Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 4, นางสาวภัชราภรณ์ หนูรอด เลขที่ 65 รหัส 62111301067 รุ่นที่ 37 -…
บทที่ 4
การสำลักสิ่งแปลกปลอมติดคอ
หมายถึง
การที่สิ่งแปลกปลอมเข้าปาก จมูก และสำลักจนติดคอ อุดกั้นกล่องเสียงและหลอดลมคอ
ส่งผลให้เกิดอาการของการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนต้นอย่างเฉียบพลัน
สาเหตุ
มักพบในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งเป็นวัยที่มีความอยากรู้อยากเห็น สนใจชอบค้นคว้า ทดลองด้วยตนเอง
มักเอาสิ่งแปลกปลอมใส่ไปในช่องต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะช่องทางเดินหายใจอันได้แก่ รูจมูก และปากจนเกิดการสำลักติดคอ
ชอบพูดคุยหัวเราะหรือเล่นกันขณะรับประทานอาหาร
รับประทานผลไม้ที่มีเมล็ด
ของเล่นเด็กที่ไม่เหมาะสมไม่ปลอดภัย เช่น ของเล่นที่หลุดเป็นชิ้นเล็กๆ เด็กอาจนำเข้าปากจนสำลักติดคอ
พยาธิสภาพ
การสำลักสิ่งแปลกปลอมติดคอจะทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น
ลักษณะทางกายวิภาคของทางเดินหายใจส่วนต้นของเด็กมีขนาดเล็กและแคบ ส่งผลต่อภาวะขาดออกซิเจน
การอุดกั้นอย่างสมบูรณ์จะทำให้อากาศหรือออกซิเจนเข้าสู่หลอดและปอดไม่เลย
อาการและอาการแสดง
หายใจเข้ามีเสียงดัง
หายใจลำบาก
ขณะหายใจหน้าอกบุ๋ม
ไอ, ไออย่างรุนแรง
สำลัก
อาการเขียว
การรักษา
เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 1 ปี
1.วางเด็กลงบนแขนของผู้ช่วยเหลือโดยให้ศีรษะต่ำ ตบหลัง (Back Blow) 5 ครั้ง
2.สลับด้วยการอุ้มเด็กนอนหงายบนแขน และใช้นิ้วกลางและนิ้วนางของมือขวากดบนหน้าอก (Chest Thrust) 5 ครั้ง
3.ทำสลับกันอย่างละ 5 ครั้ง จนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออก
4.เปิดปากเด็กเพื่อดูสิ่งแปลกปลอม
เด็กโต
ใช้เทคนิคกดบริเวณหน้าท้อง (Abdominal Thrust หรือเรียกว่า Heimlich Manuever)
1.ทำในท่านั่งหรือยืนโน้มตัว ไปทางด้านหน้าเล็กน้อย
2.ผู้ช่วยเหลือเข้าทางด้านหลัง ใช้แขนสอดสองข้างโอบผู้ป่วยไว้
3.มือซ้ายประคองมือขวาที่กำมือวางไว้ที่ใต้ลิ้นปี่
4.ดันกำมือขวาเข้าใต้ลิ้นอย่างรวดเร็วเพื่อให้เกิดแรงดันในช่องท้อง
5.ดันเข้าใต้กระบังลมผ่านไปยังช่องทรวงอก เพื่อดันให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกจาก
การพยาบาล
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้เด็กได้รับการรักษาเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว
ดูแลให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
สังเกตบันทึกสัญญาณชีพ ทุก 1-2 ชั่วโมง
ประเมินอาการและอาการแสดงของการอุดกั้นทางเดินหายใจ
เตรียมอุปกรณ์ในการช่วยเหลือเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน เช่น อุปกรณ์ให้ออกซิเจน เครื่องดูดเสมหะ
เนื้อเยื่อของร่างกายมีภาวะพร่องออกซิเจน เนื่องจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนต้น
ไฟไหม้และน้ำร้อนลวก
ความหมาย
เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อได้รับอันตรายจากการถูกความร้อนที่มากเกินทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อและเกิดแผล
พยาธิสภาพ
เนื้อเยื่อของร่างกายเมื่อสัมผัสกับความร้อน มีการทำลายของหลอดเลือด
ส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นตายทำให้มีเลือดมากเลี้ยงน้อยลงจากหลอดเลือดถูกทำลาย
ทำให้มีการรั่วของสารน้ำออกนอกหลอดเลือด เกิดการรั่วไหลของพลาสมาซึ่งมีส่วนของ
อัลบูมินบริเวณนั้นเกิดการบวมของเนื้อเยื่อ
สาเหตุ
ความร้อน
ไฟ (เตาไฟ ตะเกียง พลุ ประทัด บุหรี่)
วัตถุที่ร้อน (เตารีด จานชามที่ใส่ของร้อน)
น้ำร้อน (กระติกน้ำ กาน้ำ ไอน้ำ หม้อน้ำ)
น้ำมันร้อน ๆ (ในกระทะ)
กระแสไฟฟ้า (ไฟฟ้าช็อต)
สารเคมี เช่น กรด ด่าง
รังสี
แสงแดด (แสงอัลตราไวโอเลต
รังสีโคบอลต์
รังสีเรเดียม
รังสีนิวเคลียร์
ระเบิดปรมาณู
การเสียดสีอย่างรุนแรง
อาการและอาการแสดง
ขนาดความกว้างของบาดแผล
คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ผิวหนังทั่วร่างกาย
เทียบเอาว่า แผลขนาด 1 ฝ่ามือของผู้ป่วย เท่ากับ 1% ของผิวหนังทั่วร่างกาย
เช่น ถ้าแผลมีขนาดเท่ากับ 5 ฝ่ามือ ก็คิดเป็นประมาณ 5%
บาดแผลที่มีขนาดใหญ่ อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ โปรตีน และเกลือแร่ ถึงกับ
เกิดภาวะช็อกได้ และอาจมีโอกาสติดเชื้อถึงขั้นเป็นโลหิตเป็นพิษและเสียชีวิต
ความลึกของบาดแผลหรือดีกรีความลึกของบาดแผล (Degree of burn wound)
ระดับที่ 1 (First degree burn)
เนื้อเยื่อชั้นผิวหนังจะถูกทำลายเพียงบางส่วน เป็นชั้นตื้นๆ
มีเฉพาะอาการผื่นแดง ปวดแสบปวดร้อน ผิวหนังยังไม่พอง
เช่น บาดแผลที่เกิดจากถูกน้ำร้อนลวก ถูกแสงแดด
ระดับที่ 2 (second degree burn)
มีการทำลายของผิวหนัง แต่ลึกถึงผิวหนังชั้นใน ต่อมเหงื่อ และรูขุมขน
ปรากฏอาการบวมแดงมากขึ้น มีผิวหนังพอง และมีน้ำเหลืองซึม
รู้สึกปวดแสบปวดร้อนมาก เพราะเส้นประสาทบริเวณผิวหนังยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกทำลายไปมากนัก
อาจทำให้สูญเสียน้ำ โปรตีน และเกลือแร่ และติดเชื้อได้ง่าย
ระดับที่ 3 (Third degree burn)
มีการทำลายของหนังกำพร้าและหนังแท้ทั้งหมด รวมทั้งต่อมเหงื่อ ขุมขน
และเซลล์ประสาท อาจกินลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อหรือกระดูก
ผู้ป่วยมักไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผลเนื่องจากเส้นประสาทที่อยู่บริเวณผิวหนังแท้
ถูกทำลาย(Hypertrophic scar or keloid)
มีโอกาสเกิดแผลหดรั้งทำให้ข้อยึดติดตามมาสูงมาก ถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง
ผิวหนังจะมีความลึก 2 ชั้น ได้แก่ ชั้นหนังกำพร้า(Epidermis) และชั้นหนังแท้(Dermis)
การปฐมพยาบาล
บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกระดับที่ 1
ล้างทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติ หรือเปิดน้ำให้ไหลผ่าน หรือแช่อวัยวะส่วนที่เป็นแผลลงในน้ำสะอาด
ประมาณ 15-20 นาที หรือจนกว่าอาการปวดแสบปวดร้อนจะลดลง
น้ำที่ใช้แช่ควรเป็นน้ำธรรมดาจากก๊อกน้ำ ไม่ควรใช้น้ำเย็นจัด น้ำจากตู้เย็น หรือน้ำแข็ง เพราะอาจทำให้บาดแผลลึกมากขึ้นได้
การรักษา
ช่วยหายใจ เด็กที่ถูกไฟไหม้ในที่ สูดควันหรือแก๊ส ถูกความร้อนลวกบริเวณ ใบหน้า คอ ต้องได้รับการดูแลในเรื่องการหายใจ
ดูแลระบบไหลเวียน ภาวการณ์ไหลเวียนล้มเหลว ด้วยการให้สารน้ำ
การรักษาบาดแผล
การตกแต่งบาดแผล (debridement) เป็นการกำจัดเนื้อตายจากบาดแผล ช่วยลดการติดเชื้อ เพราะจะกำจัดเนื้อเยื่อที่มีเชื่อจุลินทรีย์
การปลูกถ่ายผิวหนัง (skin graft) ทำทุกรายที่ผิวหนังถูกเผาไหม้ทุกชั้นหลังจาก เนื้อเยื่องอกขึ้นมาเต็มและตัดเอาเนื้อตายออกหมด
แผลสะอาดดี การปลูกถ่ายที่ดีที่สุดคือเอาผิวหนังของเด็ก
การพยาบาล
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 3
เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากผิวหนังถูกทำลายและภูมิคุ้มกันลดต่ำลง
กิจกรรมการพยาบาล
จัดให้เด็กให้อยู่ในห้องแยกเฉพาะ อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้กับเด็กต้องปราศจากเชื้อ
ดูแลให้เด็กได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ทำความสะอาดบาดแผลโดยเทคนิคปราศจากเชื้อ เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียเข้ามารุกรานบริเวณที่มีบาดแผล
สังเกตและประเมินลักษณะของบาดแผล เช่น เปลี่ยนเป็นสีดำ น้ำตาล ซีด ลักษณะของสิ่งคัดหลั่ง
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 4
เสี่ยงต่อโภชนาการบกพร่อง เนื่องจากมีการเผาผลาญเพิ่มขึ้น
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้เด็กได้รับสารอาหารครบทั้งคุณภาพและปริมาณ เด็กที่มีแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก จะมีอัตราการเผาผลาญสูงกว่าปกติความต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น เด็กได้ต้องได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ควรเสริมอาหารพวกวิตามินและเกลือแร่อื่นด้วย
ชั่งน้ำหนักวันละครั้ง เพื่อประเมินว่าเด็กได้รับสารอาหารเพียงพอ
สังเกตอาการที่เกิดในระบบทางเดินอาหาร เด็กอาจมีเลือดออกในการรับประทานอาหารจากการที่มีแผลในกระเพาะอาหาร
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 2
เสี่ยงต่อภาวะช็อค เนื่องจากการสูญเสียน้ำและพลาสมาออกนอกร่างกาย
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลให้ได้รับสารน้ำและอีเล็คโตรลัยท์ตามแผนการรักษา เป็นการทดแทนสารน้ำที่รั่วออกนอกหลอดเลือด
วัดสัญญาณชีพ ความดันหลอดเลือดกลาง
ส่งตรวจและติดตามผลการตรวจอีเล็ดโตรลัยท์ในเลือด
ประเมินระดับการรู้สึกตัว เด็กที่ได้รับน้ำเพียงพอควรมีความรู้สึกตัวดี
สังเกตและบันทึกปริมาณปัสสาวะที่ออก เด็กควรมีปัสสาวะออกไม่ต่ำกว่า 1 มล/ก.ก./ชม.
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 5
เสี่ยงต่อความพิการเนื่องจากการหดรั้งของเนื้อเยื่อบริเวณแผล
กิจกรรมพยาบาล
ดูแลให้เด็กบริหารกล้ามเนื้อบริเวณแขนขา ที่เกิดจากแผลความร้อนเพื่อป้องกันการหดรั้ง และการยึดติดแข็งของข้อ
ดูแลให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
ป้องกันการติดเชื้อที่แผลเพื่อช่วยให้แผลหายเร็วและไม่ลุลามจนเกิดการหดรั้งของเนื้อเยื่อ
4.. ติดตามประเมินผลบริเวณกล้ามเนื้อหรือบริเวณอวัยวะทีเกิดแผล
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 1
เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อขาดออกชิเจน เนื่องจากมีการบวมของทางเดินหายใจกิจกรรมการพยาบาล
กิจกรรมการพยาบาล
ติดตามประเมินสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เด็กอาจมีปัญหาเรื่องการหายใจ คือเสียงแหบ ไอ แสบจมูก ปาก มีเศษเขม่าในปาก เสมหะ หายใจลำบาก หอบ หรือมีเสียงหวีด ถ้าพบจะต้องรายงานแพทย์เพื่อพิจารณาให้ออกซิเจนแก่เด็กทันที
ดูแลเปิดทางเดินหายใจให้โล่งและไห้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
การจมน้ำ
ความหมาย
Drowning
ผู้ที่เสียชีวิตจากการจมน้ำ
Near-Drowning
ผู้ที่จมน้ำแต่ไม่เสียชีวิตทันที
บางรายอาจเสียชีวิตต่อมาในช่วงเวลาสั้นๆได้
พยาธิสภาพ
เมื่อเด็กจมน้ำและหายใจในน้ำครั้งแรก เด็กจะไอจาก
การระคายเคืองที่มีน้ำในจมูกและคอ
น้ำจะเข้ากล่องเสียงทำให้เกิดการหดเกร็งของกล่องเสียง
อากาศและน้ำเข้าหลอดลมไม่ได้เกิดภาวะขาดออกซิเจน
ตามด้วยการสูดหายใจเอาน้ำเข้าไปในปอด ทำให้ไม่สามารถแลกเปลี่ยน
ออกซิเจนได้ เพราะถุงลมเต็มไปด้วยน้ำ
แบ่งเป็น
การจมน้ำเค็ม
(Salt-water Drowning)
น้ำเค็ม(Hypertonic solution) ทำให้เกิดภาวะ pulmonary edema
ปริมาตรน้ำที่ไหลเวียนในร่างกายลดลง เกิดภาวะ hypovolemia
ระดับเกลือแร่ในร่างกายสูงขึ้น หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจวาย ช็อกได้
การจมน้ำจืด
(Freshwater-Drowning)
น้ำจืด (Hypotonic solution) จะซึมผ่านเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตของปอดอย่างรวดเร็ว เกิด hypervolemia
ระดับเกลือแร่ในเลือดลดลง หัวใจเต้นผิดจังหวะ
หัวใจวาย อาจเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกhemolysis
วิธีช่วยเหลือ
วิธีช่วยเด็กจมน้ำที่ดีที่สุด
เมื่อนำตัวเด็กขึ้นมาอยู่บนฝั่งได้แล้ว ในกรณีที่เด็กรู้สึกตัว ให้รีบเช็ดตัว
เปลี่ยนเสื้อผ้า ใช้ผ้าคลุมตัวเพื่อทำให้เกิดความอบอุ่น
จัดให้นอนในท่าตะแคงกึ่งคว่ำ แล้วนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
กรณีที่เด็กหมดสติ
สติ เช็กว่ายังมีลมหายใจอยู่ไหม หัวใจเต้นหรือเปล่า
ถ้าไม่ ให้โทร. เรียกหน่วยรถพยาบาลหรือหน่วยกู้ภัยโดยด่วน
ช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานโดยนวดหัวใจสลับกับการช่วยหายใจ
การช่วยหายใจ
จับศีรษะให้หงายขึ้นให้มากที่สุด ใช้ฝ่ามือกดหน้าผากของเด็กไว้ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้
บีบจมูก จากนั้นใช้ปากครอบลงบนปากของผู้ป่วยให้มิด แล้วเป่าลมเข้าไปให้สุดลมหายใจของเรา
ตาดูที่หน้าอกว่าขยายหรือไม่
ถ้าเห็นอกไม่ขยาย ให้ปล่อยมือที่บีบจมูกไว้ จากนั้นเป่าลมเข้าไปใหม่
ทำสลับกับการนวดหัวใจ โดยนวดหัวใจ 30 ครั้ง สลับกับการเป่าปาก 2 ครั้ง
การนวดหัวใจ
ให้เด็กนอนราบบนพื้นแข็ง
วัดตำแหน่งที่เหมาะสำหรับการนวดหัวใจ โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางข้างที่ถนัด วาดจากขอบชายโครงล่าง
ของผู้ป่วยขึ้นไป จนถึงปลายกระดูกหน้าอก วัดเหนือปลายกระดูกหน้าอกขึ้นมา 2 นิ้วมือ แล้วใช้สันมือข้าง
ที่ไม่ถนัดวางบนตำแหน่งดังกล่าว จากนั้นใช้สันมือข้างที่ถนัดวางทับลงไป และเกี่ยวนิ้วมือให้นิ้วมือที่วางทับ
แนบชิดในร่องนิ้วมือของมือข้างล่าง(interlocked fingers) ยกปลายนิ้วขึ้นจากหน้าอก
ผู้ช่วยเหลือยืดไหล่และแขนเหยียดตรง จากนั้นปล่อยน้ำหนักตัวผ่านจากไหล่ไปสู่ลำแขนทั้งสอง และลงไปสู่กระดูก
หน้าอกในแนวตั้งฉากกับลำตัวของเด็ก กดลงไปลึกประมาณ 2 นิ้ว หรือประมาณ 5 เซนติเมตร ของความหนาหน้า
อก โดยกดลงไปในแนวดิ่ง และอย่ากระแทก ทั้งนี้ให้ทำสลับกับการเป่าปาก โดยเป่าปาก 2 ครั้ง กดหน้าอก 30 ครั้ง
การกดนวดหัวใจ ควรนวดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ในอัตราเร็วอย่างน้อย 100 ครั้ง/นาที
การพยาบาล
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 1
มีภาวะขาดออกซิเจน เนื่องจากมีการขัดขวางการแลกเปลี่ยนก๊าซ จากการสูดหายใจเอาน้ำเข้าไปในปอด
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง
ให้ออกซิเจนอย่างเพียงพอ
เพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายให้อยู่ในระดับอุณหภูมิปกติเพื่อลดการเผาผลาญ ลดการใช้ออกซิเจน เพราะในขณะจมน้ำเด็กมักมีอุณหภูมิกายที่ต่ำกว่าปกติ
สังเกตและประเมินอาการและอาการแสดง ที่แสดงถึงภาวะการได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ จากสัญญาณชีพ สีผิว
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 2
เสี่ยงต่อภาวะไหลเวียนล้มเหลวและเสียสมดุลออิเล็กโตรไลท์
กิจกรรมการพยาบาล
จำกัดและควบคุมการให้สารน้ำและอีเล็คโตรลัยท์ทางหลอดเลือดดำอย่างเคร่งครัดในรายที่จมน้ำจืด เพราะเด็กอยู่ในภาวะน้ำเกินอยู่
เพิ่มปริมาตรของเหลวในหลอดเลือดในรายที่จมน้ำเค็ม ด้วยการให้สารน้ำทางหลอดเลือดตามแผนการรักษา
ติดตามผลระดับอีเล็คโตรลัยท์จากการตรวจทางห้องปฏิบัติการ บันทึกปริมาณน้ำเข้าและออก
สังเกตและประเมินสัญญาณชีพ ความดันหลอดเลือดดำกลาง ปริมาณสารน้ำเข้า-ออก
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 3
เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากมีการสูดสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าทางเดินหายใจ
กิจกรรมการพยาบาล
ให้ยาปฏิชีวนะทันทีตามแผนการรักษาของแพทย์
ประเมินอาการและอาการแสดงที่บ่งบอกถึงลักษณะของการติดเชื้อ เช่น สัญญาณชีพ สภาพปอด ลักษณะการหายใจ ลักษณะเสมหะ
กระดูกหักและข้อเคลื่อน
ความหมาย
กระดูกหัก
ภาวะที่โครงสร้างหรือส่วนประกอบของกระดูกแยกออกจากกัน
ข้อเคลื่อน
ภาวะที่มีการเคลื่อนของผิวข้อออกจากที่ที่ควรจะอยู่หรือกระดูกหลุดออกจากเบ้า ซึ่งการบาดเจ็บของข้อและ
กระดูกยังส่งผลให้เนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบกระดูกหลอดเลือดน้ำเหลืองเส้นประสาทและเส้นเอ็นได้รับอันตรายด้วย
สาเหตุ
เกิดจากการได้รับอุบัติเหตุมีแรงกระแทกบริเวณกระดูกโดยตรง
ถูกตี
รถชน
ตกจากที่สูง
อาการและอาการแสดง
มีอาการปวดและกดเจ็บ บริเวณที่กระดูกมีพยาธิสภาพโดยเฉพาะเมื่อมีการเคลื่อนไหว
บวม เนื่องจากมีเลือดออกบริเวณที่กระดูกหักพลาสมาซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อหรือกระดูกเกยกันก็ทำให้ดูบริเวณนั้นใหญ่ขึ้น
รอยจ้ำเขียว เนื่องจากมีเลือดซึมจากชั้นในขึ้นมายังผิวหนังหรือรอยฟกช้ำจากถูกแรง กระแทก
อวัยวะส่วนที่ได้รับบาดเจ็บมีลักษณะผิดรูป มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
หลักการการดูแลเมื่อเข้าเฝือก
ภายใน 24 ชั่วโมงแรกควรประเมินเด็กทุก 1 ชั่วโมงเพราะอาจเกิดภาวะ
แทรกซ้อนเนื่องจากเผือกบีบรัดแน่นเกินทำให้เกิดอาการบวมหลอดเลือด
และเส้นประสาทถูกกดซึ่งสามารถประเมินได้จาก 5 PS
1.1 จับชีพจรว่าเต้นแรงตีหรือไม่เปรียบเทียบกับแขนขาข้างที่ปกติ (pulselessness)
1.2 สังเกตบริเวณอวัยวะส่วนปลายคือปลายมือปลายเท้าผิวหนังเล็บถ้าการ
ไหลเวียนเลือดไม่ดี ถูกกดจะพบอวัยวะส่วนปลายเหล่านี้มีสีคล้ำ
เย็น ซีด มีอาการชาขาดความรู้สึกต่อการสัมผัส (pallor paresthesia)
1.3เคลื่อนไหวนิ้วมือนิ้วเท้าไม่ได้จากเส้นประสาทถูกกด (paralysis)
1.4 อาการเจ็บปวดที่มากกว่าเดิม (pain)
1.5. อาการบวม (swelling) ซึ่งอาจเกิดจากการเข้าเผือกแน่นเกิน
ยกส่วนที่เข้าเฝือกให้สูงเล็กน้อยด้วยการใช้หมอนรองใต้เฝือก
นานประมาณ 48 ชั่วโมง เพื่อช่วยลดอาการบวม
3.ดูแลเผือกห้ามเปียกน้ำ
การพยาบาล
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 1
เสี่ยงต่อภาวะเนื้อเยื่อรอบกระดูกที่หักได้รับบาดเจ็บเพิ่มเนื่องจากการทิ่มแทงของกระดูก
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินลักษณะการบาดเจ็บที่ได้รับโดยการสังเกต ดูการเคลื่อนไหวของข้อต่าง การจับชีพจรที่แขนขา
เคลื่อนย้ายเด็กด้วยความระมัดระวัง
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 2
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการเคลื่อนไหว ถูกจำกัด เช่น ข้อติดแข็งกล้ามเนื้อ ลีบ แผลกดทับ การขับถ่ายผิดปกติ การติดเชื้อที่ปอด ทางเดินปัสสาวะ
กิจกรรมการพยาบาล
กระตุ้นให้เด็กได้ มีการออกกำลังบริเวณกล้ามเนื้อและข้อต่างๆ ที่ไม่ได้ถูกจํากัดการเคลื่อนไหว
ด้วยตนเอง ในรายที่เข้าเฝือกแนะนำให้ออกกำลังโดยการเกร็งกล้ามเนื้อที่อยู่ในเฝือกบ่อยๆ
เปลี่ยนท่าที่เหมาะสมให้เด็กอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง
ลดอาการท้องผูกด้วยการกระตุ้นให้เด็กมีการเคลื่อนไหว จัดอาหารที่มี
กากมาก ดื่มน้ำให้ เพียงพอ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายอุจจาระเป็นไปได้ง่าย
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 3
เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่กระดูก เนื่องจากมีทางเปิดของผิวหนังถึงกระดูก
กิจกรรมการพยาบาล
ทำความสะอาดบาดแผลก่อนการเข้าเฝือกหรือจัดดึงกระดูกให้เข้าที่ด้วยการชะล้าง
สิ่งแปลกปลอมที่อยู่ภายในแผลออกให้หมด ใช้น้ำเกลือล้างแผล
ประเมินลักษณะอาการและอาการแสดงที่บ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อ เช่น ลักษณะแผล สิ่งคัดหลั่ง อาการบวม
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
ดูแลให้เด็กรับประทานอาหารที่จะช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บ เช่น อาหารที่มี โปรตีน แคลเซียม
ข้อวินิจฉัยการพยาบาล 4
เครียดวิตกกังวลจากความเจ็บปวดและการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินสภาพความต้องการทางด้านจิตใจของเด็กและญาติ
สร้างความมั่นใจและความรู้สึกที่ดีแก่เด็กและญาติ ที่มีต่อการรักษาพยาบาลและตัว
บุคลากร ด้วยการแนะนำ อธิบายให้เข้าใจถึงแนวทางการรักษาพยาบาล การปฏิบัติตัว
จัดกิจกรรมหรือเปิดโอกาสให้เด็กและญาติให้มีการระบายออก
ประเมินอาการเจ็บปวดให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
สารพิษ
ความหมาย
สารเคมีที่มีสภาพเป็นของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกาย
โดย การรับประทาน การฉีด การหายใจ หรือการสัมผัสทางผิวหนัง แล้วทำให้
เกิดอันตรายต่อโครงสร้างและหน้าที่ของร่างกาย ด้วยปฏิกิริยาทางเคมี
อันตรายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ คุณสมบัติ ปริมาณ และทางที่ได้รับสารพิษนั้น
จำแนกตามลักษณะการออกฤทธิ์
1.ชนิดกัดเนื้อ(Corrosive)
ทำให้เนื้อเยื่อของร่างกายไหม้ พอง
ได้แก่ สารละลายพวกกรดและด่างเข้มข้น, น้ำยาฟอกขาว
2.ชนิดทำให้ระคายเคือง (Irritants)
ทำให้เกิดอาการปวดแสบ ปวดร้อน และอาการอักเสบในระยะต่อมา
ได้แก่ ฟอสฟอรัส, สารหนู, อาหารเป็นพิษ, ซัลเฟอร์ไดออกไซด์
3.ชนิดที่กดระบบประสาท(Narcotics)
ทำให้หมดสติ หลับลึก ปลุกไม่ตื่น ม่านตาหดเล็ก
ได้แก่ ฝิ่น, มอร์ฟีน, พิษจากงูบางชนิด
4.ชนิดที่กระตุ้นระบบประสาท(Dililants)
ทำให้เกิดอาการเพ้อคลั่ง ใบหน้าและผิวหนังแดง
ตื่นเต้นชีพจรเต้นเร็ว ช่องม่านตาขยาย
ได้แก่ ยาอะโทรปีน, ลำโพง
การประเมินภาวะการได้รับสารพิษ
การคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง น้ำลายฟูมปาก หรือมีรอยไหม้นอกบริเวณริมฝีปาก มีกลิ่นสารเคมีบริเวณปาก
เพ้อ ชัก หมดสติ มีอาการอัมพาตบางส่วนหรือทั่วไป ขนาดช่องม่านตาผิดปกติ อาจหดหรือขยาย
หายใจขัด หายใจลำบาก มีเสมหะมาก มีอาการเขียวปลายมือปลายเท้าหรือบริเวณริมฝีปาก ลมหายใจมีกลิ่นสารเคมี
ตัวเย็น เหงื่อออกมาก มีผื่นหรือจุดเลือดออกตามผิวหนัง
การปฐมพยาบาล
ผู้ที่ได้รับสารพิษทางปาก
ทำให้สารพิษเจือจาง ให้นม
นำส่งโรงพยาบาล เพื่อทำการล้างท้องเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร
ทำให้ผู้ป่วยอาเจียน เพื่อเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร
ข้อห้ามในการทำให้ ผู้ป่วยอาเจียน
หมดสติ
ได้รับสารพิษชนิดกัดเนื้อ เช่น กรด ด่าง
รับประทานสารพิษพวก น้ำมันปิโตรเลียม เช่น น้ำมันก๊าด เบนซิน
ให้สารดูดซับสารพิษในระบบทางเดินอาหารสารที่ใช้ได้ผลดี คือ Activated charcoal มีลักษณะเป็นผงถ่าน
สีดำ ใช้ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำ 1 แก้ว ให้ ผู้ป่วย ดื่ม ถ้าหาไม่ได้ อาจใช้ไข่ขาว 3-4 ฟอง ตีให้เข้ากัน
ผู้ที่ได้รับสารกัดเนื้อ
กรด ด่าง เป็นสารเคมีที่พบในชีวิตประจำวัน กรดซัลฟุริก กรดไฮโดรคลอริก โซเดียมคาร์บอเนต
อาการและอาการแสดง
ไหม้พอง
ร้อนบริเวณริมฝีปาก ปาก ลำคอและท้อง
คลื่นไส้ อาเจียน
กระหายน้ำ
มีอาการภาวะช็อค ได้แก่ ชีพจรเบา ผิวหนังเย็นชื้น
การปฐมพยาบาล
ถ้ารู้สึกตัวดีให้ดื่มนม
อย่าทำให้อาเจียน
รีบนำส่งโรงพยาบาล
ผู้ที่ได้รับสารพวกน้ำมันปิโตเลียม
สารพวกนี้ได้แก่ น้ำมันก๊าด เบนซิน ยาฆ่าแมลงชนิดน้ำมัน เช่น DTT.
อาการและอาการแสดง
แสบร้อนบริเวณปาก คลื่นไส้ อาเจียน
อาจสำลักเข้าไปในปอดทำให้หายใจออกมามีกลิ่นน้ำมันหรือมีกลิ่นน้ำมันปิโตเลียม
อัตราการหายใจและชีพจรเพิ่ม อาจมีอาการขาดออกซิเจนซึ่ง
อาจรุนแรงมากมีเขียวตามปลายมือ ปลายเท้า ( Cyanosis )
การปฐมพยาบาล
รีบนำส่งโรงพยาบาล
ห้ามทำให้อาเจียน
ระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยอาเจียน ให้
จัดศีรษะต่ำ เพื่อป้องกันการสำลักน้ำมันเข้าปอด
ผู้ที่ได้รับ ยาแก้ปวด ลดไข้
อาการและอาการแสดง
ยาแอสไพริน
หูอื้อ เหมือนมีเสียงกระดิ่งในในหู การได้ยินลดลง
เหงื่อออกมาก ปลายมือปลายเท้าแดง
ชีพจรเร็ว คลื่นไส้อาเจียน หายใจเร็ว ใจสั่น
ยาพาราเซตามอล
คลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม
เหงื่อออกมาก ความดันโลหิตต่ำ
สับสน เบื่ออาหาร
การปฐมพยาบาล
ทำให้สารพิษเจือจาง
ทำให้อาเจียน
ให้สารดูดซับสารพิษ ที่อาจหลงเหลือในระบบทางเดินอาหาร
ผู้ที่ได้รับสารพิษทางการหายใจ
ก๊าซที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ
ได้แก่ คอ หลอดลม และปอด
ถ้าได้รับในปริมาณมากอาจทำให้ตายได้ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์
ก๊าซที่ทำให้อันตรายทั่วร่างกาย
ได้แก่ ก๊าซอาร์ซีน
ไม่มีสี กลิ่นคล้ายกระเทียม
พบได้ในโรงงานอุตสาหกรรมใช้ทำแบตเตอรี่
เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตก
ปัสสาวะเป็นเลือด ดีซ่าน ตาเหลือง ตัวเหลือง
ก๊าซที่ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน
ก๊าซที่ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน
เกิดอาการ วิงเวียน หน้ามืด เป็นลมหมดสติ ถึงแก่ความตายได้
เช่น
คาร์บอนมอนนอกไซด์
คาร์บอนไดออกไซด์
ไฮโดรเจน
ไนโตรเจน
การปฐมพยาบาล
กลั้นหายใจและรีบเปิดประตูหน้าต่าง ๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเท
มีอากาศบริสุทธิ์เข้ามาในห้อง ปิดท่อก๊าซ หรือขจัดต้นเหตุของพิษนั้น ๆ
นำผู้ป่วย ออกจากบริเวณที่เกิดเหตุไปยังที่มีอากาศบริสุทธิ์
ประเมินการหายใจและการเต้นของหัวใจ ถ้าไม่มีให้ผายปอดและนวดหัวใจ
นำส่งโรงพยาบาล
เมื่อสารเคมีถูกผิวหนัง
ล้างด้วยน้ำสะอาดนาน ๆ อย่างน้อย 15 นาที
อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมี เพราะความร้อนที่
เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
ปิดแผล แล้วนำส่งโรงพยาบาล
เมื่อสารเคมีเข้าตา
ล้างตาด้วยน้ำนาน 15 นาที โดยการเปิดน้ำก๊อกไหลรินค่อยๆ
อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมี เพราะความร้อนที่
เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
ปิดตา แล้วนำส่งโรงพยาบาล
นางสาวภัชราภรณ์ หนูรอด เลขที่ 65
รหัส 62111301067 รุ่นที่ 37