Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 1 มโนทัศน์ของความผิดปกติทางสุขภาพจิตและจิตเวช - Coggle Diagram
บทที่ 1
มโนทัศน์ของความผิดปกติทางสุขภาพจิตและจิตเวช
แนวคิดและปัจจัยที่เกี่ยวกับการเกิดโรคทางจิตเวช
ปัจจัย
1.biological factors
การทําหน้าที่ผิดปกติของสารสื่อประสาท (neurotransmitter)
serotonin
ทำให้เกิดโรค ดังนี้ mood disorder obsessivecompulsive disorder schizophrenia
norepinephrine
มากเกินไปทำให้เกิด anxiety disorder, mood disorder ที่แสดงอาการคลุ้มคลั่ง น้อยเกินไปทำให้เกิด ภาวะซึมเศร้า
GABA (gamma amino butyric acid)
มากเกินไป ทําให้เกิดภาวะ seizure disorde, anxiety disorder
acetylcholine
ลดลงมากทำให้เกิด Alzheimer’s disease
dopamine
สูง ทำให้เกิด schizophrenia, mania
ต่ำทำให้เกิด depressive illness
พันธุกรรม (genetics)
ความผิดปกติที่มีมาแต่กําเนิด (congenital abnormal) แม่มีภาวะแทรกซ้อน
ความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย (hormonal factor) ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตที่
น้อย
ไปในผู้ป่วยโรคแอดิสัน (Addison’s disease) จะมีอาการซึมเศร้า เฉยเมย และอ่อนล้าบางรายมีอาการทางจิตร่วมด้วย
การสะสมของสารพิษภายในร่างกาย (toxic substance alcoholism) เช่น สุรา แอมฟตามีน กัญชา เฮโรอีน สารระเหย ยานอนหลับ (barbiturate) ยาลดความอ้วน เห็ดบางชนิด ใบกระท่อม เป็นต้น
ความเจ็บป่วยหรือโรคทางสมอง เช่น สมองอักเสบ, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ, ชิฟิลิสขึ้นสมอง,อันตรายที่เกิดขึ้นที่ศีรษะอย่างรุนแรงทําให้สมองขาดเลือดไปเลี้ยง หรือมีเลือดคั่งในสมอง เป็นต้น
ความผิดปกติของโครงสร้างและการทำงานของสมอง
3.social factors
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
บ้าน ชุมชน ความแออัด ความหนาแน่ ความปลอดภัย
ความสัมพันธ์ในครอบครัว
ครอบครัวที่อบอุ่น ความไว้วางใจ
ลักษณะการอบรมเลี้ยงดู
แบบเผด็จการ (authoritarian)
ไม่กล้าโต้แยัง ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง บางครั้งดื้อเงียบ และก้าวร้าว
ปล่อยปละละเลย (rejection)
เด็กขาดระเบียบวินัย เอาแต่ใจตนเอง ดื้อและไม่เชื่อฟังคบเพื่อนไม่ดี อาจมั่วสุมอบายมุข หรือใช้สารเสพติดได้
ทนุถนอมมากเกินไป (overprotection)
เอาแต่ใจตนเอง ไม่อดทนต่อความยากลําบาก ไม่ต่อสู้ชีวิต ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าตัดสินใจ ต้องคอยพึ่งผู้อื่นโดยไม่จําเป็นและมีปัญหาในการปรับตัวในที่สุด
แบบประชาธิปไตย (democracy)
ทําให้เด็กมีความสามารถในการปรับตัวได้ดี เลี้ยงดูแบบใช้เหตุผล ฝึกให้เด็กมีโอกาสแสดงความคิดเห็น และมีเหตุผล กล้าคิด กล้าตัดสินใจ มีความเชื่อมั่นในตนเอง รู้สึกถึงคุณค่าในตนเอง
การศึกษา
การขาดการศึกษา การศึกษาในภาวะที่ต้องมีการแข่งขันกันสูง หรือเด็กถูกบังคับให้
เรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ การเร่งให้เรียนเร็วเกินไปทั้งที่เด็กยังไม่พร้อม
2.psychological factors
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์
Id, Ego, Superego ไม่สมดุลกัน
ทฤษฎีกลุ่มมนุษยนิยม
สาเหตุมาจากความไม่รู้ไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริงของตนเอง ขาดความตระหนักรู้
ทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม
อดีตที่ผ่านมา จะกระตุ้นให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมนั้นออกมาซ้ํา ๆ
ทฤษฎีกลุ่มปัญญานิยม
ความคิด ความเชื่อ บีบคั้นให้ตัดสินใจในภาพรวม
4.spiritual factors
ปรัชญาชีวิต (philosophy of life)
เช่น การตั้งเป้าหมายชีวิต
สิ่งที่นับถือหรือที่พึ่งทางใจ (concept of deity)
แนวคิด
2.case formulation
จะพิจารณาปัจจัย 4 ประการ (4 P’s)
ปัจจัยเสี่ยง (predisposing factors) ได้แก่ พันธุกรรม, ภาวะโภชนาการ, การเลี้ยงดู, บุคคลิกภาพ, ประการณ์การเจ็บป่วยทางกาย, รายได้ เป็นต้น
ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ (precipitating factors) การใช้สารเสพติด, การนอนที่หลับเปลี่ยนแปลง,การสอบตก, สัมพันธภาพล้มเหลว (แฟนทิ้ง/หย่า/แยกกัน), การมีหนี้สิน เป็นต้น
ปัจจัยที่ทําให้อาการคงอยู่ (perpetuating factors) การไม่ได้รับการรักษา, การไม่รับประทานยาต่อเนื่อง, ขาดแหล่งช่วยเหลือทางสังคม, พฤติกรรมการใช้ยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
ปัจจัยปกป้อง (protective factors) มีงานทํา, ครอบครัวมีสัมพันธภาพที่ดีห่วงใยดูแลซึ่งกันและกัน, การมีความสามารถในการแก้ไขปัญหา, การมีแหล่งสนับสนุนทางสังคมที่ช่วยเหลือ
1.stress diathesis model
ยีนส์หรือการรวมกันทางพันธุกรรมที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างส่งผลให้เกิดจุดอ่อน หรือเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคได้
อาการวิทยาและเกณฑ์การจําแนกโรคทางจิตเวช
นิยาม
1) อาการแสดง (signs)
คือ การแสดงออกทางสีหน้าที่จํากัด (restricted affect) การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเชื่องช้า (psychomotor retardation)
2) อาการ (symptoms)
คือ มีอารมณ์เศร้า รู้สึกหมดเรี่ยวแรง
3) กลุ่มอาการ (syndrome)
คือ อาการและอาการแสดงหลาย ๆ อย่างที่พบร่วมกัน แล้วถูกเรียกด้วยชื่อเฉพาะกลุ่มอาการ กลุ่มอาการหนึ่ง ๆ อาจพบได้ในหลายโรค
4) โรคทางจิตเวช (psychiatric disorder หรือ mental disorder)
หมายถึง กลุ่มอาการและอาการแสดงที่เป็นความผิดปกติของพุทธิปัญญา (cognition) การควบคุมอารมณ์ (mood) หรือพฤติกรรม (behavior) ที่สะท้อนถึงความผิดปกติทางจิต (psychological) ทางชีววิทยา (biological) หรือกระบวนการทางพัฒนาการ(developmental process)
กลุ่มของอาการและอาการแสดงทางจิตเวช
1) ความผิดปกติของความรู้สึกตัว (disturbance of consciousness)ความรู้สึกตัว (consciousness)
ชนิดที่1 ความผิดปกติของระดับความรู้สึกตัว (disturbanceof level of consciousness) ที่เกิดจากสมองมีพยาธิสภาพ
coma สภาวะที่ไม่รู้สึกตัว (unconsciousness) อย่างรุนแรง
clouding of consciousness อาการไม่รู้สึกตัว สลึมสลือ จนถึงอาการสับสนและวุ่นวายรุนแรง จ เช่น การถามค าถาม ผู้ถามจะต้องถามจะต้องถามซ้ำๆ ผู้ที่มีปัญหาไม่สามารถให้ความสนใจในคำถามที่ผู้ถามถามได้ หรือมีสิ่งอื่นหันเหความสนใจ
disorientation สับสน ตนเอ วัน เวลา สถานที่
drowsiness ง่วงนอน
somnolence อาการง่วงมากผิดปกติ
stupor ไม่สามารถตระหนักรู้และตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม
sundowning ความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไป โดยฉพาะเมื่อเป็นเวลาช่วงหัวค่ําหรือกลางคืน มักป็นลักษณะที่พบใน delirium
ชนิดที่2 ความผิดปกติของการคงความใส่ใจ (disturbance of attention) ความใส่ใจ (attention)
distractibility สนใจสิ่งที่ไม่เกี่ยว สนใจไปเรื่อย
hypervigilance สนใจและมุ่งความสนใจในสิ่งเร้าทุกอย่าง มักเกิดจากอาการหลงผิดหรือมาจากอาการระแวง
trance ความใส่ใจจะถูกรวมไว้ที่จุดเดียว การสะกดจิต และ dissociative disorder
ชนิดที่ 3 ความผิดปกติของการถูกชักจูง (disturbance of suggestibility)
folie a deux ภาวะที่บุคคลสองคนมีความผิดปกติทางจิตร่วมกัน สามคนจะเรียก folie a trois สองภาวะนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า shared
psychotic disorder
hypnosis ภาวะที่มีการชักนํา ร่วมกับทําให้ถูกชักจูงและทําตามคําสั่งได้ง่าย
2) ความผิดปกติของพฤติกรรมการเคลื่อนไหว (disturbanceof motor behavior)
abulia การไม่มีเจตจํานง (amotivation) ไม่คิดริเริ่ม ไม่ทําอะไร
acting out เป็นการกระทําอย่างวู่วาม
aggression คือ การเคลื่อนไหวด้วยความก้าวร้าว
automatism การเคลื่อนไหวที่เป็นไปตามจิตไร้สํานึก (unconscious system) สามารถพบได้ใน complex partial seizure
catatonia คือ การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอาจจะเกิดจากโรคทางจิตเวชหรือโรคทางสมองก็ได้
catalepsy การหยุดนิ่งในท่าใดท่าหนึ่งที่ขัดกับแรงโน้มถ่วงเป็นเวลานาน
catatonic excitement มีการเคลื่อนไหวมากแบบควบคุมตนเองไม่ได้
catatonic stupor มีการเคลื่อนไหวน้อยมากจนแทบจะหยุดนิ่ง
catatonic rigidity การจงใจทําตัวแข็งทื่อและต่อต้านแรงที่จะมาทําให้เกิดการเคลื่อนไหว
catatonic posturing การเปลี่ยนไปอยู่ในท่าที่ประหลาดหรือไม่เหมาะสม
catatonic flexibilities (waxy flexibility) การที่ค้างอยู่ในท่าที่จัดไว้ เหมือนหุ่นชี้ผึ้งที่ถูกปั้น
echopraxia การทําท่าทางเลียนแบบท่าทางของบุคคลอื่น
mannerism แสดงท่าทีที่แปลก ดูมีจริตเกินจริง
negativism อาการต่อต้านต่อคําสั่งทุกคําสั่ง ซึ่งเป็นการต่อต้านโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย
stereotypy มีการเคลื่อนไหวซ้ํา ๆ ที่ไม่มีเป้าหมายและไม่มีประโยชน์
cataplexy ความตึงตัวของกล้ามเนื้อหายไปอย่างฉับพลัน ทําให้เกิดการอ่อนแรงขยับตัวไม่ได้ ตามด้วยง่วงนอน โรคลมหลับ (narcolepsy)
command automatism หรือ automatic obedience การทําตามคําชักจูงอย่างอัตโนมัติ อาจเป็นจากเสียงแว่วจากข้างในตัวเอง (inner voice) ที่พบในโรคจิตเภทหรือเป็นคําสั่งจากบุคคลอื่น เช่น การถูกสะกดจิต
mutism ไม่พูดหรือพูดไม่ได้
motor overactivity การเคลื่อนไหวมากเกินไป
akathisia รู้สึกตึงกล้ามเนื้อจนต้องขยับบ่อย ๆ ทําให้ผู้ป่วยกระสับกระส่าย ผุดลุกผุดนั่ง เดินไปเดินมา
hyperactivity หรือ hyperkinesis การเคลื่อนไหวมากขึ้น โดยมีอาการวอกแวกอยู่ไม่นิ่งแต่พอควบคุมได้ มักพบในโรค attention-deficit/hyperactivity disorder (ADHD)
tic การกระตุกของกล้มเนื้อแบบ repetitive และ ไม่มีจังหวะชัดเจน (nonrhythmic) โดยไม่สามารถบังคับได้
compulsion การย้ําทํา คือมีการทําซ้ํา ๆ แบบไม่สมารถหักห้ามได้
psychomotor agitation มีกิจกรรมที่เป็นทั้งการเคลื่อนไหวและพุทธิปัญญาทํางานมากเกินไปจนคุมไม่ได้
hypoactivity หรือ hypokinesis มีกิจกรรมที่เป็นการเคลื่อนไหวและพุทธิปัญญาทํางานลดลง ทําให้คิดและพูดช้าลง บางครั้งเรียกว่า psychomotor retardation
3) ความผิดปกติของการพูด(disturbance of speech)
cluttering พูดเป็นจังหวะติด ๆ ขัด ๆ มีช่วงที่พูดเร็วและกระตุกไปกระตุกมา
dysarthria พูดไม่ชัด,ลิ้นแข็ง,อาการพูดลำบาก,พูดลำบาก
dysprosody กรพูดแบบไม่มีเสียงขึ้นลง โทนเดียว
nonspontaneous speech กรพูดเฉพาะเวลาถูกถามหรือถูกพูดด้วยโดยตรง ไม่เริ่มพูดเองก่อน
poverty of speech พูดน้อย
poverty of content of speech การพูดมีเนื้อความน้อยแม้ปริมาณคําในการพูดเพียงพอ อาจเกิดจากพูดคลุมเครือ พูดไม่มีสาระหรือพูดแบบซ้ํา ๆ
pressure of speech พูดมาก พูดเร็ว และเร่งขึ้นเรื่อย ๆ และมักพบว่าพูดเสียงดังด้วย
stuttering คือ พูดติดอ่าง
volubility หรือ logorrhea พูดมากและพูดเร็วอัดกันโดยที่เนื้อหาเชื่อมโยงกันและฟังเข้าใจได้ คือ พูดมากอย่างควบคุมไม่ได้ มักพบในผู้ป่วยที่กําลังมี manic episode
4) ความผิดปกติของอารมณ์ (disturbance of emotion) สภาวะอารมณ์ (emotion
)
1) ความผิดปกติของอารมณ์ที่แสดงออก (disturbance of affect) affect สังเกตได้
appropriate affect การแสดงออกของอารมณ์เข้าได้กับเนื้อหาความคิดและลักษณะการพูด
blunted affect ความเข้มข้นของอารมณ์ที่แสดงออกลดลงอย่างมาก
flat affect ไม่มีหรือเกือบจะไม่มีการแสดงออกของอารมณ์ ใบหน้านิ่งเฉยและพูดด้วยน้ําเสียงราบเรียบ
inappropriate affect การแสดงออกของอารมณ์ที่ไม่สอดคล้องกับความคิดและคําพูดในชณะนั้น
labile affect อารมณ์ที่แสดงออกเปลี่ยนแปลงง่ายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่สอดคล้องกับสิ่งกระตุ้นภายนอก
restricted affect หรือ constricted affect มีการแสดงออกทางอารมณ์อย่างจํากัด
2) ความผิดปกติของอารมณ์ (disturbance of mood) mood คือ สภาวะอารมณ์ (emotion)
alexithymia แสดงอารมณ์ไม่ได้ พบในคนที่มีอารมณ์เศร้า ใช้สารเสพติด หรือมี post-traumatic stress disorder
ambivalence อารมณ์สองฝักสองฝ่าย
anhedonia ไม่สนใจ
anxiety อารมณ์วิตกกังวล
apathy อารมณ์เฉยชา ไม่มีชีวิตชีวา ไม่ไยดี
depression อารมณ์เศร้า คือ สภาพจิตที่เป็นความรู้สึกเศร้า โดดเดี่ยว สิ้นหวัง ดูหมิ่นและตําหนิตนเอง
dysphoric mood อารมณ์ไม่พึงพอใจ
ecstasy ปลาบปลื้มปิติสุขอย่างเหลือล้น
elevated mood เบิกบานร่าเริงและมั่นใจมากกว่าปกติ
euphoria ปลื้มปิติยินดีร่วมกับมีความรู้สึกฮึกเหิม (grandeur) หรือเคลิ้มสุขด้วย
euthymic mood อารมณ์เป็นปกติไม่เศร้าหรือร่าเริงจนเกินไป
expansive mood มีการแสดงออกของอารมณ์อย่างเต็มที่
fear สภาวะทางอารมณ์ที่ตอบสนองต่ออันตรายที่มาคุกคาม
free-floating anxiety อารมณ์วิตกกังวลอย่างมากในทุกเรื่อง
grief หรือ mounding อารมณ์เศร้าที่เกิดจากสูญเสีย
guilt รู้สึกผิด
irritable mood หงุดหงิด รู้สึกรําคาญและเกิดอารมณ์โกรธได้ง่าย
mood swing อรมณ์แกว่ง อารมณ์สับเปลี่ยนไปมาระหว่างอารมณ์เคลิบเคลิ้มมีความสุขกับอารมณ์เศร้าหรือวิตกกังวล
shame ความรู้สึกอาย
5) ความผิดปกติของความคิด (disturbance of thinking)
ชนิดที่ 1 ความผิดปกติโดยรวมของความคิด (general disturbance in form or process of thinking)
autistic thinking ความคิดหมกมุ่นอยู่กับโลกภายในหรือโลกส่วนตัว โดยไม่คํานึงถึงความเป็นจริง (reality) มักจะเป็นความคิดแบบหลงรักตนเอง (narcissistic) ตั้งตนเองเป็นศูนย์กลาง (egocentric)
illogical thinking คิดแบบไม่มีเหตุผล
reality testing คือ ความสามารถในการประเมิน (evaluation) และพิจารณา (judgment) สิ่งต่าง ๆ ตามที่เป็นจริง
ชนิดที่ 2 ความผิดปกติของกระบวนการคิด (disturbances in form of thought)
circumstantiality ความคิดอ้อมค้อมและมีรายละเอียดมากแต่ยังกลับเข้าสู่ประเด็นได้
clang association ความคิดเชื่อมโยงกันด้วยคําพ้องเสียง เล่นคําหรือใส่ทํานองแต่ไม่ได้เชื่อมโยงกันด้วยเนื้อความ
flight of ideas ความคิดเปลี่ยนจากประเด็นหนึ่งไปอีกประเด็นหนึ่งอย่างรวดเร็วแต่ผู้ฟังสามารถเข้าใจได้เนื่องจากเนื้อความมีความเชื่อมโยงกัน
incoherence ความคิดสะเปะสะปะ
loosening of association หรือ derailment คิดออกนอกประเด็น
neologism ความคิดเกิดจากการผสมคําหรือวลีขึ้นใหม่ที่ผู้ฟังไม่สามารถเข้าใจได้
perseveration ไม่สามารถเปลี่ยนการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เปลี่ยนไปได้
tangentiality ความคิดอยู่ในหัวข้อเรื่องที่สนทนาแต่ก็ไม่ตรงประเด็นนัก
thought blocking กระบวนการคิดที่สะดุดหยุดกลางคันและมักจะนึกไม่ออกว่าเมื่อสักครู่กําลังคิดอะไรอยู่
verbigeration หรือ cataphasia การซ้ําคําหรือวลีที่ไม่มีความหมาย พบได้ในผู้ป่วยจิตเภท
ชนิดที่ 3 ความผิดปกติของเนื้อหาความคิด (disturbance of content of thought)
1) delusion อาการหลงผิด
bizarre delusion เนื้อหาของความหลงผิดมีลักษณะเหลวไหล แปลกประหลาด เช่น มนุษย์ต่างดาวไปผังชิปไว้ในสมองของผู้ป่วย
delusionof control เนื้อหาของความหลงผิดว่าตนเองถูกควบคุมความตั้งใจ (will) ความคิด
(thought) หรือความรู้สึก (feeing) ซึ่งถูกกระทําจากจากอิทธิพลภายนอก delusion of control มีหลายชนิด
thought broadcasting คิดว่าคนอื่นได้ยินที่ตนเองคิด
thought control หลงผิดว่าความคิดของตนเองถูกควบคุม
thought insertion หลงผิดคิดว่าคนอื่นเอาความคิดมาใส่ตนเอง
thought withdrawal หลงผิดว่าถูกดูด ถอน ลบ ความคิดของตนเองออกไป
delusion of self-accusation หลงผิดว่าตนเองกระทําความผิด ทําให้รู้สึกเสียใจและสํานึกผิดอย่างมากโดยไม่สมเหตุสผล เช่น รู้สึกผิดที่ไม่ถือศีลจนทําให้ประเทศชาติต้องเดือดร้อน
nihilistic delusion หลงผิดว่าตนเอง บุคคลอื่น หรือโลก ได้สูญสิ้น ไม่มีตัวตนหรือถึงจุดจบ
paranoid delusion ความหลงผิดที่ประกอบด้วยpersecutory delusion delusion of
reference และ delusion of grandeur (paranoid ideationมีความหมายถึงความระแวงสงสัยที่ไม่รุนแรงถึงขั้น
หลงผิด)
delusion of persecution หลงผิดว่าถูกปองร้าย ถูกรังควาน ฉ้อฉล หลอกลวง รบกวนหรือถูกกลั่นแกล้ง
delusion of grandeur หลงผิดว่าตนเองเก่ง มีความสําคัญ มีอํานาจ หรือรู้มาก
หลงผิดว่าตนเองเป็นบุคคลสําคัญ จะเรียกว่า delusion of grandeur identity
มีความสามารถพิเศษหรือเก่งกว่าคนทั่วไป เรียกว่า delusion of grandeur ability
delusion of reference หลงผิดว่าพฤติกรรมของคนอื่นมีความหมายพาดพิงถึงตนเองและมักป็นการพาดพิงไปทางลบ เช่น เรื่องราวในโทรทัศน์วิทยุ หรือหนังสือพิมพ์กําลังกล่าวถึงผู้ป่วย
somatic delusion หลงผิดว่าการทําหน้าที่ของร่างกายไม่ดี เช่น หลงผิดว่าสมองของตนเองกําลังเน่าหรือกําลังละลาย
systematized delusion เนื้อหาของความหลงผิดเป็นเรื่องเป็นราวของเหตุการณ์เดียวหรือมีแก่นเรื่องเดียวกัน เช่น หลงผิดว่ามีหน่วยงานต่าง ๆ คอยสะกดรอยเพื่อตามลอบทําร้ายผู้ป่วย ได้แก่ ตํารวจลับ พ่อค้ายาเสพติด และผู้มีอิทธิพล เป็นต้น
2) obsession การย้ําคิด
3) overvalued ide แต่การยึดติดในความเชื่อ
4) phobia การกลัวที่ผิดธรรมดา
acrophobia การกลัวที่สูงอย่างผิดธรรมดา
ailurophobia การกลัวแมวอย่างผิดธรรมดา
agoraphobia กลัวการอยู่ในที่โล่งแจ้งหรือสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยอย่างผิดธรรมดา
claustrophobia กลัวการอยู่ในพื้นที่ปิดอย่างผิดธรรมดา
social phobia การกลัวการถูกทําให้อับอาย เช่น กลัวและอายเมื่อต้องพูดหรือแสดงตัวเองในที่สาธารณะ
zoophobia การกลัวสัตว์อย่างผิดธรรมดา
5) poverty of content ความคิดที่มีเนื้อหาความคิดน้อยแม้จะมีปริมาณความคิดมาก เพราะความคิดนั้นคลุมเครือหรือคิดซ้ํา ๆ
6) ความผิดปกติของการรับรู้สัมผัส (disturbance of perception) การรับรู้ (perception)
ชนิดที่1 การรับรู้ผิดปกติแบบประสาทหลอน (hallucination)
auditory hallucination “หูแว่ว"
gustatory hallucination "รับรสหลอน"
olfactory hallucination "จมูกได้กลิ่นหลอน"
tactile หรือ haptic hallucination เช่น การรู้สึกว่ายังมีขาอยู่ทั้ง ๆ ที่ถูกตัดขาไปแล้ว (phantom limb) หรือรู้สึกว่ามีอะไรไต่อยู่ที่
ผิวหนัง (formication) เป็นต้น
visualhallucination “เห็นภาพหลอน"
audible thought ได้ยินเสียงความคิดของตนเองเป็นเสียงคนพูด
hypnagogic hallucination คือ อาการประสาทหลอนขณะกําลังเคลิ้มจะหลับ
hypnopompic hallucination คือการประสาทหลอนขณะกําลังเคลิ้มจะตื่น
lilliputian hallucination หรือ micropsia คือ การมองเห็นวัตถุในขนาดเล็กกว่าปกติ(ตรงข้ามกับ macropsia)
somatic hallucination การรับรู้สัมผัสว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นอยู่ในร่างกาย
ชนิดที่ 2 การรับรู้ผิดปกติแบบประสาทลวง (illusion)
ชนิดที่ 3 การรับรู้ผิดปกติที่เป็นปรากฎการณ์ conversion และ dissociation
derealization การรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมดูไม่จริง
depersonalization การรู้สึกว่าตนเองเปลี่ยนไป
fugue การเดินเร่ร่อนขณะที่ความรู้สึกตัวขาดตอน
hysterical anesthesia การสูญเสียการรับความรู้สึก
ชนิดที่4 ความผิดปกติของการรับรู้ที่เกิดความผิดปกติของปัญญา(cognition) ไม่สามารถจําได้ (recognize) หรือไม่สามารถแปลการรับรู้ (interpretation) สิ่งที่มากระตุ้นได้ เรียกว่า agnosia
anosognosia จำไม่ได้ว่าป่วยจิตเวช
astereognosis ไม่รู้จัก (recognize) วัตถุด้วยการสัมผัส
prosopagnosia ไม่สามารถจําใบหน้าบุคคลที่คุ้นเคยได้
somatognosia หรือ autotopagnosia ซีกหนึ่งของร่างกายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตนเอง
visual agnosia ไม่รู้จัก (recognize) วัตถุหรือบุคคลที่มองเห็น
7) ความผิดปกติของความจํา (disturbance of memory) ความจํา (memory)
แบ่งความจําตามระยะเวลา
1) immediate memory ความจําสิ่งที่เพิ่งรู้มาเมื่อสักครู่เป็นวลาหลายวินาทีหรือหลายนาที
2) recent memory ความจําเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2-3 วันก่อน
3) recent past memory ความจําเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2-3 เดือนก่อน
4) remote memory ความจําเหตุการณ์ในอดีตผ่านที่นานแล้ว
ความผิดปกติของความจํา (disturbance of memory)
amnesia สูญเสียความจํา บางส่วนของเหตุการณ์
anterograde amnesia เช่น สูญเสียความจําเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังมีอุบัติเหตุกระทบกระเทือนที่ศีรษะ ซึ่งนั้นก็คือการเสียความสามารถในการสร้างความจําใหม่
retrograde amnesia เช่น สูญเสียความจําเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนมีอุบัติเหตุกระทบกระเทือนที่ศีรษะ ซึ่งก็คือการสูญเสียความจําหรือ
ความสามารถในการรําลึกถึงเหตุการณ์ที่เคยรู้มาแล้ว
2) paramnesia คือ ความจําที่ผิดไปจากความจริง
retrospective falsification การบิดเบือนความจําของเหตุการณ์ในอดีต
confabulation ลืมแล้วแต่คิดสิ่งอื่นมาแทนสิ่งที่ลืม
de ja vu อาการประสาทลวงว่าเคยประสบเหตุการณ์
jamais vu จําสถานการณ์ที่เคยประสบมาแล้วว่า เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยพบมาก่อน
เกณฑ์การจําแนกโรคทางจิตเวช
1) International Classification of Disease and Related Health Problem 10 th Revision (ICD10)
F00-F99 organic including symptomatic, mental disorders คนที่มีสาเหตุจากโรครวมทั้งที่มีอาการทางกาย
F10-F19 mental and behavioral disorders due to psychoactive substance useความผิดปกติทางจิตใจและพฤติกรรมเนื่องจาการใช้วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท
F20-F29 schizophrenia schizotypal and delusional disorders จิตเภทพฤติกรรม แบบจิตเภทและความหลงผิด
F30-F39 mood (affective) disorders ความผิดปกติทางอารมณ์
F40-F49 neurotic stress-related and somatoform disorders โรคประสาท อาการทางกายที่เกิดจากจิตใจและความเครียด
F50-F59 behavioral syndromes associated with physiological disturbances and physical factors กลุ่มอาการด้านพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางสรีรวิทยาและปัจจัยทางร่างกาย
F60-F69 disorders of adult personality and behavior ความผิดปกติของพฤติกรรมและ บุคลิกภาพในผู้ใหญ่
F70-F79 mental retardation ภาวะปัญญาอ่อน
F80-F89 disorders of psychological development ความผิดปกติของพัฒนาการทางจิตใจ
F90-F99 behavioral and emotional disorders with onset usually occurring inchildhood and adolescence ความผิดปกติทางพฤติกรรมและอารมณ์
F99 unspecified mental disorder ความผิดปกติทางจิตใจที่ มิได้ระบุรายละเอียด
2) Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorder 5 th edition (DSM V)
Axis I: clinical syndromes เช่น depression, schizophrenia, social phobia
Axis II: developmental disorders and personality disorders ความผิดปกติด้านพัฒนาการและความบกพร่องทางปัญญาหรือปัญญาอ่อน เช่น autism, mental retardation disorders และความผิดปกติทางบุคลิกภาพ ที่มีอาการเป็นระยะเวลานานม เช่น paranoid, antisocial, borderline
Axis III: physical conditions เช่น brain injury หรือ HIV/AIDS
Axis IV: severity of psychosocial stressors ปัญหาจากจิตสังคม เช่น การตกงาน การสอบตก
Axis V: Highest Level of Functioning ช่น พฤติกรรมที่แสดงออกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทาง สังคมโดยรวม หรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยใช้ Global Assessment of Functioning scale
สิทธิของผู้ป่วย กฎหมาย จริยธรรมในการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช
พระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 ให้ความหมายของคําสําคัญที่ควรรู้
มาตรา 12 สถานบําบัดรักษาแต่ละแห่งให้มีคณะกรรมการสถานบําบัดรักษา
มาตรา 13 คณะกรรมการสถาบําบัดรักษามีอํานาจหน้าที่
มาตรา 15 ผู้ป่วยย่อมมีสิทธิดังต่อไปนี้
มาตรา 16 ห้ามมิให้ผู้ใดเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วย
มาตรา 17 การบําบัดรักษาโดยการผูกมัดร่างกาย การกักบริเวณ หรือแยกผู้ป่วย จะกระทําไม่ได้ เว้นแต่เป็นความจําเป็น
มาตรา 18 การรักษาทางจิตเวชด้วยไฟฟ้า การกระทําต่อสมองหรือระบบประสาท หรือการบําบัดรักษา
มาตรา 19 การทําหมันผู้ป่วยจะกระทําไม่ได้เว้นแต่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 18
มาตรา 20 การวิจัยใด ๆที่กระทําต่อผู้ป่วยจะกระทําได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ป่วย
มาตรา 21 การบําบัดรักษาจะกระทําได้ต่อเมื่อผู้ป่วยได้รับการอธิบายเหตุผล
มาตรา 22 บุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้เป็นบุคคลที่ต้องได้รับการบําบัดรักษา
มาตรา 23 ผู้ใดพบบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์อันน่าเชื่อว่าบุคคลนั้นมีลักษณะบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิตตามมาตรา 22
มาตรา 24 เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตํารวจได้รับแจ้งตามมาตรา 23
มาตรา 27 ให้แพทย์อย่างน้อยหนึ่งคนและพยาบาลอย่างน้อยหนึ่งคนที่ประจําสถานพยาบาลของรัฐหรือสถานบําบัดรักษา ตรวจวินิจฉัย
เจอ แจ้ง ตรวจ ส่ง