Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การป้องกันและช่วยเหลือเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุและสารพิษ - Coggle Diagram
การป้องกันและช่วยเหลือเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุและสารพิษ
การสำลักสิ่งแปลกปลอมติดคอ
หมายถึง การที่
สิ่งแปลกปลอมเข้าปาก จมูกและสำลักจน
ติดคอ อุดกั้นกล่องเสียงและหลอดลมคอส่งผลให้เกิดอาการของการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนต้นอย่างเฉียบพลัน
สาเหตุ
สิ่งแปลกปลอมติดคอมักพบในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งเป็นวัยที่มีความอยากรู้อยากเห็น จึงมักเอาสิ่ง
แปลกปลอมใส่ไปในช่องต่างๆ ของร่างกายรูจมูก
และปากจนเกิดการสำลักติดคอ
อาการและอาการแสดง
เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจเด็กจะมีอาการหายใจเข้า
มีเสียงดังหายใจลำบาก ขณะหายใจ
หน้าอกบุ๋มมีอาการไอและมีอาการ
เขียว สำลัก ไออย่างรุนแรง
การรักษา
ในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ให้วางเด็กลงบนแขนของผู้ช่วยเหลือโดยให้ศีรษะต่ำ ตบหลัง(Back Blow) และสลับด้วยการอุ้มเด็กนอนหงายบนแขน และใช้นิ้วกลางและนิ้วนางของมือขวากดบนหน้าอก (Chest Thrust) อย่างละ 5 ครั้ง จนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออก เปิดปากเด็กเพื่อดูสิ่ง
แปลกปลอม
ในเด็กโต ใช้เทคนิคกดบริเวณหน้าท้อง (Abdominal Thrust หรือเรียกว่าHeimlich Manuever) โดยทำในท่านั่งหรือยืนโน้มตัว ไปทางด้านหน้าเล็กน้อยผู้ช่วยเหลือเข้าทางด้านหลัง ใช้แขนสอดสองข้างโอบผู้ป่วยไว้มือซ้าย
ประคองมือขวาที่กำมือวางไว้ที่ใต้ลิ้นปี่ดันกำมือขวาเข้าใต้ลิ้นอย่างรวดเร็วเพื่อให้เกิดแรงดันในช่องท้อง ดันเข้าใต้กระบังลมผ่านไปยังช่องทรวงอก เพื่อดันให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกจากกล่องเสียง
ไฟไหม้และน้ำร้อนลวก (Burn and Scald)
พยาธิสภาพ
เนื้อเยื่อของร่างกายเมื่อสัมผัสกับความร้อน มีการทำลายของ หลอดเลือดส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นตายทำให้มีเลือดมากเลี้ยงน้อยลงจากหลอดเลือดถูกทำลายทำให้มีการรั่วของสารน้ำออกนอกหลอดเลือด เกิดการรั่วไหลของพลาสมาซึ่งมีส่วนของอัลบูมินบริเวณนั้นเกิดการบวมของเนื้อเยื่อ
บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกมี 3 ระดับ
ระดับที่ 1 (First degree burn)
เนื้อเยื่อชั้นผิวหนังจะถูกทำลายเพียงบางส่วน เป็นชั้นตื้นๆ มีเฉพาะอาการผื่นแดงปวดแสบปวดร้อน ผิวหนังยังไม่พองเช่น บาดแผลที่เกิดจากถูกน้ำร้อนลวก ถูกแสงแดด
ระดับสอง 2 (second degree burn) มีการทำลายของผิวหนัง แต่ลึกถึงผิวหนังชั้นใน ต่อมเหงื่อ และรูขุมขน จะปรากฏอาการบวมแดงมากขึ้น มีผิวหนังพอง และมี
น้ำเหลืองซึม จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนมาก เพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนัก อาจทำให้สูญเสียน้ำ โปรตีน และเกลือแร่ และติดเชื้อได้ง่าย
ระดับที่ 3 (Third degree burn) หมาย
ถึง บาดแผลที่มีการทำลายของหนังกำพร้าและหนังแท้ทั้งหมด รวมทั้งต่อมเหงื่อ ขุมขน และเซลล์ประสาท และอาจกินลึก
ถึงชั้นกล้ามเนื้อหรือกระดูก ผู้ป่วยจึงมักไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผลเนื่องจา
กเส้นประสาทที่อยู่บริเวณผิวหนังแท้ถูกทำลาย(Hypertrophic scar or keloid) นอกจากนี้ยังมีโอกาสเกิดแผลหดรั้งทำให้ข้อยึดติดตามมาสูงมาก ถ้าได้รับการรักษาไม่
ถูกต้อง
การปฐมพยาบาลแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก
บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกระดับที่ 1 ให้ล้างทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติ หรือเปิดน้ำให้ไหลผ่าน หรือแช่อวัยวะส่วนที่เป็นแผลลงในน้ำสะอาดประมาณ 15-20 นาที หรือจนกว่าอาการปวดแสบปวดร้อนจะลดลง (อาจใช้สบู่อ่อน ๆ ชะล้างสิ่งสกปรกออกไปก่อนและล้างด้วยน้ำสะอาด) โดยน้ำที่ใช้แช่ควรเป็นน้ำธรรมดาจากก๊อกน้ำ ไม่ควรใช้น้ำเย็นจัด น้ำจากตู้เย็น หรือน้ำแข็ง เพราะ อาจทำให้บาดแผลลึกมากขึ้นได้
การรักษา
ช่วยหายใจ เด็กที่ถูกไฟไหม้ในที่ สูดควันหรือแก๊ส ถูกความร้อนลวกบริเวณ ใบหน้า คอ ต้องได้รับการดูแลในเรื่องการหายใจ
ดูแลระบบไหลเวียน ภาวการณ์ไหลเวียนล้มเหลว ด้วยการให้สารน้ำ
การรักษาบาดแผล
การตกแต่งบาดแผล (debridement) เป็นการกำจัดเนื้อตายจากบาดแผล ช่วยลดการติดเชื้อ เพราะจะกำจัดเนื้อเยื่อที่มีเชื่อจุลินทรีย์
การปลูกถ่ายผิวหนัง (skin graft) ทำทุกรายที่ผิวหนังถูกเผาไหม้ทุกชั้นหลังจาก เนื้อเยื่องอกขึ้นมาเต็มและตัดเอาเนื้อตายออกหมด แผลสะอาดดี การปลูกถ่ายที่ดีที่สุดคือเอาผิวหนังของเด็ก
การจมน้ำ
Drowning
พยาธิสภาพ
เมื่อเด็กจมน้ำและหายใจในน้ำครั้งแรกเด็กจะไอจากการระคายเคืองที่มีน้ำในจมูกและคอ น้ำจะเข้ากล่องเสียงทำให้เกิดการหดเกร็งของกล่องเสียง อากาศและน้ำเข้าหลอดลมไม่ได้เกิดภาวะขาดออกซิเจน ตามด้วยการสูดหายใจเอาน้ำเข้าไปในปอด ทำให้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ เพราะถุงลมเต็มไปด้วยน้ำ
วิธีช่วยเด็กจมน้ำที่ดีที่สุด
เมื่อนำตัวเด็กขึ้นมาอยู่บนฝั่งได้แล้ว ในกรณีที่เด็กรู้สึกตัว ให้รีบเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า ใช้ผ้าคลุมตัวเพื่อทำให้เกิดความอบอุ่น จัดให้นอนในท่าตะแคงกึ่งคว่ำ แล้วนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
ส่วนกรณีที่เด็กหมดสติ เช็กว่ายังมีลมหายใจอยู่ไหม หัวใจเต้นหรือเปล่า ถ้าไม่ ให้โทรเรียกหน่วยรถพยาบาลหรือหน่วยกู้ภัยโดยด่วน จากนั้นให้ช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานโดยนวดหัวใจสลับกับการช่วยหายใจ
1.การจมน้ำเค็ม ( Salt-water Drowning)
น้ำเค็ม(Hypertonic solution) ทำให้เกิดภาวะ pulmonary edema ปริมาตรน้ำที่ไหลเวียนในร่างกายลดลง เกิดภาวะ hypovolemia ระดับเกลือแร่ในร่างกายสูงขึ้น หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจวาย ช็อกได้
การจมน้ำจืด (Freshwater-Drowning)
น้ำจืด (Hypotonic solution) จะซึมผ่านเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตของปอดอย่างรวดเร็ว เกิด hypervolemia ทำให้ระดับเกลือแร่ในเลือดลดลงหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจวาย อาจเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกhemolysis
วิธีการช่วยหายใจโดยการเป่าปาก
จับศีรษะให้หงายขึ้นให้มากที่สุด ใช้ฝ่ามือกดหน้าผากของเด็กไว้ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบจมูกจากนั้นใช้ปากครอบลงบนปากของผู้ป่วยให้มิด แล้วเป่าลมเข้าไปให้สุดลมหายใจของเรา
ตาดูที่หน้าอกว่าขยายหรือไม่
ถ้าเห็นอกไม่ขยาย ให้ปล่อยมือที่บีบจมูกไว้ จากนั้นเป่าลมเข้าไปใหม่ ทำสลับกับการนวดหัวใจ โดยนวดหัวใจ 30 ครั้ง สลับกับการเป่าปาก 2 ครั้ง
กระดูกหักและข้อเคลื่อน (Fracture and Dislocation)
กระดูกหัก หมายถึงภาวะที่โครงสร้างหรือส่วนประกอบของกระดูกแยกออกจากกัน
ข้อเคลื่อน หมายถึงภาวะที่มีการเคลื่อนของผิวข้อออกจากที่ที่ควรจะอยู่หรือกระดูกหลุดออกจากเบ้า ซึ่งการบาดเจ็บของข้อและกระดูกยังส่งผลให้เนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบกระดูกหลอดเลือดน้ำเหลืองเส้นประสาทและเส้นเอ็นได้รับอันตรายด้วย
สาเหตุเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุมีแรงกระแทกบริเวณกระดูกโดยตรงเช่น ถูกตี รถชน ตกจากที่สูง
อาการและอาการแสดง
มีอาการปวดและกดเจ็บ บริเวณที่กระดูกมีพยาธิสภาพโดยเฉพาะเมื่อมีการ
เคลื่อนไหว
บวม เนื่องจากมีเลือดออกบริเวณที่กระดูกหักพลาสมาซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อหรือกระดูก
เกยกันก็ทำให้ดูบริเวณนั้นใหญ่ขึ้น
รอยจ้ำเขียว เนื่องจากมีเลือดซึมจากชั้นในขึ้นมายังผิวหนังหรือรอยฟกช้ำจากถูกแรง
กระแทก
อวัยวะส่วนที่ได้รับบาดเจ็บมีลักษณะผิดรูป มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
หลักการการดูแลเมื่อเข้าเฝือก
1.ภายใน 24 ชั่วโมงแรกควรประเมินเด็กทุก 1 ชั่วโมงเพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากเผือกบีบรัดแน่นเกินทำให้เกิดอาการบวมหลอดเลือดและเส้นประสาทถูกกด
ยกส่วนที่เข้าเฝือกให้สูงเล็กน้อยด้วยการใช้หมอนรองใต้เผือกความยาว
ของเผือกนานประมาณ 48 ชั่วโมง เพื่อช่วยลดอาการบวม
3.ดูแลเผือกห้ามเปียกน้ำ
สารพิษ ( Poisons)
สารเคมีที่มีสภาพเป็น
ของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ ซึ่ง
สามารถเข้าสู่ร่างกายโดย การรับประทาน การฉีด การหายใจ
หรือการสัมผัสทางผิวหนัง แล้ว
ทำให้เกิดอันตรายต่อโครงสร้างและหน้าที่ของร่างกาย ด้วย
ปฏิกิริยาทางเคมีอันตรายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ คุณสมบัติ ปริมาณ และทางที่ได้รับสารพิษนั้น
การประเมินภาวะการได้รับสารพิษ
-การคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง น้ำลายฟูมปาก หรือมีรอยไหม้นอกบริเวณริมฝีปาก มีกลิ่นสารเคมีบริเวณปาก
-เพ้อ ชัก หมดสติ มีอาการอัมพาตบางส่วนหรือทั่วไป ขนาดช่องม่านตาผิดปกติ อาจหดหรือขยาย
-หายใจขัด หายใจลำบาก มีเสมหะมาก มีอาการเขียวปลายมือปลายเท้า หรือบริเวณริมฝีปาก ลมหายใจมีกลิ่นสารเคมี
-ตัวเย็น เหงื่อออกมาก มีผื่นหรือจุดเลือดออกตามผิวหนัง
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางปาก
-ทำให้สารพิษเจือจาง ให้นม
-นำส่งโรงพยาบาล เพื่อทำการล้างท้องเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร
-ทำให้ผู้ป่วยอาเจียน เพื่อเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร
ข้อห้ามในการทำให้ ผู้ป่วยอาเจียนหมดสติได้รับสารพิษชนิดกัดเนื้อ เช่น กรด ด่างรับประทานสารพิษพวก น้ำมันปิโตรเลียม เช่น น้ำมันก๊าด เบนซิน
ให้สารดูดซับสารพิษในระบบทางเดินอาหาร เพื่อลดปริมาณการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย สารที่ใช้ได้ผลดี คือ Activated charcoal มีลักษณะเป็นผงถ่านสีดำ ใช้ ๑ ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำ ๑ แก้ว ให้ ผู้ป่วย ดื่ม ถ้าหาไม่ได้ อาจใช้ไข่ขาว ๓ - ๔ ฟอง ตีให้เข้ากัน
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารกัดเนื้อ (Corrosive substances )
กรด ด่าง เป็นสารเคมีที่พบในชีวิตประจำวัน กรดซัลฟุริก
กรดไฮโดรคลอริก โซเดียมคาร์บอเนต
อาการและอาการแสดง
ไหม้พอง ร้อนบริเวณริมฝีปาก ปาก ลำคอและท้อง คลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ และมีอาการภาวะช็อค ได้แก่ ชีพจรเบา ผิวหนังเย็นชื้น
การปฐมพยาบาล
-ถ้ารู้สึกตัวดีให้ดื่มนม
-อย่าทำให้อาเจียน
-รีบนำส่งโรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพวกน้ำมันปิโตเลียม
สารพวกนี้ได้แก่ น้ำมันก๊าด เบนซิน ยาฆ่าแมลงชนิดน้ำมัน เช่น DTT.
อาการและอาการแสดง
แสบร้อนบริเวณปาก คลื่นไส้ อาเจียน
ซึ่งอาจสำลักเข้าไปในปอดทำให้หายใจออกมามีกลิ่นน้ำมัน หรือมีกลิ่นน้ำมันปิโตเลียม อัตราการหายใจและชีพจรเพิ่ม อาจมีอาการขาด ออกิเจน ซึ่งอาจรุนแรงมากมีเขียวตามปลายมือ ปลายเท้า ( Cyanosis )
การปฐมพยาบาล
-รีบนำส่งโรงพยาบาล
-ห้ามทำให้อาเจียน
-ระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยอาเจียน ให้จัดศีรษะต่ำ เพื่อป้องกันการสำลักน้ำมันเข้าปอด
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับ ยาแก้ปวด ลดไข้
อาการและอาการแสดง ของผู้ที่ได้รับ ยาแอสไพริน
หูอื้อ เหมือนมีเสียงกระดิ่งในในหู การได้ยินลดลง เหงื่อออกมาก ปลายมือปลายเท้าแดง ชีพจรเร็ว คลื่นไส้อาเจียน หายใจเร็ว ใจสั่น
อาการและอาการแสดง ของผู้ที่ได้รับ ยาพาราเซตามอล
ยานี้จะถูกดูดซึมเร็วมาก โดยเฉพาะในรูปของสารละลาย ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม เหงื่อออกมาก ความดันโลหิตต่ำ สับสน เบื่ออาหาร
การปฐมพยาบาล
ทำให้สารพิษเจือจาง
ทำให้อาเจียน
ให้สารดูดซับสารพิษ ที่อาจหลงเหลือในระบบทางเดินอาหาร
การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางการหายใจ
-กลั้นหายใจและรีบเปิดประตูหน้าต่าง ๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเท -มีอากาศบริสุทธิ์เข้ามาในห้อง ปิดท่อก๊าซ หรือขจัดต้นเหตุของพิษนั้น ๆ
-นำผู้ป่วย ออกจากบริเวณที่เกิดเหตุไปยังที่มีอากาศบริสุทธิ์
-ประเมินการหายใจและการเต้นของหัวใจ ถ้าไม่มีให้ผายปอดและนวดหัวใจ
-นำส่งโรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีถูกผิวหนัง
-ล้างด้วยน้ำสะอาดนาน ๆ อย่างน้อย ๑๕ นาที
อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมี
เพราะความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
-บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
-ปิดแผล แล้วนำส่งโรงพยาบาล
การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีเข้าตา
-ล้างตาด้วยน้ำนาน ๑๕ นาที่ โดยการ เปิดน้ำก๊อกไหลรินค่อย ๆ
-อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมี เพราะความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
-บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
-ปิดตา แล้วนำส่งโรงพยาบาล