Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การป้องกันและช่วย้หลือเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุและสารพิษ - Coggle Diagram
การป้องกันและช่วย้หลือเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุและสารพิษ
การสำลักสิ่งแปลกปลอม
หมายถึง
การที่สิ่งแปลกปลอมเข้าปาก จมูก และสำลักจนติดคอ อุดกั้นกล่องเสียงและหลอดลมคอ ส่งผลให้เกิดอาการของการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนต้นอย่างเฉียบพลัน
สาเหตุ
พบในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า3 ปี
ที่มีความอยากรู้อยากเห็น สนใจชอบค้นคว้า ทดลองด้วยตนเอง จึงมักเอาสิ่งแปลกปลอมใส่ไปในช่องต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะช่องทางเดินหายใจอัน
รูจมูก และปากจนเกิดการสำลักติดคอหรือชอบพูดคุยหัวเราะหรือเล่นกันขณะรับประทานอาหาร การรับประทานผลไม้ที่มีเมล็ด ของเล่นเด็กที่ไม่เหมาะสมไม่ปลอดภัย
เช่น ของเล่นที่หลุดเป็นชิ้นเล็กๆ เด็กอาจนำเข้าปากจนสำลักติดคอ
พาธิสภาพ
การสำลักสิ่งแปลกปลอมติดคอจะทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น เนื่องจากลักษณะทางกายวิภาคของทางเดินหายใจส่วนต้นของเด็กมีขนาดเล็กและแคบ ส่งผลต่อภาวะขาดออกซิเจน การอุดกั้นอย่างสมบูรณ์จะทำให้อากาศหรือออกซิเจนเข้าสู่หลอดและปอดไม่เลย
อาการและอาการแสดง
หายใจเข้ามีเสียงดัง หายใจลำบาก ขณะหายใจหน้าอกบุ๋ม
มีอาการไอและมีอาการเขียว สำลัก ไออย่างรุนแรง
การรักษา
1.ในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 1ปี ให้วางเด็กลงบนแขนของผู้ช่วยเหลือโดยให้ศีรษะต่ำ ตบหลัง (Back Blow)และสลับด้วยการอุ้มเด็กนอนหงายบนแขน และใช้นิ้วกลางและนิ้วนางของมือขวากดบนหน้าอก (Chest Thrust)อย่างละ 5 ครั้ง จนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออก เปิดปากเด็กเพื่อดูสิ่งแปลกปลอม
ในเด็กโต ใช้เทคนิคกดบริเวณหน้าท้อง (Abdominal Thrust หรือเรียกว่าHeimlich Manuever)โดยทำในท่านั่งหรือยืนโน้มตัว ไปทางด้านหน้าเล็กน้อย ผู้ช่วยเหลือเข้าทางด้านหลัง ใช้แขนสอดสองข้างโอบผู้ป่วยไว้ มือซ้ายประคองมือขวาที่กำมือวางไว้ที่ใต้ลิ้นปี่ ดันกำมือขวาเข้าใต้ลิ้นอย่างรวดเร็วเพื่อให้เกิดแรงดันในช่องท้อง ดันเข้าใต้กระบังลมผ่านไปยังช่องทรวงอก เพื่อดันให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกจากกล่
ไฟไหม้
ไฟไหม้และนํ้าร้อนลวก (Burn and Scald)
คือ
เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อได้รับอันตรายจากการถูกความร้อนที่มากเกินทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อและเกิดแผล
พยาธิสภาพ
เนื้อเยื่อของร่างกายเมื่อสัมผัสกับความร้อน มีการทำลายของ หลอดเลือดส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นตายทำให้มีเลือดมากเลี้ยงน้อยลงจากหลอดเลือดถูกทำลายทำให้มีการรั่วของสารนํ้าออกนอกหลอดเลือด เกิดการรั่วไหลของพลาสมาซึ่งมีส่วนของอัลบูมินบริเวณนั้นเกิดการบวมของเนื้อเยื่อ
สาเหตุ
ความร้อน เช่น ไฟ (เตาไฟ ตะเกียง พลุ ประทัด บุหรี่),
วัตถุที่ร้อน (เตารีด จานชามที่ใส่ของร้อน)
นํ้าร้อน (กระติกนํ้า กานํ้า ไอนํ้า หม้อนํ้า)
นํ้ามันร้อน ๆ (ในกระทะ)
กระแสไฟฟ้า (ไฟฟ้าช็อต)
สารเคมี
กรด ด่าง
รังสี เช่น แสงแดด (แสงอัลตราไวโอเลต), รังสีโคบอลต์, รังสีเรเดียม, รังสีนิวเคลียร์, ระเบิดปรมาณู
อาการและอาการแสดง
ขนาดความกว้างของบาดแผล
บริเวณพื้นที่ของบาดแผล บาดแผลที่มีขนาดใหญ่ อาจทำให้ร่างกายสูญเสียนํ้า โปรตีน และเกลือแร่ ถึงกับเกิดภาวะช็อกได้
อาจมีโอกาสติดเชื้อถึงขั้นเป็นโลหิตเป็นพิษและเสียชีวิตได้การประเมินขนาดกว้างของบาดแผล
โดยทั่วไปนิยมคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ผิวหนังทั่วร่างกาย ซึ่งถ้าคิดแบบคร่าว ๆ ก็ให้เทียบเอาว่าแผลขนาด1ฝ่ามือของผู้ป่วย เท่ากับ 1% ของผิวหนังทั่วร่างกายเช่น ถ้าแผลมีขนาดเท่ากับ 5ฝ่ามือ ก็คิดเป็นประมาณ 5%
ความลึกของบาดแผล
(Degree of burn wound) ผิวหนังคนเราจะมีความลึก 2 ชั้น ได้แก่ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และชั้นหนังแท้ (Dermis) เราสามารถแบ่งบาด
บาดแผลไฟไหม้นํ้าร้อนลวกออกได้เป็น 3 ระดับ
2.ระดับสอง (second degree burn)
มีการทำลายของผิวหนัง แต่ลึกถึงผิวหนังชั้นใน ต่อมเหงื่อ และรูขุมขน จะปรากฏอาการบวมแดงมากขึ้น มีผิวหนังพอง และมีนํ้าเหลืองซึม
จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนัก อาจทำให้สูญเสียนํ้า โปรตีน และเกลือแร่ และติดเชื้อได้ง่าย
ระดับที่ 3(Third degree burn)
บาดแผลที่มีการทำลายของหนังกำพร้าและหนังแท้ทั้งหมด รวมทั้งต่อมเหงื่อ ขุมขน และเซลล์ประสาท และอาจกินลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อหรือกระดูกผู้ป่วยจึงมักไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผลเนื่องจากเส้นประสาทที่อยู่บริเวณผิวหนังแท้ถูกทำลายก (Hypertrophic scar or keloid) นอกจากนี้ยังมีโอกาสเกิดแผลหดรั้งทำให้ข้อยึดติดตามมาสูงมาก ถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง
ระดับที่ 1(First degree burn)
เนื้อเยื่อชั้นผิวหนังจะถูกทำลายเพียงบางส่วน เป็นชั้นตื้นๆ มีเฉพาะอาการผื่นแดง ปวดแสบปวดร้อน ผิวหนังยังไม่พองเช่น บาดแผลที่เกิดจากถูกนํ้าร้อนลวก ถูกแสงแดด
การปฐมพยาบาลแผลไฟไหม้นํ้าร้อนลวก
บาดแผลไฟไหม้นํ้าร้อนลวกระดับที่ 1ให้ล้างทำความสะอาดแผลด้วยนํ้าสะอาดอุณหภูมิปกติ หรือเปิดนํ้าให้ไหลผ่าน หรือแช่อวัยวะส่วนที่เป็นแผลลงในนํ้าสะอาดประมาณ 15-20 นาทีหรือจนกว่าอาการปวดแสบปวดร้อนจะลดลง(อาจใช้สบู่อ่อน ๆ ชะล้างสิ่งสกปรกออกไปก่อนและล้างด้วยนํ้าสะอาด) โดยนํ้าที่ใช้แช่ควรเป็นนํ้าธรรมดาจากก๊อกนํ้า ไม่ควรใช้นํ้าเย็นจัดนํ้าจากตู้เย็น หรือนํ้าแข็ง เพราะอาจทำให้บาดแผลลึกมากขึ้นได้
การรักษา
วิธีการรักษา
ช่วยหายใจ เด็กที่ถูกไฟไหม้ในที่ สูดควันหรือแก๊ส
ถูกความร้อนลวกบริเวณ ใบหน้า คอ
ต้องได้รับการดูแลในเรื่องการหายใจ
ดูแลระบบไหลเวียน ภาวการณ์ไหลเวียนล้มเหลว ด้วยการให้สารนํ้า
การรักษาบาดแผล
การตกแต่งบาดแผล (debridement) เป็นการกำจัดเนื้อตายจากบาดแผล
ช่วยลดการติดเชื้อ เพราะจะกำจัดเนื้อเยื่อที่มีเชื่อจุลินทรีย์
การปลูกถ่ายผิวหนัง (skin graft)ทำทุกรายที่ผิวหนังถูกเผาไหม้ทุกชั้นหลังจาก
เนื้อเยื่องอกขึ้นมาเต็มและตัดเอาเนื้อตายออกหมด แผลสะอาดดี การปลูกถ่ายที่ดีที่สุดคือเอาผิวหนังของเด็ก
การจมนํ้าDrowning
พยาธิสภาพ
เมื่อเด็กจมนํ้าและหายใจในนํ้าครั้งแรก เด็กจะไอจากการระคายเคืองที่มีนํ้าในจมูกและคอ นํ้าจะเข้ากล่องเสียงทำให้เกิดการหดเกร็งของกล่องเสียง อากาศและนํ้าเข้าหลอดลมไม่ได้เกิดภาวะขาดออกซิเจน ตามด้วยการสูดหายใจเอานํ้าเข้าไปในปอด ทำให้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ เพราะถุงลมเต็มไปด้วยนํ้า
แบ่งออกเป็น
1.การจมนํ้าเค็ม ( Salt-water Drowning)
นํ้าเค็ม(Hypertonic solution) ทำให้เกิดภาวะ pulmonary edema ปริมาตรนํ้าที่ไหลเวียนในร่างกายลดลง เกิดภาวะ hypovolemia ระดับเกลือแร่ในร่างกายสูงขึ้น หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจวาย ช็อกได้
การจมนํ้าจืด (Freshwater-Drowning)
นํ้าจืด (Hypotonic solution) จะซึมผ่านเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตของปอดอย่างรวดเร็ว เกิด hypervolemia ทำให้ระดับเกลือแร่ในเลือดลดลง หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจวาย อาจเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกhemolysis
การช่วยเหลือเด็กที่จมน้ำ
กรณีที่เด็กหมดสติ เช็กว่ายังมีลมหายใจอยู่ไหม หัวใจเต้นหรือเปล่า ถ้าไม่ ให้โทร. เรียกหน่วยรถพยาบาลหรือหน่วยกู้ภัยโดยด่วน จากนั้นให้ช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานโดยนวดหัวใจสลับกับการช่วยหายใจ
วิธีการช่วยหายใจโดยการเป่าปาก
จับศีรษะให้หงายขึ้นให้มากที่สุด ใช้ฝ่ามือกดหน้าผากของเด็กไว้ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบจมูก จากนั้นใช้ปากครอบลงบนปากของผู้ป่วยให้มิด แล้วเป่าลมเข้าไปให้สุดลมหายใจของเรา
ตาดูที่หน้าอกว่าขยายหรือไม่
ถ้าเห็นอกไม่ขยาย ให้ปล่อยมือที่บีบจมูกไว้ จากนั้นเป่าลมเข้าไปใหม่ ทำสลับกับการนวดหัวใจ โดยนวดหัวใจ 30 ครั้ง สลับกับการเป่าปาก 2 ครั้ง
เมื่อนำตัวเด็กขึ้นมาอยู่บนฝั่งได้แล้ว ในกรณีที่เด็กรู้สึกตัว ให้รีบเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า ใช้ผ้าคลุมตัวเพื่อทำให้เกิดความอบอุ่น จัดให้นอนในท่าตะแคงกึ่งควํ่า แล้วนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
วิธีอื่นๆ
ให้เด็กนอนราบบนพื้นแข็ง
วัดตำแหน่งที่เหมาะสำหรับการนวดหัวใจ โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางข้างที่ถนัด วาดจากขอบชายโครงล่างของผู้ป่วยขึ้นไป จนถึงปลายกระดูกหน้าอก วัดเหนือปลายกระดูกหน้าอกขึ้นมา 2 นิ้วมือ แล้วใช้สันมือข้างที่ไม่ถนัดวางบนตำแหน่งดังกล่าว จากนั้นใช้สันมือข้างที่ถนัดวางทับลงไป และเกี่ยวนิ้วมือให้นิ้วมือที่วางทับแนบชิดในร่องนิ้วมือข
ผู้ช่วยเหลือยืดไหล่และแขนเหยียดตรง จากนั้นปล่อยนํ้าหนักตัวผ่านจากไหล่ไปสู่ลำแขนทั้งสอง และลงไปสู่กระดูกหน้าอกในแนวตั้งฉากกับลำตัวของเด็ก กดลงไปลึกประมาณ 2 นิ้ว หรือประมาณ 5 เซนติเมตร ของความหนาหน้าอก โดยกดลงไปในแนวดิ่ง และอย่ากระแทก ทั้งนี้ให้ทำสลับกับการเป่าปาก โดยเป่าปาก 2 ครั้ง กดหน้าอก 30 ครั้ง
การกดนวดหัวใจ ควรนวดเป็นจังหวะสมํ่าเสมอ ในอัตราเร็วอย่างน้อย 100ครั้ง/นาที
กระดูกหักและข้อเคลื่อน (Fracture and Dislocation)
ความหมาย
กระดูกหัก หมายถึงภาวะที่โครงสร้างหรือส่วนประกอบของกระดูกแยกออกจากกัน
ข้อเคลื่อน หมายถึงภาวะที่มีการเคลื่อนของผิวข้อออกจากที่ที่ควรจะอยู่หรือ
กระดูกหลุดออกจากเบ้า ซึ่งการบาดเจ็บของข้อและกระดูกยังส่งผลให้เนื้อเยื่อที่อยู่
โดยรอบกระดูกหลอดเลือดนํ้าเหลืองเส้นประสาทและเส้นเอ็นได้รับอันตรายด้วย
สาเหตุ
เกิดจากการได้รับอุบัติเหตุมีแรงกระแทกบริเวณกระดูกโดยตรง
เช่น ถูกตี รถชน ตกจากที่สูง
อาการและอาการแสดง
มีอาการปวดและกดเจ็บ บริเวณที่กระดูกมีพยาธิสภาพโดยเฉพาะเมื่อมีการเคลื่อนไหว
บวม เนื่องจากมีเลือดออกบริเวณที่กระดูกหักพลาสมาซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อหรือกระดูกเกยกันก็ทำให้ดูบริเวณนั้นใหญ่ขึ้น
รอยจํ้าเขียว เนื่องจากมีเลือดซึมจากชั้นในขึ้นมายังผิวหนังหรือรอยฟกชํ้าจากถูกแรง กระแทก
อวัยวะส่วนที่ได้รับบาดเจ็บมีลักษณะผิดรูป มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
หลักการการดูแลเมื่อเข้าเฝือก
1.
ภายใน 24 ชั่วโมงแรกควรประเมินเด็กทุก 1 ชั่วโมงเพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากเผือกบีบรัดแน่นเกินทำให้เกิดอาการบวมหลอดเลือดและเส้นประสาทถูกกดซึ่งสามารถประเมินได้จาก 5 PS
1.1 จับชีพจรว่าเต้นแรงตีหรือไม่เปรียบเทียบกับแขนขาข้างที่ปกติ (pulselessness)
1.2 สังเกตบริเวณอวัยวะส่วนปลายคือปลายมือปลายเท้าผิวหนังเล็บถ้าการไหลเวียนเลือดไม่ดีถูกเผือกกดจะพบอวัยวะส่วนปลายเหล่านี้มีสีคลํ้าเย็นซีดมีอาการชาขาดความรู้สึกต่อการสัมผัส (pallor paresthesia)
1.3เคลื่อนไหวนิ้วมือนิ้วเท้าไม่ได้จากเส้นประสาทถูกกด (paralysis)
1.4 อาการเจ็บปวดที่มากกว่าเดิม (pain)
1.5. อาการบวม (swelling) ซึ่งอาจเกิดจากการเข้าเผือกแน่นเกิน
ยกส่วนที่เข้าเฝือกให้สูงเล็กน้อยด้วยการใช้หมอนรองใต้เผือกความยาวของเผือกนานประมาณ 48 ชั่วโมง เพื่อช่วยลดอาการบวม
3.ดูแลเผือกห้ามเปียกนํ้า
สารพิษ(Poisons)
หมายถึง
สารเคมีที่มีสภาพเป็นของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายโดย การรับประทาน การฉีด การหายใจ หรือการสัมผัสทางผิวหนัง แล้วทำให้เกิดอันตรายต่อโครงสร้างและหน้าที่ของร่างกาย ด้วยปฏิกิริยาทางเคมี อันตรายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ คุณสมบัติ ปริมาณ และทางที่ได้รับสารพิษนั้น
สารพิษจำแนกตามลักษณะการออกฤท
1.ชนิดกัดเนื้อ(Corrosive)ทำให้เนื้อเยื่อของร่างกายไหม้พองได้แก่สารละลายพวกกรดและด่างเข้มข้นนํ้ายาฟอกขาว
2.ชนิดทำให้ระคายเคือง(Irritants)ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนและอาการอักเสบในระยะต่อมาได้แก่ฟอสฟอรัสสารหนูอาหารเป็นพิษซัลเฟอร์ไดออกไซด์
3.ชนิดที่กดระบบประสาท(Narcotics)ทำให้หมดสติหลับลึกปลุกไม่ตื่นม่านตาหดเล็กได้แก่ฝิ่นมอร์ฟีนพิษจากงูบางชนิด
4.ชนิดที่กระตุ้นระบบประสาท(Dililants)ทำให้เกิดอาการเพ้อคลั่งใบหน้าและผิวหนังแดงตื่นเต้นชีพจรเต้นเร็วช่องม่านตาขยายได้แก่ยาอะโทรปีนลำโพง
การประเมินภาวะการได้รับสารพิษ
•
การคลื่นไส้อาเจียนปวดท้องนํ้าลายฟูมปากหรือมีรอยไหม้นอกบริเวณริมฝีปากมีกลิ่นสารเคมีบริเวณปาก
เพ้อชักหมดสติมีอาการอัมพาตบางส่วนหรือทั่วไปขนาดช่องม่านตาผิดปกติอาจหดหรือขยาย
หายใจขัดหายใจลำบากมีเสมหะมากมีอาการเขียวปลายมือปลายเท้าหรือบริเวณริมฝีปากลมหายใจมีกลิ่นสารเคมี
ตัวเย็นเหงื่อออกมากมีผื่นหรือจุดเลือดออกตามผิวหนัง
การปฐมพยาบาล
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางปาก
ทำให้สารพิษเจือจางให้นม
นำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการล้างท้องเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร
ทำให้ผู้ป่วยอาเจียนเพื่อเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร
ข้อห้ามในการทำให้ผู้ป่วยอาเจียน
หมดสติ
ได้รับสารพิษชนิดกัดเนื้อเช่นกรดด่าง
รับประทานสารพิษพวกนํ้ามันปิโตรเลียมเช่นนํ้ามันก๊าดเบนซิน
ให้สารดูดซับสารพิษในระบบทางเดินอาหารเพื่อลดปริมาณการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกายสารที่ใช้ได้ผลดีคือActivatedcharcoalมีลักษณะเป็นผงถ่านสีดำใช้๑ช้อนโต๊ะละลายนํ้า๑แก้วให้ผู้ป่วยดื่มถ้าหาไม่ได้อาจใช้ไข่ขาว๓-๔ฟองตีให้เข้ากัน
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารกัดเนื้อ(Corrosivesubstances)
กรดด่างเป็นสารเคมีที่พบในชีวิตประจำวันกรดซัลฟุริก
กรดไฮโดรคลอริกโซเดียมคาร์บอเนต
อาการและอาการแสดง
ไหม้พองร้อนบริเวณริมฝีปากปากลำคอและท้องคลื่นไส้อาเจียนกระหายนํ้าและมีอาการภาวะช็อคได้แก่ชีพจรเบาผิวหนังเย็นชื้น
การปฐมพยาบาล
ถ้ารู้สึกตัวดีให้ดื่มนม
อย่าทำให้อาเจียน
รีบนำส่งโรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพวกนํ้ามันปิโตเลียม
สารพวกนี้ได้แก่นํ้ามันก๊าดเบนซินยาฆ่าแมลงชนิดนํ้ามันเช่นDTT.
อาการและอาการแสดง
แสบร้อนบริเวณปากคลื่นไส้อาเจียนซึ่งอาจสำลักเข้าไปในปอดทำให้หายใจออกมามีกลิ่นนํ้ามันหรือมีกลิ่นนํ้ามันปิโตเลียมอัตราการหายใจและชีพจรเพิ่มอาจมีอาการขาดออกิเจนซึ่งอาจรุนแรงมากมีเขียวตามปลายมือปลายเท้า(Cyanosis)
การปฐมพยาบาล
รีบนำส่งโรงพยาบาล
ห้ามทำให้อาเจียน
ระหว่างนำส่งโรงพยาบาลถ้าผู้ป่วยอาเจียนให้จัดศีรษะตํ่าเพื่อป้องกันการสำลักนํ้ามันเข้าปอด
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับ ยาแก้ปวด ลดไข้
อาการและอาการแสดง
อาการและอาการแสดง ของผู้ที่ได้รับ ยาแอสไพริน
หูอื้อ เหมือนมีเสียงกระดิ่งในในหู การได้ยินลดลง เหงื่อออกมาก ปลายมือปลายเท้าแดง ชีพจรเร็ว คลื่นไส้อาเจียน หายใจเร็ว ใจสั่น
อาการและอาการแสดง ของผู้ที่ได้รับ ยาพาราเซตามอล
ยานี้จะถูกดูดซึมเร็วมาก โดยเฉพาะในรูปของสารละลายทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม เหงื่อออกมาก ความดันโลหิตตํ่า สับสน เบื่ออาหาร
การปฐมพยาบาล
ทำให้สารพิษเจือจาง
ทำให้อาเจียน
ให้สารดูดซับสารพิษ ที่อาจหลงเหลือในระบบทางเดินอาหาร
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางการหายใจ
เช่น
ก๊าซที่ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนเกิดอาการวิงเวียนหน้ามืดเป็นลมหมดสติถึงแก่ความตายได้เช่นคาร์บอนมอนนอกไซด์คาร์บอนไดออกไซด์ไฮโดรเจนไนโตรเจน
•
ก๊าซที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจได้แก่คอหลอดลมและปอดถ้าได้รับในปริมาณมากอาจทำให้ตายได้เช่นซัลเฟอร์ไดออกไซด์
•
ก๊าซที่ทำให้อันตรายทั่วร่างกายได้แก่ก๊าซอาร์ซีนไม่มีสีกลิ่นคล้ายกระเทียมพบได้ในโรงงานอุตสาหกรรมใช้ทำแบตเตอรี่เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตกปัสสาวะเป็นเลือดดีซ่านตาเหลืองตัวเหลือง
การปฐมพยาบาล
กลั้นหายใจและรีบเปิดประตูหน้าต่าง ๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเท มีอากาศบริสุทธิ์เข้ามาในห้อง ปิดท่อก๊าซ หรือขจัดต้นเหตุของพิษนั้น ๆ
นำผู้ป่วย ออกจากบริเวณที่เกิดเหตุไปยังที่มีอากาศบริสุทธิ์
ประเมินการหายใจและการเต้นของหัวใจ ถ้าไม่มีให้ผายปอดและนวดหัวใจ
นำส่งโรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีถูกผิวหนัง
ล้างด้วยนํ้าสะอาดนานๆอย่างน้อย๑๕นาที
อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมีเพราะความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
ปิดแผลแล้วนำส่งโรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีเข้าตา
ล้างตาด้วยนํ้านาน๑๕นาที่โดยการเปิดนํ้าก๊อกไหลรินค่อยๆ
อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมีเพราะความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
ปิดตาแล้วนำส่งโรงพยาบาล