Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System) - Coggle Diagram
ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)
หมายถึง
โครงสร้างของระบบสืบพันธุ์ของทั้งสองเพศประกอบด้วยอวัยวะ สืบพันธุ์ภายในและอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกโดยมีสมองส่วนที่มาควบคุมการ ทำงานของระบบสืบพันธุ์ได้แก่ ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) และต่อมใต้ สมองส่วนหน้า (Anteriorpituitarygland)
พัฒนาการแยกเพศ
มนุษย์ มีจำนวนโครโมโซม 46แท่ง จัดเป็นคู่จะได้23คู่ ซึ่งจะมี22คู่ที่เหมือนกันในเพศชายและเพศหญิงเราจะเรียกคู่โครโมโซมเหล่านี้ว่า โครโมโซมร่างกาย (autosome) ซึ่งจะมีบทบาทในการกำหนดลักษณะทางพันธุ์กรรมต่างๆในร่างกาย
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง
ฮอร์โมนเพศหญิง ได้แก่
-ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)
-โพรเจสเทอโรน (Progesterone)
ฮอร์โมนเพศชาย ได้แก่
-ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen)
-เทสทอสเทอโรน(Testosterone)
อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
หัวเหน่า (Mons pubis)
เป็นส่วนที่ใหญ่กว่าส่วนอื่นๆ ตั้งอยู่หน้ากระดูกหัวเหน่าได้บริเวณท้องน้อยมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยมีฐานอยู่บนและยอดอยู่ข้างล่าง ในเด็กหญิงเมื่อเข้าสู่วัยสาว จะมีขนขึ้นบริเวณนี้
Labia majora
แคมใหญ่ เป็นส่วนของผิวหนังที่มีก้อนไขมัน มีลักษณะนูนแยกเป็น 2 กลีบลงไปบรรจบกันทางด้านหลังที่บริเวณผีเย็บ ปิดช่องคลอดและอวัยวะภายใน
Labia minora
แคมเล็ก เป็นกลีบเล็กๆ ที่อ่อนนุ่ม ไม่มีขนปกคลุม อยู่ด้านในของแคมใหญ่ มีหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อจากภายนอกเข้าสู่ช่องคลอด
Clitoris
มีลักษณะเป็นตุ่มเนื้อขนาดเล็ก มีปลายประสาทมาสิ้นสุดมากจึงรับความรู้สึกต่างๆ ได้เร็ว ความไวต่อการสัมผัส และทำให้เกิดความรู้สึกทางเพศ
Urethral opening
เป็นท่อปัสสาวะ
อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน
Vagina(ช่องคลอด)
เป็นช่องสำหรับผ่านของตัวอสุจิเพื่อเข้าไปปฏิสนธิกับไข่บริเวณปีกมดลูกหรือท่อนำไข่ รวมถึงเป็นทางออกของทารกในขณะคลอด
Cervix(ปากมดลูก)
เป็นส่วนที่อยู่ปลายสุดของมดลูกตอนที่ต่อกับช่องคลอด ทั้งปากมดลูกและช่องคลอดทำหน้าที่เป็นทางผ่านของน้ำอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก เป็นทางผ่านของเลือดประจำเดือนและเป็นทางที่ทารกคลอดออกมา
มดลูก (Uterus)
มีขนาดใหญ่ที่สุด มีความแข็งแรง มีเส้นเลือดมาเลี้ยงจำนวนมาก และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดทุกรอบเดือนจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศเอสโตรเจน และโปรเจสเตอร์โรน
Uterine tube (ท่อนำไข่)
เป็นทางเชื่อมต่อระหว่างรังไข่ทั้งสองข้างกับ มดลูก ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของไข่ที่ออกจากรังไข่เข้าสู่มดลูก ท่อนำไข่เป็น บริเวณที่อสุจิจะเข้าปฏิสนธิกับไข่
Ovary (รังไข่)
มีรูปร่างรีแบน มี 2 ข้าง อยู่บริเวณ ปีกมดลูกซ้าย-ขวา ทั้งสองข้าง มีหน้าที่ใน การสร้างเซลล์สืบพันธุ์และฮอร์โมนเพศ มดลูกทั้งสองข้างมีหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศและเซลล์สืบพันธ์
อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
Penis(อัณทะ)
เป็นอวัยวะสำหรับร่วมเพศ มีลักษณะรูปร่างทรงกระบอก เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่นำพาตัวอสุจิผ่านเข้าปากมดลูกเพศหญิง
ขณะร่วมเพศ
Scrotum (ถุงอัณฑะ)
เป็นส่วนของผิวหนังที่ไม่มีไขมันใต้ผิวหนัง เป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยปรับอุณหภูมิของอัณฑะ ให้ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย ประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส
อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน
Testis (ลูกอัณฑะ)
เป็นอวัยวะสำคัญที่สุดในระบบสืบพันธุ์เพศชาย ทำหน้าที่สร้างอสุจิ และฮอร์โมนเพศชาย อัณฑะ ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศชาย คือ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) โดยมีท่อนำอสุจิออกสู่ภายนอก คือ อีพิดิไดมิส (Epididymis)
Epididymis (หลอดเก็บอสุจิ)
มีลักษณะเป็นหลอดหรือท่อเล็กๆที่ขดไปมาอยู่ในลูกอัณฑะ
มีหน้าที่สำคัญคือเป็นที่พักชั่วคราวของเชื้ออสุจิที่เจริญเต็มที่
ซึ่งผลิตจากอัณฑะก่อนที่จะส่งผ่านไปยังท่อนำอสุจิ (Vas deferens)
Vas deferens (ท่อนำอสุจิ)
มี 2 ท่อเป็นหลอดอยู่ถัดจากหลอดอสุจิ ท่อนำอสุจินี้จะผ่านเข้าสู่ช่องท้องแล้วออกมารวมกับถุงเก็บน้ำอสุจิ (Seminal vesicle) ผ่านต่อมลูกหมากออกไปต่อกับท่อปัสสาวะสำหรับนำตัวอสุจิออกไปสู่ภายนอก
Seminal vesicle (ถุงเก็บน้ำอสุจิ)
มีอยู่ 2 ถุงทำหน้าที่เก็บอสุจิและสร้างน้ำกาม มีลักษณะเป็นเมือกสีขาวขุ่นและข้น
น้ำกามที่สร้างขึ้นนี้จะทำให้ตัวอสุจิเคลื่อนที่ได้
Prostate glands (ต่อมลูกหมาก)
อยู่ข้างใต้กระเพาะปัสสาวะและอยู่ล้อมรอบท่อปัสสาวะ หน้าที่หลักของ
ต่อมลูกหมากคือผลิตน้าอสุจิที่นำพาตัวอสุจิออกจากร่างกาย
Ejaculatory duct (ท่อฉีดอสุจิ)
เป็นท่อที่เกิดจากการรวมตัวกันเป็นท่อเดียวของท่อนำอสุจิ 2 ท่อ ซึ่งมาจากอัณฑะทั้งสองข้างมี หน้าที่ขับน้ำอสุจิส่งต่อไปยังอวัยวะนำส่งอสุจิสู่ภายนอก
Cowper 's glands (ต่อมขับเมือก)
เป็นกระเปาะเล็กๆมีหน้าที่หลั่งสารไปหล่อลื่นท่อปัสสาวะในขณะที่เกิดการกระตุ้นทางเพศ
ลักษณะของเชื้อสุจิ
ส่วนหัว (Head) : บรรจุสารพันธุกรรม มีนิวเคลียส โดยด้านหน้าเป็นส่วนของอะโครโซม (Acrosome) มีลักษณะเป็นถุงบรรจุเอนไซม์เพื่อสลายเยื่อหุ้มเซลล์ไข่ ซึ่งโครงสร้างนี้เปลี่ยนแปลงมาจาก Golgi Apparatus
ส่วนกลาง (Middle) : มีลักษณะเป็นแท่ง มีไมโทคอนเดรียผลิตพลังงานไว้สำหรับการเคลื่อนที่ของอสุจิ
ส่วนหาง (Tail) : มีไมโครทูบูล ทำหน้าที่โบกพัดได้เพื่อว่ายไปหาเซลล์ไข่
การปฎิสนธิ (fertilization)
การปฎิสนธิในธรรมชาติ
เกิดขึ้นเมื่อมีการร่วมเพศในช่วงไข่ตก ขณะหลั่งน้ำอสุจิจะถูกฉีดเข้าไปในช่องคลอดของผู้หญิง และแหวกว่ายเข้าสู่โพรงมดลูก ว่ายไปจนถึงส่วนต้นของปีกมดลูกซึ่งเป็นบริเวณที่พบกับไข่เพื่อเจาะผ่านชั้นต่างๆ ของเซลล์ไข่เข้าไปภายใน โดยมีอสุจิเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าไปผสมกับเซลล์ไข่ได้
การเกิดการตั้งครรภ์
คือการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิแล้วในมดลูกจนกระทั่งถึงคลอดระยะของการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะกิน
เวลาประมาณ 280 วัน หรือ 40 สัปดาห์ นับตั้งแต่วันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายแต่อาจจะแตกต่างกันบ้างในหญิงแต่ละคน
รอบเดือน (menstrual cycle)
ในภาวะปกติ หญิงวัยเจริญพันธุ์ การตกไข่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แน่นอน การร่วมเพศอาจเกิดขึ้นในเวลาใด ๆ ก็ได้ของรอบเดือน แต่การปฏิสนธิจะเกิดขึ้นได้เฉพาะหลังการตกไข่เท่านั้น ทันทีที่ตั้งครรภ์การตกไข่จะหยุด รอบเดือนครั้งแรกเกิดขึ้นในวัยรุ่น อายุประมาณ 13 ปี เลือดที่ออกมาครั้งแรกเรียก menache
แบ่งออกเป็น 4 ระยะ
Menstrual phase เป็นระยะที่มีเลือดระดูออก (วันที่ 0 ถึง 5)
Follicular phase (วันที่ 6 ถึง 13) เป็นระยะพัฒนาถุงไข่
หลั่งเอสทราไดออลเพิ่มขึ้น เยื่อบุมดลูกเพิ่มจำนวนเซลล์ เพื่อตอบสนองต่อเอสโทรเจนที่สูงขึ้น
Ovulatory phase เป็นระยะการตกไข่ เป็นสิ่งที่เกิดเพียงครั้งเดียวในแต่ละรอบเดือนของผู้หญิง การตกไข่ถูกกระตุ้นและควบคุมโดยการทำงานของฮอร์โมน ไข่จะตกประมาณวันที่ 12 – 16 ก่อนจะถึงรอบเดือนรอบต่อไป
Luteal phase อย่างน้อย 14 วัน ระยะนี้มีการผลิตโพรเจสเทอโรน เยื่อบุมดลูกหลั่งโปรตีนจำนวนมาก เตรียมรับการฝังตัวของเอ็มบริโอ
วัยหมดประจำเดือน menopause
ความสามารถในการมีบุตรสูงสุดของสตรี จะอยู่ที่อายุ 20 ปี และจะเริ่มลดลงหลังอายุ 30 ปีและเมื่ออายุประมาณ 50 ปีความปกติของรอบเดือนจะมีน้อย ซึ่งอาจจะไม่มีการตกไข่เกิดขึ้นเลย เนื่องจากระดับของฮอร์โมนเอสโทรเจนไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิด LH surge เรียกภาวะนี้ว่า วัยหมดประจำเดือน
อาการของสตรีวัยหมดประจำเดือน
เต้านมฝ่อและเหี่ยว และมีอาการเหี่ยวของรังไข่ ปีกมดลูก มดลูก ช่องคลอด
มีเกลือแร่ของกระดูกลดลง กระดูกผุได้ง่าย อาจมีอาการปวดศีรษะ ขนร่วง
ปวดตามกล้ามเนื้อ ช่องคลอดแห้ง นอนไม่หลับ ซึมเศร้า น้ำหนักเพิ่ม อารมณ์แกว่ง
ระยะของการคลอด (Stage of labour)
ระยะที่ 1 ของการคลอด (First stage of labour)
เป็นระยะที่กินเวลายาวนานที่สุด เมื่อเทียบกับระยะอื่นๆทั้งหมด และเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อทำการประเมินว่าสตรีตั้งครรภ์ราย
ดังกล่าว จะสามารถคลอดทางช่องคลอดได้หรือไม่
ระยะที่ 2 ของการคลอด (Second stage of labour)
เป็นช่วงที่ปากมดลูกเปิดหมดแล้ว (Fully dilatation) และทารกพร้อมที่จะคลอด
ระยะที่ 3 ของการคลอด (Third stage of labour)
เป็นช่วงเวลาของการเกิดรกลอกตัวและการคลอดรก
ระยะที่ 4 ของการคลอด (Fourth stage of labour) ภายหลังจากการคลอดรกแล้ว เป็นช่วงเวลาของการตรวจสอบรกว่าคลอดออกมาครบถ้วนสมบูรณ์ดี ไม่มีส่วนใดตกค้างในโพรงมดลูก และตรวจสอบแผลฝีเย็บรวมถึงการฉีกขาดของช่องทางคลอด และทำการเย็บซ่อมแซม
การหลั่งน้ำนม (lactation)
จะมีเซลล์ที่หลั่งน้ำนม(alveolar) จัดเรียงตัวเป็นกลุ่มคล้ายพวงองุ่นจะหลั่งน้ำนมเข้าสู่ภายในกลีบเล็ก แล้วเปิดเข้าสู่ท่อระหว่างกลีบและท่อน้ำนม
บริเวณใกล้หัวนมจะพองออก (ampulla)
เป็นที่เก็บน้ำนมไว้จะหลั่งออกมาเมื่อมีการกระตุ้น และต่ออยู่กับ lactoferons duct แต่ละท่อจะระบายน้ำนมออกจากต่อมน้ำนมหนึ่งกลีบออกสู่ภายนอก
การคุมกำเนิด
ยาคุมชนิดเม็ด
ยาคุมแบบฝัง
ยาฝังคุมกำเนิดชนิดหลอดไม่สลายตัว
ยาฝังคุมกำเนิดชนิดหลอดสลายตัว
ห่วงอนามัย
ห่วงอนามัยธรรมดา (inert IUDS)
ห่วงอนามัยที่มีสารทองแดง (copper IUDs)
ห่วงอนามัยที่มีฮอร์โมน (hormone releasing IUDS)
การคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน
ถุงยางอนามัย
การทำหมันหญิง
-การทำหมันหญิงหลังคลอด
-การทำหมันหญิงในช่วงเวลาที่ไม่ตั้งครรภ์ (การทำหมันแห้ง)
-การทำหมันโดยกล้อง laparoscope
การทำหมันชาย