Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 3 การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค - Coggle Diagram
บทที่ 3 การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
ทารกขณะอยู่ในครรภ์ได้รับภูมิคุ้มกันโรคโดยผ่านทางรก ทำให้สามารถป้องกันโรคบางชนิดได้ หลังคลอดภูมิคุ้มกันโรคจะลดลงโดยเฉพาะภูมิคุ้มกันต่อโรคแบคทีเรีย จะหมดไปประมาณ 1-2 เดือนหลังคลอด ภูมิคุ้มกันโรคจากเชื้อไวรัสอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือนหลังคลอด
วัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันแบ่งเป็น
การสร้างภูมิคุ้มกันโรคในเด็ก
การสร้างภูมิคุ้มกันโรคแบบ Actiive immunization
เป็นการให้ antigen หรือวัคซีนเข้าไปในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมคุ้มกัน(antibody) ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นเหล่านี้ สามารถป้องกันโรคได้เป็นปีๆหรือบางชนิดอาจอยู่ได้ตลอดไป เช่น หัด หัดเยอรมัน คางทูม แต่บางชนิดก็อยู่ได้เพียงระยะหนึ่ง เช่น ไทฟอยด์ อยู่ได้ประมาณ 3 ปีการสร้างภูมิคุ้มกันประเภทนี้อาจเกิดภายหลังการติดเชื้อตามธรรมชาติเช่น หัด อีสุกอีใส เป็นต้น
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มที่ 1 ท๊อกซอยด์(toxoid)
ใช้ป้องกันโรคที่เกิดขึ้นเป็นผลจากพิษหรือท๊อกซินของแบคทีเรีย ไม่ได้เกิดจากตัวแบคทีเรียโดยตรง เช่น โรคคอตีบ/Diptheria หรือโรคบาดทะยัก/Tetanus
กลุ่มที่ 2 วัคซีนชนิดเชื้อไม่มีชีวิต (inactivated หรือ killed vaccine)
เป็นวัคซีนที่ทำมาจากแบคทีเรียหรือไวรัสทั้งตัวที่ทำให้ตายแล้ว(whole cell vaccine)ได้แก่ โรคไอกรน/Pertussis วัคซีน ป้องกันไข้สมองอักเสบ/JE ชนิดไม่มีชีวิต
กลุ่มที่ 3 วัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิต (live attenuated vaccine)
เป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อเป็นที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ทำให้ฤทธิ์อ่อนลงแล้ว ส่วนใหญ่เป็นวัคซีนสำหรับไวรัส ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดกิน(OPV) วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูมและหัดเยอรมัน(MMR) วัคซีนป้องกันโรคสุกใส (varicellar vaccine)วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ/JEชนิดมีชีวิต และวัคซีน Rota virus ส่วนวัคซีนที่เป็นแบคทีเรีย ได้แก่ วัคซีน ป้องกันวัณโรค (BCG)
ข้อควรระวัง
เนื่องจากวัคซีนกลุ่มนี้ เป็นเชื้อมีชีวิต แม้ว่าจะทำให้อ่อนฤทธิ์ลง แต่ก็ยังต้องระวังในการให้โดยเฉพาะเด็กที่มีภูมิต้านทานต่ำ หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เพราะอาจทำให้เด็กเกิดโรคจากวัคซีนที่เด็กได้รับ
นอกจากนี้ถ้าได้รับ เลือด พลาสมา อิมมูโนโกลบุลิน ในช่วง 3 เดือน จะไม่ให้วัคซีนเชื้อมีชีวิตเนื่องจากการที่ผู้ป่วยได้รับเลือด พลาสมา อิมมูโนโกลบุลิน จะเป็นช่วงที่ร่างกายมีภูมิต้านทานสูง จึงอาจขัดขวางการอออกฤทธิ์ของวัคซีน
การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแบบ Passive immunization
เป็นการให้สารที่มีภูมิคุ้มกันโรคอยู่แล้ว (Antibody) เข้าไปในร่างกายโดยตรงโดยที่ไม่ได้สร้างเอง ซึ่งภูมิคุ้มกันในลักษณะนี้จะสามารถป้องกันโรคได้ในในทันทีแต่จะอยู่ในร่างกายได้ไม่นาน ประมาณ 3-4 สัปดาห์ก็จะหมดไป เช่น Tetanus antitoxin (TAT) Diphtheria antitoxin (DAT) นอกจากนี้ยังรวมถึง การได้รับภูมิคุ้มกันผ่านทางรก หรือ ถ่ายทอดผ่านทาง colostrums ในน้ำนมแม่ด้วย
วิธีการให้วัคซีน
การกิน (oral route)
ใช้ในกรณีที่ต้องการกระตุ้นภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ เช่น ต้องการให้เกิดภูมิคุ้มกันในลำไส้ โดยมากใช้กับวัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิต เช่น วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ วัคซีนป้องกันโรคไข้ทัยฟอยด์ชนิดกิน Rota virus
การฉีดเข้าในหนัง (intradermal หรือ intracutaneous route)
วิธีนี้มักจะใช้เมื่อต้องการลดจำนวนantigen ให้น้อยลง การฉีดเข้าในหนังทำให้antigen เข้าไปทางท่อน้ำเหลืองได้ดี สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดเซลล์เป็นสื่อได้ดีด้วย การฉีดทำได้ยากกว่าวิธีอื่น ผู้ฉีดจะต้องมีความชำนาญ
การฉีดเข้าใต้หนัง (subcutaneous route)
มักจะใช้กับวัคซีนที่ไม่ต้องการให้ดูดซึมเร็วเกินไป เพราะอาจเกิดปฏิกิริยารุนแรง เช่น วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน วัคซีนป้องกันโรคไข้ทัยฟอยด์ วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ(JE) เป็นต้น
การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (intramuscular route)
ใช้เมื่อต้องการให้การดูดซึมดี การฉีดเข้ากล้ามเนื้อจะให้ได้ผลดี ควรฉีดบริเวณต้นแขน (deltoid) เพราะการดูดซึมดีที่สุด ไขมันไม่มาก เลือดมาเลี้ยงดี นอกจากนี้การเคลื่อนไหวของแขนทำให้ดูดซึมดีขึ้น ตำแหน่งที่นิยมรองลงมาคือ บริเวณกึ่งกลางต้นขาด้านหน้าค่อนไปด้านนอก (mid anterolateral thigh) ซึ่งมักใช้ในเด็ก เนื่องจากแขนยังมีกล้ามเนื้อน้อย ในปัจจุบันไม่แนะนำให้ฉีดบริเวณสะโพก เพราะอาจเกิดอันตรายต่อเส้นประสาทไซเอติค (sciatic nerve)การดูดซึมต่ำ นอกจากนี้ บางรายอ้วนฉีดเข้าไม่ถึงชั้นกล้ามเนื้อ
ในเด็กเล็ก จะฉีดวัคซีนเข้าที่กล้ามเนื้อต้นขาส่วนหน้า(Vastus lateralis) ซึ่งจะอยู่บริเวณต้นขาหน้าค่อนไปด้านนอก (Antero lateralis) ก่อนฉีดจะต้องทำการวัดก่อน โดยแบ่งบริเวณตั้งแต่ปุ่มกระดูกใหญ่ของกระดูกต้นขา (Greater tronchanter of femur)ถึง ปุ่มกระดูกบริเวณหัวเข่า(Lateral femoral condyle)เป็น 3 ส่วนเท่าๆกัน แล้วฉีดในบริเวณส่วนที่ 2 ค่อนไปด้านข้าง
หลักการทั่วไปในการให้วัคซีน
วัคซีนหลายชนิดอาจให้พร้อมกันในวันเดียวกันได้วัคซีนชนิดเชื้อไม่มีชีวิตสามารถให้พร้อมกันได้ แต่ควรให้ต่างตำแหน่งกัน
วัคซีนที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาในเวลาเดียวกันไม่ควรให้พร้อมกันเพราะทำให้ปฏิกิริยามากขึ้น เช่น วัคซีนดีทีพีกับวัคซีนป้องกันโรคไข้ทัยฟอยด์
วัคซีนไวรัสชนิดเชื้อมีชีวิตนั้นสามารถให้พร้อมกันในวันเดียวกันได้ ถ้าไม่ได้ให้พร้อมกันจะต้องเว้นห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน วัคซีนชนิดเชื้อไม่มีชีวิตสามารถให้ห่างจากวัคซีนชนิดอื่นที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตกี่วันก็ได้
การให้วัคซีนห่างเกินกว่ากำหนดไม่ได้ทำให้ภูมิคุ้มกันเกิดน้อยลง ในทางตรงกันข้ามการฉีดวัคซีนที่เร็วกว่ากำหนดอาจทำให้ภูมิคุ้มกันขึ้นได้น้อยลงหรืออยู่ไม่นานตามกำหนด เนื่องจาก Antibody ที่เกิดจากการให้ไปแล้วในครั้งก่อนยังสูงอยู่ อาจไปจับกับ Antigen ที่ฉีดเข้าไปใหม่ทำให้ประสิทธิภาพในการสร้างภูมิต้านทานลดน้อยลง เด็กที่ไม่ได้มาฉีดวัคซีนตามนัด คือเลยกว่ากำหนด สามารถฉีดเข็มต่อไปได้เลย โดยไม่ต้องตั้งต้นใหม่ แต่ถ้าเป็นไปได้ควรให้ตรงตามนัด เพื่อให้การสร้างภูมิคุ้มกันเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน
ผู้ที่เจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น หวัด ไอ หรือไข้ต่ำ ๆ สามารถให้วัคซีนได้เด็กที่กำลังมีไข้สูง ควรเลื่อนกำหนดการฉีดวัคซีนออกไปจนกว่าไข้จะหายแล้ว
ผู้ที่ได้รับอิมมูโนโกลบุลิน พลาสม่า หรือเลือดมาไม่ถึง 3 เดือน ไม่ควรให้วัคซีนไวรัสที่มีชีวิต เช่น วัคซีน MMR เพราะการได้รับเลือดและผลิตภัณฑ์ของเลือด ผู้รับจะมี Antibody เพิ่มมากขึ้น ซึ่ง Antibody ที่เพิ่มมากขึ้นนี้จะไปทำลายวัคซีนเชื้อมีชีวิตให้ตายหมด จึงไม่มีตัวกระตุ้นให้สร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อนั้นๆ
เด็กที่เคยได้วัคซีนดีทีพีแล้วมีไข้สูง (เกิน 40.5 องศาเซลเซียส) ภายใน48 ชั่วโมงหลังฉีดวัคซีนมีอาการชักโดยมีไข้หรือชักไม่มีไข้ก็ตามภายใน 3 วัน กรีดร้องนานเกินว่า 3 ชั่วโมง ภายใน 48 ชั่วโมง ครั้งต่อไปไม่ควรให้วัคซีนรวม DTwP ควรให้เฉพาะวัคซีนรวมป้องกันเฉพาะโรคคอตีบและบาดทะยัก ( DT ) เท่านั้น
เด็กที่เคยแพ้ไข่ คือมีอาการปากบวม ลมพิษขึ้น หายใจไม่ออก หอบ ช็อคภายหลังกินไข่ ไม่ควรให้วัคซีนรวม MMR ชนิดที่มาจากเซลล์เพาะเชื้อจากไข่ เพราะมีโอกาสแพ้ได้
ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ควรให้วัคซีนเหมือนเด็กที่เกิดครบกำหนด โดยไม่ต้องพะวงถึงอายุครรภ์ก่อนคลอด แต่ถ้าเด็กยังอยู่ใน nursery ไม่ควรให้OPV ในหน่วยทารากแรกเกิด เพราะจะทำให้เชื้อติดต่อไปยังเด็กคนอื่นได
เด็กที่มีภูมิคุ้มกันผิดปกติเช่น ผู้ที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน (steroid) ต้องงดการให้วัคซีนเชื้อมีชีวิต เนื่องจากวัคซีนเชื้อเป็นจะเข้าไปแบ่งตัวเพิ่มจำนวนทำให้ผู้รับวัคซีนเกิดการติดเชื้อ
เด็กที่ได้ยากดภูมิคุ้มกันสามารถให้ท๊อกซอยด์ และวัคซีนชนิดเชื้อไม่มีชีวิตได้ถึงแม้ว่าภูมิคุ้มกันจะเกิดขึ้นน้อยกว่าคนปกติ แต่ก็เกิดขึ้นเพียงพอที่จะป้องกันโรค ส่วนวัคซีนที่ทำจากไวรัสที่มีชีวิต ไม่ควรให้ จนกว่าได้หยุดยาที่กดภูมิคุ้มกันไปแล้วอย่างน้อย 3 เดือน
เด็กที่ได้วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน แล้วเกิดอาการชักภายใน 3 วัน หรือมีอาการทางสมอง (encephalopathy) ภายใน 7 วัน ไม่ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิด whole cell (DTwP) ในครั้งต่อไป
เด็กที่มีโรคทางระบบประสาท ซึ่งยังควบคุมไม่ได้เช่น โรคลมชักที่ยุงคุมไม่ได้, infantile spasm, progressive encephalopathy ไม่ควรให้วัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิด whole cell แต่ถ้าเป็นโรคชักที่ควบคุมได้แล้ว, cerebral palsy, hydrocephalus ที่ได้รับการผ่าตัดแก้ไขแล้วหรือเป็นเด็กที่เจริญเติบโตช้า สามารถให้วัคซีนป้องกันโรคไอกรนได้
เด็กที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคชัก สามารถให้วัคซีนได้และเด็กที่มีประวัติชักเวลาไข้สูงเราก็สามารถให้วัคซีนได้ ถ้าให้วัคซีนป้องกันโรคหัดอาจต้องพิจารณาให้ยาลดไข้ตั้งแต่วันที่ 5 หลังฉีดยาแล้วและให้ต่อไปอีกประมาณ 5-7 วัน ถ้าจะให้วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ควรให้ยาแก้ไขพาราเซตามอบขนาด 15 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมทุก 4 ชั่วโมงหลังจากฉีดยาเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
การฉีดวัคซีนที่มี adjuvant(DTP) ควรให้เข้ากล้ามเนื้อเท่านั้นการให้เข้าใต้ผิวหนังหรือในหนัง อาจทำให้เกิดการระคายเคืองเฉพาะที่ อักเสบเป็นก้อนหรือทำให้เนื้อตายบริเวณที่ฉีดได้
ตำแหน่งของการฉีดวัคซีนควรฉีดในตำแหน่งที่ทำให้เกิดอันตรายน้อยที่สุดต่อหลอดเลือดเส้นประสาทและเนื้อเยื่อ การฉีดเข้าใต้หนังหรือเข้ากล้ามเนื้อในเด็กเล็กนิยมให้ที่กล้ามเนื้อบริเวณกึ่งกลางต้นขาด้านหน้าค่อนไปด้านนอก ส่วนผู้ใหญ่หรือเด็กโต นิยมให้บริเวณต้นแขนส่วนบน (deltoid)
เด็กที่ติดเชื้อ HIV หรือเชื้อโรคเอดส์ ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่มีอาการก็ตามสามารถให้วัคซีนทุกชนิดได้เหมือนเด็กปกติ ยกเว้นวัคซีนบีซีจี ซึ่งให้เฉพาะเด็กที่ติดเชื้อเอ็ชไอวีแต่ยังไม่มีอาการของโรคเอดส์ ส่วนวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน และวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดกิน สามารถให้ได้แม้ว่าเด็กจะมีอาการของโรคเอดส์แล้วก็ตามเพราะเด็กกลุ่มนี้จะมีอันตรายจากการเกิดโรคทีป้องกันได้ด้วยวัคซีนมากกว่าอันตรายจากวัคซีนเอง
เด็กที่ได้รับยากลุ่ม Steroid เช่น Prednisolone ขนาดตั้งแต่ 2 mg/kg/day ต่อเนื่องเป็นเวลาเกิน 2 สัปดาห์ ต้องหยุดยา 1 เดือน จึงจะสามารถให้วัคซีนเชื้อมีชีวิตได้แต่ถ้าไม่เกิน 2 สัปดาห์สามารถให้วัคซีนเชื้อมีชีวิตได้เลยหลังจากหยุดยา ส่วนเด็กที่ได้รับยา Steroid โดยการทาหรือฉีด เฉพาะที่ หรือได้รับยาในขนาดต่ำสามารถให้วัคซีนได้ ส่วนเด็กที่ได้รับยาเคมีบำบัดต้องรอให้หยุดยาเคมีบำบัดไปแล้ว 3-6 เดือน
ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ควรได้รับวัคซีนเช่นเดียวกับเด็กปกติ ยกเว้นการให้วัคซีนตับอักเสบบี ให้พิจารณาน้ำหนักก่อน ถ้าน้ำหนักต่ำกว่า 2,000 กรัมและมารดาไม่ได้เป็นพาหะของโรคไวรัสตับอักเสบ ควรเลื่อนการฉีดเข็มแรกไปจนกว่าทารกจะมีน้ำหนักมากกว่า 2000 กรัม หรืออายุ 2เดือน เนื่องจากทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะตอบสนองต่อวัคซีนไม่ดี
แต่ถ้ามารดาเป็นพาหะ ( HBsAg และ HBeAg positive) ต้องพิจารณาให้วัคซีนตอนแรกเกิดเหมือน
เด็กที่คลอดครบกำหนดเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และต้องให้ Hepatitis B immune globulin (HBIG)ร่วมด้วย
วัคซีนป้องกันวัณโรค (Bacille Calmette Guerin : BCG)
วัคซีนชนิดนี้เป็นวัคซีนแบคทีเรียเชื้อมีชีวิต การฉีดต้องฉีดเข้าในผิวหนังครั้งละ 0.1 cc. ในชั้นผิวหนังที่ไหล่ซ้าย
ปฏิกิริยาหลังฉีด
หลังฉีดจะเกิดตุ่มสีขาวซีด ขนาด 7-8 มิลิเมตร ต่อมาจะเป็นรอยแดง ๆ และโตขึ้นกลายเป็นฝีขนาด
เล็ก มีหนองสีครีมขาว โดยจะเริ่มเป็นตุ่มหนองประมาณ 2-4 สัปดาห์โดยจะเป็น ๆ หาย ๆ
บริเวณที่เกิดตุ่มหนองจึงห้ามใส่ยา Antibictic ทุกชนิด แต่ให้รักษาความสะอาดโดยเช็ดด้วยน้ำต้มสุก ห้ามแคะ แกะ เกา
ข้อห้ามในการให้วัคซีน BCG
ผู้ป่วยที่มีแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลติดเชื้อที่ผิวหนัง
ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ
ผูู้้ป่วยที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิดผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
ถ้าไม่มีแผลเป็นเกิดขึ้น และไม่มีหลักฐานว่าเคยได้รับวัคซีนมาก่อนให้ฉีดให้ใหม่ได้ทันที แต่ถ้าเคยได้รับวัคซีนมาก่อน ไม่ต้องฉีดซ้ำแม้ว่าจะไม่มีแผลเป็นขึ้นก็ตาม ดังนั้นต้องดูสมุดสีชมพู
วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (Diptheria Tetanus Pertussive Vaccine : DTP)
วัคซีนที่ให้จะเป็นวัคซีนรวม DTP-HB-Hib จะให้ในช่วงอายุ2 เดือน, 4 เดือน และ 6 เดือนและฉีดกระตุ้น (Booster immunization) อีก 2 เข็มเป็นวัคซีน แยก DTP กระตุ้นครั้งที่ 1 ตอน 1½ ปี และกระตุ้นครั้งที่ 2 ตอนอายุ 4 ปี โดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ปฏิกิริยาภายหลังฉีด
ปฏิกิริยาที่พบส่วนใหญ่จะมีไข้ แต่บางคนอาจจะไม่มี เด็กจะหงุดหงิดเจ็บระบมบริเวณที่ฉีด, งอแง อาการจะเกิดขึ้นภายหลังฉีดประมาณ 3-4 ชั่วโมงและจะหายไปในเวลา 2 วัน แต่วัคซีนไอกรนอาจทำให้เด็กมีไข้หลังฉีดภายใน 1-3 วันได้และพบว่าหลังฉีดอาจมีปฏิกิริยาเฉพาะที่เกิดขึ้นได้ คือปวด บวม แดง ร้อนในตำแหน่งที่ฉีดได้
ข้อควรระวังในการให้วัคซีนชนิดนี้
ห้ามให้ DTP ในเด็กอายุเกิน 6 ปีเพราะเด็กอาจมีอาการทางสมองจากวัคซีนไอกรนได้ ให้ใช้ dT แทน
ไม่ควรฉีดในเด็กที่มีประวัติชัก หรือโรคระบบประสาท
ไม่ฉีดให้กับเด็กระยะที่มีโปลิโอระบาด ไม่ควรฉีดในเด็กป่วยหรือกำลังมีไข้
วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ (Poliomyelitis Vaccine)
เป็นวัคซีนชนิดเชื้อไวรัสมีชีวิต ที่ทำให้มีฤทธิ์น้อยลง มีทั้งชนิดกิน(Oral Poliomyclitis Vaccine :OPV) และชนิดฉีด Inactivated Polio Vaccine ( IPV ) ทำจากไวรัสที่ตายแล้วต้องให้โดยการฉีด วัคซีนทั้งสองชนิดสามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานต่อโรคโปลิโอได้ดีใกล้เคียงกัน ชนิดกินภูมิต้านทานจะเกิดที่เยื่อบุลำไส้จึงต้องระมัดระวังการให้ในเด็กที่มีอาการท้องเสีย เนื่องจากมีผลต่อการดูดซึมวัคซีน
ระยะเวลาในการให้ จะให้ครั้งแรกเมื่ออายุ 2,4,6 เดือน ตามลำดับ กระตุ้น 1½ ปี และ 4-6 ปี ดังนั้นเมื่อมีการรณรงค์หยอดวัคซีนเพื่อกวาดล้างโรคโปลิโอจึงสามารถรับได้อีก
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวัคซีน
เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อมีชีวิต สามารถให้พร้อมกันกับวัคซีนอื่นได้ ยกเว้นในกรณีที่ให้ร่วมกับวัคซีนเชื้อมีชีวิตด้วยกัน ถ้าไม่ให้พร้อมกันต้องเว้นระยะให้ห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน
โปลิโอชนิดกินเป็นเชื้อมีชีวิต จึงต้องต้องระวังในเด็กที่ได้รับการรักษาด้วยยา Steroid หรือในเด็กที่มีปัญหาภูมคุ้มกันบกพร่อง
ในระหว่างที่ให้วัคซีน ไม่ต้องงดนมแม่
ไม่มีข้อห้ามจากองค์การอนามัยโลกสำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีอาการหรือไม่ก็ตาม
วัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน คางทูม (Mump Measles Rubellar Vaccine)
เป็นวัคซีนเชื้อมีชีวิตให้ในเด็กอายุ 9 เดือน หากเลย 9 เดือนยังไม่ได้ฉีด ให้รีบติดตามเด็กมาฉีดให้ได้เร็วที่สุดปฏิกิริยาที่พบหลังฉีดคือ ไข้ มีผื่นออกจางๆหลังฉีดไปได้ 5-12 วัน ในรายที่มีประวัติแพ้ไข่แบบAnaphylaxis ต้องงดให้vaccine ชนิดนี้ เพราะเป็นวัคซีนที่เตรียมจากการเลี้ยงเชื้อไวรัสในไข่ไก
วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ เจอี(Japanese Encephalitis)
เป็นวัคซีนเชื้อเป็น (Live JE.vaccine) ฉีด 2 ครั้ง
ครั้งที่ 1 เมื่อเด็กอายุ 1 ปี
ครั้งที่ 2 ตอนเด็กอายุ 2 ½ ปี
วัคซีนโรต้า(Rotavirus)
วัคซีนโรต้า (Rotateq) เป็นวัคซีนป้องกันการติดเชื้อทางเดินอาหารที่รุนแรงในเด็ก ซึ่งสาเหตุมาจากการติดเชื้อ Rota virus โดยวัคซีนที่ให้ในปัจจุบันเป็นวัคซีนเชื้อเป็น ชนิดหยดทางปาก เช่น เดียวกับวัคซีนโปลิโอ สามารถให้พร้อมกันได้ โดยจะให้ทั้งหมด 3 ครั้ง ในช่วงอายุ 2 4 6 เดือน มีข้อกำหนดว่า ครั้งแรกต้องให้ในเด็กอายุไม่เกิน 15 สัปดาห์ และครั้งที่ 2 และ3 เด็กต้องอายุไม่เกิน 32 สัปดาห์
นอกจากนี้วัคซีน Rota ยังสามารถผ่านทางเดินอาหารไปปนเปื้อนอุจจาระ และไปติดกับผ้าอ้อมได้ดังนั้นจึงต้องระวังในทารกที่อยู่ในครอบครัวที่มีภูมิต้านทานต่ำ จึงต้องแยกเด็กออกจากกันนาน 14 วัน
ปัจจุบันวัคซีนโรต้า Rota ที่มีใช้ในบ้านเรา เป็นวัคซีนที่ผลิตจากไวรัสโรต้าที่ได้จากคนกับวัว ซึ่งเป็น
วัคซีนที่เขาพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการปกป้องเด็กจากไวรัสโรต้า แบ่งเป็น 2 ชนิดได้แก่
Rotarix ให้2 ครั้ง
RotaTeq ให้3 ครั้ง ในทางปฎิบัติอายุที่เริ่มให้วัคซีนกับเด็กได้ คือ อายุ ไม่เกิน 4 เดือน และเข็มสุดท้ายไม่เกิน 8 เดือน
ห้ามให้ในเด็กที่มีประวัติเป็นลำไส้กลืนกัน(intussusception)
วัคซีน Hib : Haemophilus influenza type B
Haemophilus influenza type B เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ติดต่อกันได้ง่าย และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ทำให้เกิดโรคหลายชนิดในเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 5 ปี โดยจะพบเชื้อที่บริเวณลำคอ เช่น ปอดบวม กล่องสียงอักเสบผิวหนังอักเสบ ข้ออักเสบ และที่สำคัญคือ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
เมื่อเด็กรอดชีวิตหรือหายจากโรค สิ่งที่ตามมาคือเด็กจะมีอาการชักเรื้อรัง หูหนวก ตาบอด อัมพาต และปัญญาอ่อนได
ตั้งแต่ปี 2562 คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเห็นชอบบรรจุวัคซีนป้องกัน"โรคฮิบ Hib "ในวัคซีนพื้นฐาน เข็มเดียวป้องกันได้ 5 โรค คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ตับอักเสบบี และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ(DTP-HB-Hib) โดยจะให้ 3 ครั้งตอนเด็กอายุ 2,4,6 เดือน
ผลข้างเคียงของวัคซีน
เด็กจะมีอาการปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีดวัคซีน มีไข้สูง มีผื่นขึ้นบริเวณผิวหนัง เด็กจะหงุดหงิดร้องกวนงอแง
วัคซีน HPV
วัคซีน HPV Human Papilloma Virus เป็นวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกและจะมีประสิทธิภาพ
สูงสุด เมื่อฉีดในวัยที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์มาก่อน ฉีดได้ในช่วงอายุ 9-26 ปี แต่จะเน้นในช่วงอายุ 11-12 ปี
HPV จะสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อ Human Papilloma Virus ได้แล้ว วัคซีนตัวนี้ยังสามารถป้องกันมะเร็งช่องคลอด และหูดอวัยวะเพศ ได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ตามตาราง