บทที่ 4
การสำลักสิ่งแปลกปลอม
หมายถึง
การที่สิ่งแปลกปลอม เข้าปาก จมูก และสําลักจนติดคอ อุดกั้นกล่องเสียงและหลอดลมคอ ส่งผลให้เกิดอาการของการอุดกั้นทางเดินหายใจ ส่วนต้นอย่างเฉียบพลัน
สาเหตุ
สิ่งแปลกปลอมติดคอมักพบในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งเป็นวัยที่มีความอยากรู้อยากเห็น สนใจชอบค้นคว้า ทดลองด้วยตนเอง จึงมักเอาสิ่งแปลกปลอมใส่ไปในช่องต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะช่องทางเดินหายใจอันได้แก่ รูจมูก และปากจนเกิดการสําลักติดคอหรือชอบ พูดคุยหัวเราะหรือเล่นกันขณะรับประทานอาหาร การรับประทานผลไม้ ที่มีเมล็ด ของเล่นเด็กที่ไม่เหมาะสมไม่ปลอดภัย เช่น ของเล่นที่หลุดเป็น ชิ้นเล็กๆ เด็กอาจนําเข้าปากจนสําลักติดคอ
พยาธิสภาพ
การสําลักสิ่งแปลกปลอมติดคอจะทําให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น เนื่องจากลักษณะทางกายวิภาคของทางเดิน หายใจส่วนต้นของเด็กมีขนาดเล็กและแคบ ส่งผลต่อภาวะขาดออกซิเจน การอุดกั้นอย่างสมบูรณ์จะทําให้อากาศหรือออกซิเจนเข้า สู่หลอดและปอดไม่เลย
อาการและอาการแสดง
เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจเด็กจะมีอาการ หายใจเข้ามีเสียงดัง หายใจลําบาก ขณะหายใจหน้าอกบุ๋ม มีอาการไอและมีอาการเขียว สําลัก ไออย่างรุนแรง
การรักษา
ในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 1 ปี
ให้วางเด็กลงบนแขนของผู้ช่วยเหลือโดย ให้ศีรษะต่ำ ตบหลัง (Back Blow) และสลับด้วยการอุ้มเด็กนอนหงายบนแขนและใช้นิ้วกลางและนิ้วนางของมือขวากดบนหน้าอก (Chest Thrust) อย่างละ 5 ครั้ง จนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออก เปิดปากเด็กเพื่อดูสิ่งแปลกปลอม
ในเด็กโต
ใช้เทคนิคกดบริเวณหน้าท้อง (Abdominal Thrust หรือเรียกว่า Heimlich Manuever) โดยทําในท่านั่ง หรือยืนโน้มตัว ไปทางด้านหน้าเล็กน้อย ผู้ช่วยเหลือเข้าทาง ด้านหลัง ใช้แขนสอดสองข้างโอบผู้ป่วยไว้มือซ้ายประคองมือ ขวาที่กํามือวางไว้ที่ใต้ลิ้นปี่ ดันกํามือขวาเข้าใต้ลิ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดแรงดันในช่องท้อง ดันเข้าใต้กระบังลมผ่านไปยังช่องทรวงอก เพื่อดันให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออก
เนื้อเยื่อของร่างกายมีภาวะพร่องออกซิเจน เนื่องจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนต้น
ไฟไหม้และน้ำร้อนลวก (Burn and scald)
เป็นภาวะที่เน้ือเยื่อได้รับอันตรายจากการถูก
ความร้อนท่ีมากเกินทำให้เกิดการทำลายเน้ือเยื่อและเกิดแผล
พยาธิสภาพ
เน้ือเยื่อของร่างกายเมื่อสัมผัสกับความร้อนมีการ
ทำลายของหลอดเลือดส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นตายทำให้เลือดมาเลี้ยงน้อยลงจากหลอดเลือดถูกทำลายทำให้มีการรั่วของสารน้ำออกนอกหลอดเลือดเกิดการรั่วไหลของพลาสมาซึ่งมีส่วนผสมของอัลบูมินบริเวณนั้นเกิดการบวมของเนื้อเยื่อ
อาการแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก
ขนาดความกว้างของบาดแผล
บริเวณพื้นที่ของบาดแผลที่ ที่มีขนาดใหญ่อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำโปรตีนและเกลือแร่ถึงกับเกิดภาวะช็อกได้และอาจมีโอกาสติดเชื้อถึงขั้นเป็นโลหิตเป็นพิษและเสียชีวิตได้
การประเมินขนาดกว้างของบาดแผล โดยทั่วไปนิยมคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ผิวหนังทั้งร่างกายซึ่งถ้าคิดแบบคร่าวๆก็ให้เทียบเอาว่าเเผลขนาด 1 ฝ่ามือของผู้ป่วย = 1% ของผิวหนังทั่วร่างกายเช่นถ้าแผลมีขนาดเท่ากับห้าฝ่ามือก็คิดเป็นประมาณ 5% เป็นต้น
ความลึกของแผลหรือดีกรีความลึกของบาดแผล (degree of burn wound)
ผิวหนังคนเราจะมีความลึก 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดหนังกำพร้า(epidermis) และชั้นหนังแท้ (dermis)
แบ่งเป็น 3 ระดับ
ระดับที่ 1 (First degree burn)
เน้ือเยื่อชั้นผิวหนังจะถูกทำลายเพียงบางส่วนเป็นชั้นตื้นๆ มีเฉพาะอาการผื่นแดงปวดแสบปวดร้อน ผิวหนังไม่พอง
ระดับที่ 2 (Second degree burn)
มีการทำลายของผิวหนังแต่ลึกถึง ถึงผิวหนังชั้นในต่อมเหงื่อและรูขุมขนจะปรากฏอาการบวมแดงมากขึ้นมีผิวหนังพองและมีน้ำเหลืองซึมจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนมากเพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนักอาจทำให้สูญเสียน้ำโปรตีนและเกลือแร่และติดเชื้อได้ง่าย
ระดับที่ 3 (Third degree burn)
บาดแผลที่มีการทำลายของหนังกำพร้าและหนังแท้ทั้งหมด รวมทั้งต่อมเหงื่อ ขุมขนและเซลล์ประสาทและอาจลึกถึงช้ันกล้ามเนื้อหรือ กระดูกผู้ป่วยจึงมักไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผล เนื่องจากเส้นประสาทที่อยู่บริเวณผิวหนังแท้ถูกทำลาย (Hypertrophic scar or keloid) นอกจากนี้ยัง มีโอกาสเกิดแผลหดร้ังทำให้ข้อยึดติด ตามมาสูงมาก ถ้าได้รับการรักษาไม่ ถูกต้อง
การปฐมพยาบาล
บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกระดับที่ 1 ให้ล้างทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติหรือเปิดน้ำให้ไหลผ่านหรือแช่อวัยวะส่วนที่เป็นแผลลงในน้ำสะอาดประมาณ15-20นาทีหรือ จนกว่าอาการปวดแสบปวดร้อนจะลดลง ไม่ควรใช้น้ำเย็นจัด เพราะอาจทำให้บาดแผลลึกมากขึ้นได้
การรักษา
ต้องได้รับการดูแลเรื่องการหายใจ
ให้สารน้ำ
การรักษาบาดแผล
:การตกแต่งบาดแผล
การปลูกถ่ายผิวหนัง
การจมน้ำ (Drowning)
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อขาดออกซิเจนเนื่องจากมีการบวมของทางเดินหายใจ
เสี่ยงต่อภาวะช็อค เนื่องจากการสูญเสียน้ำและพลาสมาออกนอกร่างกาย
เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากผิวหนังถูกทำลายและภูมิคุ้มกันลดลง
เสี่ยงต่อโภชนาการบกพร่อง เนื่องจากมีการเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น
เสี่ยงต่อความพิการเนื่องจากการหดรั้งของเนื้อเยื่อบริเวณแผล
แบ่งเป็น 2 ชนิด
Drowning ผู้ที่เสียชีวิตจากการจมน้ำ
Near drowning ผู้ที่จมน้ำแต่ไ่ม่เสียชีวิตทันที.
พยาธิสภาพ
การจมน้ำ
เมื่อเด็กจมนํ้าและหายใจในนํ้าครั้งแรกเด็กจะไอจากการระคายเคืองที่มีนํ้าในจมูกและคอนํ้าจะเข้ากล่องเสียงทำให้เกิดการหดเกร็งของกล่องเสียง อากาศและนํ้าเข้าหลอดลมไม่ได้เกิดภาวะขาดออกซิเจน ตามด้วยการสูด หายใจเอานํ้าเข้าไปในปอดทำให้ไม่สามารถแลกเปลี่ยน ออกซิเจนได้ เพราะถุงลมเต็มไปด้วยนํ้า
การจมน้ำเค็ม (Salt-water Drowning)
การจมน้ำจืด (Fresh water Drowning)
น้ำเค็ม (Hypertonic solution) ทำให้เกิดภาวะ pulmonary edema ปริมาตรน้ำที่ไหลเวียนในร่างกายลดลงเกิด ภาวะhypovolemiaระดับ เกลือแร่ในร่างกายสูงขึ้นหัวใจเต้นผิดปกติหัวใจวายช็อกได้
น้ำจืด (Hypotonic solution) จะซึมผ่านเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตของ ปอดอย่างรวดเร็วเกิด hypervolemia ทำให้ระดับเกลือแร่ในเลือดลดลง หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจวาย อาจเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกhemolysis
วิธีช่วยเด็กจมน้ำที่ดีที่สุด
กรณีที่เด็กรู้สึกตัว
ให้รีบเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า ใช้ผ้าคลุมตัวเพื่อทำให้เกิดความอบอุ่น จัดให้นอนในท่าตะแคงกึ่งคว่ำ แล้วนําส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
กรณีที่เด็กหมดสติ
เช็กว่ายังมีลมหายใจอยู่ไหม หัวใจเต้นหรือ เปล่าถ้าไม่ให้โทร.เรียกหน่วยรถพยาบาลหรือหน่วยกู้ภัยโดยด่วน จากน้ันให้ช่วยชีวิตขั้นพื้น ฐานโดยนวดหัวใจสลับกับการช่วยหายใจ
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
วิธีการช่วยหายใจโดยการเป่าปาก
จับศีรษะให้หงายขึ้นให้มากที่สุดใช้ฝ่ามือกดหน้าผากของเด็กไว้ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบจมูก จากน้ันใช้ปากครอบลงบน ปากของผู้ป่วยให้มิด แล้วเป่าลมเข้าไปให้สุดลมหายใจของเรา
ตาดูที่หน้าอกว่าขยายหรือไม่
ถ้าเห็นอกไม่ขยายให้ปล่อยมือที่บีบจมูกไว้จากน้ันเป่าลมเข้าไป ใหม่ทำสลับกับการนวดหัวใจโดยนวดหัวใจ30คร้ังสลับกับการเป่าปาก2คร้ัง
มีภาวะขาดออกซิเจนเนื่องจากมีการขัดขวางการแลกเปลี่ยนก๊าซจากการสูดหายใจเอาน้ำเข้าไปในปอด
เสี่ยงต่อภาวะไหลเวียนล้มเหลวและเสียสมดุลอิเล็กโทรลัยท์
เสี่ยงต่อการติดเชื้อเนื่องจากมีการสูดสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าทางเดินหายใจ
กระดูกหักและข้อเคลื่อน (Fracture and DislocatIon)
ความหมาย
กระดูกหัก หมายถึง ภาวะที่โครงสร้างหรือส่วนประกอบของกระดูกแยกออกจากกัน
ข้อเคลื่อน หมายถึง ภาวะที่มีการเคลื่อนของผิวข้อออกจากที่ที่ควรจะอยู่หรือกระดูกหลุดออกจากเบ้า ซึ่งการบาดเจ็บของข้อและกระดูกยังส่งผลให้เนื้อเยื่อที่อยู่ โดยรอบกระดูกหลอดเลือดน้ำเหลืองเส้นประสาทและเส้นเอ็น ได้รับอันตรายด้วย
สาเหตุ
เกิดจากการได้รับอุบัติเหตุมีแรงกระแทกบริเวณกระดูกโดยตรง
เช่น ถูกตี รถชน ตกจากที่สูง
อาการและอาการแสดง
มีอาการปวดและกดเจ็บบริเวณที่กระดูกมีพยาธิสภาพโดยเฉพาะเมื่อมีการเคลื่อนไหว
บวมเนื่องจากมคเลือดออกบริเวณที่กระดูกหักพลาสมาซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อหรือกระดูกเกยกันก็ทำให้ดูบริเวณน้ันใหญ่ขึ้น
รอยจ้ำเขียว เนื่องจากมีเลือดซึมจากช้ันในขึ้นมายังผิวหนังหรือรอยฟกชํ้าจากถูกแรงกระแทก
อวัยวะส่วนที่ได้รับบาดเจ็บมักมีลักษณะผิดรูปมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
สารพิษ (Poisons)
หลักการดูแลเมื่อเข้าเฝือก
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
ภายใน 24 ชั่วโมงแรกควรประเมินเด็กทุก 1 ชั่วโมงเพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากเผือกบีบรัดแน่นเกินทำให้เกิดอาการบวมหลอดเลือด และเส้นประสาทถูกกดซึ่งสามารถประเมินได้จาก5PS
ยกส่วนที่เข้าเฝือกให้สูงเล็กน้อยด้วยการใช้หมอนรองใต้เผือกความยาว ของเผือกนานประมาณ 48 ชั่วโมง เพื่อช่วยลดอาการบวม
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการเคลื่อนไหวถูกจำกัด เช่น ข้อติดเเข็ง กล้ามเนื้อลีบ แผลกดทับ ขับถ่ายผิดปกติ การติดเชื้อที่ปอด ทางเดินปัสสาวะ
เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อรอบกระดูกที่หักได้รับบาดเจ็บเพิ่มเนื่องจากการทิ่มแทงของกระดูก
5 PS
จับชีพจรว่าเต้นแรงตีหรือไม่เปรียบเทียบกับแขนขาข้างที่ปกติ (pulselessness)
สังเกตบริเวณอวัยวะส่วนปลายคือปลายมือปลายเท้าผิวหนัง เล็บ ถ้าการ ไหลเวียนเลือดไม่ดีถูกเผือกกดจะพบอวัยวะส่วนปลายเหล่าน้ีมีสีคล้ำเย็น ซีดมีอาการชาขาดความรู้สึกต่อการสัมผัส (pallorparesthesia)
เคลื่อนไหวนิ้วมือนิ้วเท้า ไม่ได้จากเส้นประสาทถูกกด (paralysis)
อาการเจ็บปวดท่ีมากกว่าเดิม(pain)
อาการบวม (swelling) ซึ่งอาจเกิดจากการเข้าเฝือ กแน่นเกิน
ดูแลเฝือกห้ามเปียกน้ำ
เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่กระดูก เนื่องจากมีทางเปิดของผิวหนังถึงกระดูก
เครียดวิตกกังวลจากความเจ็บปวดและการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
คือ
สารเคมีท่ีมีสภาพเป็นของแข็ง ของเหลว หรือ
ก๊าซ ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทาน การฉีด การหายใจ หรือการสัมผัสทางผิวหนังแล้วทําให้เกิดอันตรายต่อโครงสร้างและหน้าท่ีของ ร่างกาย ด้วยปฏิกิริยาทางเคมี อันตรายจะมากหรือน้อยขึ้น อยู่กับ คุณสมบัติ ปริมาณ และทางท่ีได้รับสารพิษนั้น
สารพิษจำแนกตามลักษณะการออกฤทธิ์
ชนิดกัดเน้ือ (Corrosive ) ทำให้เนื้อเยื่อของร่างกายไหม้พอง ได้แก่สารละลายพวกกรดและด่างเข้มข้น น้ำยาฟอกขาว
ชนิดที่กดระบบประสาท (Narcotics ) ทำให้หมดสติ หลับ ลึก ปลุก ไม่ตื่นม่านตาหดเล็ก ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีนพิษจากงูบางชนิด
ชนิดทำให้ระคายเคือง (Irritants ) ทำให้เกิดอาการปวดแสบ ปวดร้อน และอาการอักเสบในระยะต่อมา ได้แ ก่ ฟอสฟอรัส สาร หนู อาหารเป็นพิษ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์
ชนิดที่กระตุ้นระบบประสาท (Dililants) ทำให้เกิดอาการเพ้อคลั่ง ใบหน้า และผิวหนังแดง ตื่นเต้น ชีพจรเต้น เร็ว ช่องม่านตาขยาย ได้แก่ ยาอะโทรปีน ลำโพง
การประเมินภาวะการได้รับสารพิษ
การคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องน้ำลายฟูมปาก หรือมีรอยไหม้ นอกบริเวณริมฝีปาก มีกลิ่นสารเคมีบริเวณปาก
เพ้อชักหมดสติ มีอาการอัมพาตบางส่วนหรือทั่วไป ขนาดช่องม่านตาผิด ปกติอาจหดหรือขยาย
หายใจขัด หายใจลำบาก มีเสมหะมาก มีอาการเขียวปลายมือ ปลายเท้า หรือบริเวณริมฝีปาก ลมหายใจมีกลิ่นสารเคมี
ตัวเหงื่อออกมาก มีผื่นหรือจุดเลือดออกตามผิวหนัง
การปฐมพยาบาล
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางปาก
ทำให้สารพิษเจือจาง ให้นม
นำส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการล้างท้องเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร
ทำให้ผู้ป่วยอาเจียน เพื่อเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร
ข้อห้ามในการทำให้ผู้ป่วยอาเจียน หมดสติ ได้รับสารพิษชนิดกัดเน้ือ เช่น กรด ด่าง รับประทานสารพิษพวกน้ำมัน ปิโตรเลียมเช่น น้ำมัน ก๊าดเบนซิน
ให้สารดูดซับสารพิษในระบบทางเดินอาหารเพื่อลดปริมาณการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารกัดเนื้อ (Corrosive substances)
กรดด่างเป็นสารเคมีที่พบในชีวิตประจำวันกรดซัลฟูริก กรดไฮโดรคลอริก โซเดียมคาร์บอเนต
อาการและอาการแสดง
ไหม้พอง ร้อนบริเวณริมฝีปาก ปาก ลำคอและท้อง คลื่นไส้อาเจียน
กระหายน้ำและมีอาการภาวะช็อค ได้แ ก่ ชีพจรเบา ผิวหนังเย็นชื้น
การปฐมพยาบาล
ถ้ารู้สึกตัวดีให้ดื่มนม
อย่าทำให้อาเจียน
รีบนำส่งโรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพวกน้ำมันปิโตเลียม
สารพวกน้ีได้แก่ น้ำมันก๊าด เบนซิน ยาฆ่าแมลงชนิดน้ำมันเช่น DTT
อาการและอาการแสดง
แสบร้อนบริเวณปากคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งอาจสหลักเข้าไปในปอดทำให้หายใจออกมามีกลิ่นน้ำมันหรือมีกลิ่นน้ำมันปิโตเลียม อัตราการหายใจและชีพจรเพิ่มอาจมีอาการขาดออกซิเจนอาจรุนแรงมากมีเขียวตาม ปลายมือปลายเท้า (Cyanosis)
การปฐมพยาบาล
รีบนำส่งโรงพยาบาล
ห้ามทำให้อาเจียน
ระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยอาเจียนให้จัดท่าศีรษะต่ำ เพื่อป้องกันการสำลักน้ำมันเข้าปอด
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับ ยาแก้ปวด ลดไข้
อาการและอาการแสดง
อาการและอาการแสดงของผู้ที่ได้รับยาแอสไพริน
หูอื้อเหมือนมีเสียงกระดิ่งในในหู การได้ยินลดลง เหงื่อออกมาก ปลายมือปลายเท้าแดง ชีพจรเร็ว คลื่นไส้อาเจียน หายใจเร็ว ใจสั่น
อาการและอาการแสดงของผู้ที่ได้รับยาพาราเซตามอล ยาน้ีจะถูกดูดซึมเร็วมาก โดยเฉพาะในรูปของสารละลาย ทำให้เ กิด อาการคลื่นไส้อาเจียนง่วงซึมเหงื่อออกมากความดันโลหิตต่ำสับสนเบื่ออาหาร
การปฐมพยาบาล
ทำให้สารพิษเจือจาง
ทำให้อาเจียน
ให้สารดูดซับสารพิษ
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้ด้รับสารพิษทางการหายใจ
แบ่งเป็น
ก๊าซที่ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน เกิดอาการ วิงเวียน หน้ามืด เป็นลมหมดสติ ถึงแก่ความตายได้ เช่น คาร์บอนมอนนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน ไนโตรเจน
ก๊าซที่ทำใหเ้กิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ไดแ้ก่ คอ หลอดลมและปอดถ้าได้รับในปริมาณมากอาจทำให้ตายได้เช่น ซลั เฟอร์ไดออกไซด์
ก๊าซท่ีทำให้อันตรายทั่วร่างกาย ไดด้แก่ ก๊าซอาร์ซีนไม่มีสีกลิ่นคลา้ย กระเทียมพบได้ในโรงงานอุตสาหกรรมใช้ทำแบตเตอรี่เมื่อเข้าสู่ ร่างกายจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ปัสสาวะเป็นเลือด ดีซ่าน ตา เหลือง ตัว เหลือง
การปฐมพยาบาล
กลั้นหายใจและรีบเปิดประตูหน้าต่างๆเพื่อให้ อากาศถ่ายเทมีอากาศบริสุทธ์ิเข้ามาในห้องปิดท่อ ก๊าซหรือขจัดต้นเหตุของพิษนั้นๆ
นำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่เกิดเหตุไปยังที่มีอากาศบริสุทธิ์
ประเมินการหายใจและการเต้นของหัวใจถ้าไม่มีให้ ผายปอดและนวดหัวใจและนำส่งโรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีถูกผิวหนัง
ล้างด้วยน้ำสะอาดนานๆอย่างน้อย๑๕นาที
อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมี เพราะความร้อนที่เกิดจาก ปฏิกิริยาอาจทำใหเ้กิดอันตรายมากข้ึน
บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
ปิดแผลแล้วนำส่งโรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีเข้าตา
ล้างตาด้วยน้ำนาน๑๕นาทีโดยการเปิดน้ำก๊อกไหลรินค่อยๆ
อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมี เพราะความร้อนที่เกิดจาก ปฏิกิริยาอาจทำใหเ้กิดอันตรายมากข้ึน
บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
ปิดแผลแล้วนำส่งโรงพยาบาล)
นางสาวอารยา ชูระเชตุ เลขที่ 107 รหัสนักศึกษา 62111301110