้นำทีมที่ใกล้ชิดมาพิจารณาในการจัดโปรแกรมการศึกษาด้านสุขภาพสำหรับทหารเกณฑ์
      - การเปรียบเทียบผลสมฤทธิ์การให้สุขศึกษา โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยใช้วิดีทัศน์กับสารนิเทศ แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบุญวัฒนา ok
        
        ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยใช้วิดีทัศน์กับสารนิเทศไม่แตกต่างกัน แต่ทั้ง 2 วิธีนี้จะทำให้ ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนดีกว่าการให้สุขศึกษาตามปกติ และหลังการให้ สุขศึกษาโดยใช้วิดีทัศน์ สารนิเทศ และการให้สุขศึกษาตามปกติ ผลสัมฤทธิ์จะดีกว่าก่อนการให้สุขศึกษา ซึ่งผลสัมฤทธิ์ของการให้สุขศึกษา โดยใช้วิดีทัศน์และสารนิเทศอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ส่วนผลสัมฤทธิ์ ของการให้สุขศึกษาตามปกติอยู่ในเกณฑ์ดี
    - - นักเรียนอาชีวศึกษาเพศหญิงหลังได้รับโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .01)
      - ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อความตั้งใจในการใช้ถุงยางอนามัยของนิสิตชาย
        
        ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนทัศนคติต่อความตั้งใจในการใช้ถุงยางอนามัยของนิสิตชาย .ค่าเฉลี่ยคะแนนความตั้งใจในการใช้ถุงยางอนามัยของนิสิตชายในกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการปรับเปลี่ยนทัศนคติหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) 2. ค่าเฉลี่ยคะแนนความตั้งใจในการใช้ถุงยางอนามัยของนิสิตชายในกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการปรับเปลี่ยนทัศนคติหลังการทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001).
    - - การเสริมสร้างพลังอำนาจต่อพฤติกรรมการป้องกัน
        
        ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรม 4 สัปดาห์ ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นเร่ร่อนชายสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจนี้ มีประสิทธิผลที่ทำให้วัยรุ่นเร่ร่อนชายมีพฤติกรรมการป้องกันโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
      - การตระหนักรู้และส่งเสริมความมีคุณค่าในตนเองต่อพฤติกรรมป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นหญิงตอนต้น ?????
        
        คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ของกลุ่มทดลองหลังการทดลอง 4 สัปดาห์ สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
      - ชุดกิจกรรมต่อทัศนคติ
        
        หลังการจัดกิจกรรมมีคะแนนเฉลี่ยหลังเข้าร่วมกิจกรรมด้านทัศนคติ การคล้อยตามอิทธิพลของคนรอบข้าง การรับรู้ด้านการควบคุมตนเอง และความตั้งใจในการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (M=5.76, SD=0.76; M=3.81, SD=0.55; M=5.34, SD=0.91; M=3.86, SD=0.67 ตามลำดับ) สูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรม (M=5.50, SD=0.96; M=3.88, SD=0.56; M=5.56, SD=0.95; M=4.24, SD=0.64 ตามลำดับ) เพิ่มขึ้นกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรม (M=1.95, SD=0.93; M=1.48, SD=1.19; M=1.6, SD=1.05; M=1.32, SD=0.88 ตามล าดับ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
      - การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์และ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในในเยาวชนเขตเมือง
        
        ผลการศึกษาพบว่าเยาวชนมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันในการติดเชื้อ HIV/STDsและทักษะชีวิตในระดับน้อย ปัจจัยที่ส่งผลให้เยาวชนมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV/STDs ได้แก่ สื่อทางเพศ สิ่งแวดล้อมไม่ปลอดภัย และการขาดความเอาใจใส่ในการเลี้ยงดูบุตร ระยะที่ 2 : พัฒนารูปแบบการสร้างเสริมพฤติกรรมการป้องกัน HIV/STDs ได้แก่ 1) ปัจจัยสนับสนุน: สร้างเครือข่ายด้านสุขภาพ ทุนสนับสนุน และศูนย์เยาวชน 2) การให้ความรู้และฝึกทักษะการป้องกัน HIV/STDs ที่ทันสมัยโดยการมีส่วนร่วมของ อาสาสมัคร ผู้ปกครอง และเยาวชน 3) การติดตามประเมินผลลัพธ์
      - โปรแกรมการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาต่อความรู้เรื่องเพศและความพึงพอใจต่อโปรแกรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ok
        
        ภายหลังการเข้าโปรแกรมกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมด้านการให้ความรู้ที่ส่งเสริมให้เกิดความตระหนักในการป้องกันตนเองจากการมีเพศสัมพันธ์และยับยั้งชั่งใจในการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรมากที่สุดโปรแกรมการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษามีประสิทธิผลต่อความรู้เรื่องเพศและความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ส่งผลให้มีความรู้ในเรื่องเพศมากขึ้นนำไปสู่การตระหนักถึงความเสี่ยงจากการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
      - โปรแกรมการพัฒนาทักษะในการสื่อสารเรื่องเพศ โดยแกนนำกลุ่มเพื่อน เพื่อป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงในการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ok
        
        ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลองและระยะติดตามผล กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ในเรื่องผลกระทบจากการมีเพศสัมพันธ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การรับรู้ความสามารถตนเองในการยืนยันในความคิดเห็น การปฏิเสธ และการต่อรองเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงในการมีเพศสัมพันธ์สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < .05) ในระยะติดตามผลกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมป้องกันการมีเพศสัมพันธ์แตกต่างจากก่อนการทดลองแต่ไม่แตกต่างกับกลุ่มเปรียบเทียบ (p-value >.05) และมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ในเรื่องผลกระทบจากการมีเพศสัมพันธ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ระยะติดตามผลสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value< .001) การจัดโปรแกรมการพัฒนาทักษะในการสื่อสารเรื่องเพศโดยแกนนำกลุ่มเพื่อนเพื่อป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงในการมีเพศสัมพันธ์ของนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น สามารถเพิ่มความรู้ในเรื่องผลกระทบจากการมีเพศสัมพันธ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การรับรู้ความสามารถตนเองในการยืนยันในความคิดเห็น การปฏิเสธ และการต่อรองเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงในการมีเพศสัมพันธ์ ส่งผลให้นักเรียนหญิงมีพฤติกรรมป้องกันการมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นได้
    - - แนวโน้มดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าการจัดกลุ่มนิทรรศการมีผลอย่างมีนัยสำคัญเล็กน้อยในบางรายการความต่อเนื่องของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพบางระดับมากกว่าการศึกษากลุ่ม โดยรวมแล้วกลุ่มนิทรรศการและกลุ่มการศึกษามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญใ
    - - ทดสอบหลังเรียนครั้งแรก แต่กลุ่มทดลองได้คะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบในการทดสอบหลังเรียนครั้งที่สองอย่างมีนัยสำคัญ (P-value 0.01) 3. ในการทดสอบหลังแรกและครั้งที่สองไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างทั้งสองกลุ่มในการทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศงดการบีบอวัยวะเพศรวมถึงการมีเพศสัมพันธ์และการมีเพศสัมพันธ์การแจ้งและการมีเพศสัมพันธ์พร้อมกัน การรักษาและไม่ควรปัสสาวะสี่ชั่วโมงก่อนการตรวจท่อปัสสาวะสำหรับ genorrhoea 4. ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการงดเว้นการบริโภคสุราอย่างหนักและการนัดติดตามผลในการทดสอบหลังเรียนครั้งแรก แต่กลุ่มทดลองได้คะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบในการทดสอบหลังเรียนครั้งที่สองอย่างมีนัยสำคัญ (P-value 0.03, 0.02) 5. มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญระหว่างความเชื่อเรื่องความรุนแรงความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของบุคลากรสาธารณสุขในการทดสอบหลังแรก (P-value 0.004, 0.003) 6. มีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญระหว่างความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของบุคลากรด้านสุขภาพความพึงพอใจในการบริการของบุคลากรด้านสุขภาพในการทดสอบหลังเรียนครั้งที่ 2 (P-value 0.02, 0.03)
    - - เครื่องมือนักเรียนชายและนักเรียนหญิงได้แก่ ได้แก่ การเข้าถึงข้อมูล และบริการสุขภาพ ทักษะการสื่อสาร และการจัดการตนเอง หาพื้นที่ใต้โค้ง ROC เพื่อเลือกจุดตัดในการจำแนกระดับความฉลาด ทางสุขภาพ “ระดับสูง” ในนักเรียนชายตั้งแต่ 77 คะแนน ขึ้นไป นักเรียนหญิงตั้งแต่ 82 คะแนน ขึ้นไป เครื่องมือ ที่พัฒนาขึ้นในการวิจัยครั้งนี้ สามารถนำาไปใช้ในการวัดความฉลาดทางสุขภาพเรื่องการป้องกันโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ของนักเรียนอาชีวศึกษาแห่งอื่นได้
    - - มีมารดาจำนวนไม่น้อยที่มีความรู้สึกลำบากใจที่จะพูดถึงเรื่อง ความสัมพันธ์ทางเพศ การคุมกำเนิด การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ กับบุตรสาวของตน โดย ให้เหตุผลว่าบุตรสาวของตนยังเด็กเกินกว่าที่จะเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้
  - - - คะแนนความรู้ความเข้าใดกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยสูงกว่าก่อนการดำเนินแนวทางการให้คำแนะนำการใช้ถุงยางอนามัย ที่แต่เดิมมีความรู้น้อยเกี่ยวกับการใช้ถุงยาง
  - - - ผลการใช้หลักสูตรการอบรมเรื่องเพศคุยได้ในครอบครัว พบว่า ผลวิเคราะห์การทดสอบด้านความรู้เรื่องเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ และด้านทัศนคติในการสื่อสารเรื่องเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังเข้ารับการอบรม ค่าคะแนนเฉลี่ยที่ได้ก่อนได้รับการอบรมคิดเป็นร้อยละ 49.77 ค่าคะแนนเฉลี่ยที่ได้หลังการอบรมคิดเป็นร้อยละ 62.43 และมีความพึงพอใจในระดับมากในการเข้าร่วมกิจกรรมหลักสูตรฯ
    - - พบว่าาสื่อการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ความสามารถของตนเองเกี่ยวกับการสื่อสารเรื่องเพศ (F(2,87) = 4.13, p-value=.019) และความสะดวกใจในการสื่อสารเรื่องเพศ (F(2,87) = 5.34, p-value=.006) แต่ไม่ส่งผลให้เกิดการสื่อสารเรื่องเพศของมารดาเมื่อพิจารณาถึงชนิดของสื่อการเรียนรู้พบว่าแบบเรียนรู้สําเร็จรูป (VCD) ทําให้มารดามีความมั่นใจในการสื่อสารเรื่องเพศ (p-value<.05) ส่วนคู่มือการสื่อสารเรื่องเพศทําให้เกิดความสะดวกใจในการพูดคุยเรื่องเพศ (p-value <.05) การเรียนรู้การสื่อสารเรื่องเพศจากคู่มือการสื่อสารเรื่องเพศและแบบเรียนรู้สําเร็จรูป (VCD) ที่มีเนื้อหาสาระและวิธีการสื่อสารเรื่องเพศที่สอดคล้องกับความพร้อมส่วนบุคคลเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ความสามารถของตนเองและความสะดวกใจในการสื่อสารเรื่องเพศ
- - - - Oral acyclovir is the first line of treatment, although resistance to acyclovir has been found to be increasing.
    - - to all of the reported cases, N. gonorrhoeae strains were susceptible to cefixime and ceftriaxone
    - - ในระยะขั้นสูงการปลูกถ่ายตับควรพิจารณาด้วย การตรวจ ดีเอ็นเอ HSV มีประโยชน์
        ในการทำนายการเจ็บป่วยและการตายหลังจาก LT และในการกำหนดชนิดและความยาวของไวรัสที่เหมาะสมที่สุด
        วิธีการใช้หลังการปลูกถ่าย
    - - a male patient with human immunodeficiency virus infection who presented with a progressive hypertrophic genital herpes infection in the left scrotum, which improved after treatment with acyclovir and imiquimod
    - - He developed Jarisch-Herxheimer reaction after the treatment
    - - imiquimod (Aldara®) ถูกกำหนดไว้สำหรับการรักษาหูดที่อวัยวะเพศที่บ้านโดยให้ใช้ครั้งเดียวในตอนกลางคืนในวันจันทร์วันพุธและวันศุกร์ การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยคู่ของเขาและพ่อของเขา
    - - รักษาโรคติดเชื้อราในช่องคลอดชนิดเกิดซ้ำข้อมูลในปัจจุบันมีเพียงการศึกษาระยะสั้น และมีอุบัติการณ์การเกิดซ้ำได้ค่อนข้างสูง การวินิจฉัยจะต้องประกอบด้วยหลักฐานการวินิจฉัยการติดเชื้อราในช่องคลอดอย่างน้อย 4 ครั้งใน 12 เดือนที่ผ่านมา ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะต้องประเมินปัจจัยเสี่ยงอย่างละเอียดและต้องได้รับการเพาะเชื้อราในช่องคลอดทุกราย การรักษาประกอบด้วยการใช้ยาและการปรับพฤติกรรม รวมถึงการลดปัจจัยทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง
- - - - ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 50.5 มีอายุ 14 ปี ร้อยละ 48.5 ส่วนใหญ่นักเรียนศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ร้อยละ 42.9 อาชีพผู้ปกครองรับจ้างทั่วไป ร้อยละ 56.5 จำนวนเงินที่นักเรียนได้มาโรงเรียนในแต่ละวัน 70-100 บาท ร้อยละ 44.0 สถานภาพครอบครัวอาศัยกับบิดามารดาร้อยละ 69.0 นักเรียนอาศัยอยู่บ้านของตนเอง ร้อยละ 91.5 พบว่าส่วนใหญ่นักเรียนมีความรู้อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 88.0 ระดับเจตคติต่อการป้องกันโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ในวัยเรียน พบว่าส่วนใหญ่นักเรียน มีเจตคติระดับดี ร้อยละ 74.5 ระดับการปฏิบัติในการป้องกันโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ในวัยเรียน พบว่าส่วนใหญ่นักเรียนมีการปฏิบัติตัวอยู่ในระดับดี ร้อยละ 54.0 ผลการเปรียบเทียบความรู้ เจตคติ และการปฏิบัติก่อนและหลังในการป้องกันโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ในวัยเรียนพบว่ากลุ่มตัวอย่าง มีคะแนนเฉลี่ยหลังการทดลองมากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ (P < 0.05)
    - - อัตราความชุกของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พบว่าสูงถึง 306 ต่อผู้หญิง 1,000 คน เปอร์เซ็นต์ของท่อปัสสาวะอักเสบที่ไม่ใช่ gonococcal หนองในเทียมเชื้อรา candidiasis trichomoniasis และซิฟิลิสเท่ากับ 70.0, 16.8, 8.4, 3.8 และ 1.0 ตามลำดับ พบว่าผู้หญิงที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างสม่ำเสมอมีความเสี่ยงสูงกว่าและความสม่ำเสมอในการรักษาสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่าระดับความสม่ำเสมอของการรักษาสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ในการประมาณอัตราการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มผู้คุ้มกัน