Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคเมลิออยด์ (MELIOIDOSIS), นางสาวสุมิตตา ช่อมะลิ เลขที่81…
โรคเมลิออยด์ (MELIOIDOSIS)
Melioidosis โรคเมลิออยด์ หรือเมลิออยโดสิส เป็นโรคติดเชื้อจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ปนเปื้อนได้ในน้ำและดิน แพร่กระจายสู่คนผ่านการสัมผัสเชื้อโดยตรงหรือโดยการติดต่อจากสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น สุนัข แมว หมู ม้า วัว ควาย แกะ แพะ เป็นต้น พบอัตราการป่วยมากที่สุดในช่วงฤดูฝน โดยในประเทศไทยจะพบมากในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ ยังถือว่าเป็นโรคที่มีอัตราการป่วยตายสูง
อาการของโรคเมลิออยด์
การติดเชื้อที่ปอด
เกิดจากการสูดดมเชื้อเข้าไป ซึ่งเป็นรูปแบบการติดเชื้อที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคนี้ โดยการติดเชื้อที่ปอดนั้นอาจจะทำให้เกิดการอักเสบและทำให้มีฝีหนองในปอดตามมาอาการที่ปรากฏให้เห็นมีได้ตั้งแต่หลอดลมอักเสบชนิดไม่รุนแรงไปจนถึงอาการของโรคปอดบวมชนิดรุนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีไข้ ปวดศีรษะ ไอ ไม่อยากอาหาร หายใจหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อโดยทั่วไป รวมถึงอาจไอเป็นเลือด บางครั้งอาการเหล่านี้อาจทำให้สับสนกับวัณโรคหรือโรคปอด ซึ่งมีอาการคล้ายกัน
การติดเชื้อเฉพาะที่เฉียบพลัน
เป็นการติดเชื้อเฉพาะตำแหน่งที่สัมผัสเชื้อโรค หากเป็นที่ผิวหนังจะทำให้ผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อมีอาการเจ็บ บวม มีแผลเปื่อยสีออกขาวเทา และอาจเกิดเป็นหนอง รวมถึงส่งผลให้มีอาการไข้และเจ็บกล้ามเนื้อตามมา แต่หากติดเชื้อที่ต่อมน้ำลาย ต่อมน้ำลายจะอักเสบบวม โต เจ็บ อาจเกิดหนอง หรือหากเชื้อเข้าตาจะส่งผลให้เยื่อตาอักเสบการอักเสบเฉพาะอวัยวะเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงอวัยวะนั้น ๆ ร่วมด้วย จนทำให้ต่อมน้ำเหลืองโต คลำแล้วเจ็บ และอาจเกิดเป็นหนอง ทั้งนี้ การติดเชื้ออาจจำกัดอยู่ที่บริเวณดังกล่าวหรือแพร่ผ่านกระแสเลือดต่อไปก็ได้
การติดเชื้อในกระแสเลือด
ผู้ป่วยด้วยโรคที่มีความเสี่ยงต่อเชื้อเมลิออยด์ เช่น โรคเบาหวาน ภาวะไตวาย หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง หากเชื้อแบคทีเรียเมลิออยด์เข้าสู่กระแสเลือด อาจส่งผลให้มีอาการปวดศีรษะ มีไข้ หายใจลำบาก รู้สึกไม่สบายท้อง ปวดข้อต่อ และมีภาวะสูญเสียการรับรู้ด้านสถานที่ เวลา และบุคคลได้ ปกติการติดเชื้อในลักษณะนี้จะแสดงอาการอย่างรวดเร็ว และอาจพบฝีทั่วร่างกาย โดยเฉพาะในตับ ม้าม หรือต่อมลูกหมาก
เชื้อกระจายทั่วร่างกาย
เชื้อเมลิออยด์สามารถแพร่กระจายจากผิวหนังผ่านเลือดไปสู่อวัยวะอื่น ๆ จนกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังที่อาจส่งผลต่อหัวใจ สมอง ตับ ไต ม้าม ต่อมลูกหมาก ข้อต่อ ต่อมน้ำเหลือง กระดูก และดวงตา ซึ่งการติดเชื้อเหล่านี้อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลันหรือเรื้อรัง สังเกตจากอาการของผู้ป่วยที่อาจมีไข้ น้ำหนักลด ปวดท้อง เจ็บหน้าอก ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ ปวดศีรษะ หรือเกิดอาการชัก ช่วงเวลาในการแสดงอาการหลังจากเผชิญกับแบคทีเรียต้นเหตุของโรคนั้นยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด แต่อาจใช้เวลาตั้งแต่ 1 วัน ไปจนถึงหลายปี โดยทั่วไปอาการมักปรากฏขึ้นใน 2-4 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อ หรือโดยเฉลี่ย 9 วันหลังจากการติดเชื้อ
สาเหตุของโรคเมลิออยด์
การติดเชื้อโรคเมลิออยด์มีสาเหตุจากแบคทีเรีย Burkholderia Pseudomallei ซึ่งพบได้ในน้ำ ดิน หรือตามพืชพันธ์ุต่าง ๆ แบคทีเรียชนิดนี้อาจติดต่อสู่มนุษย์โดยตรงผ่านการสัมผัสหรือแพร่ผ่านสัตว์เลี้ยงทีมีเชื้อนี้อยู่ในร่างกายอย่างแมว สุนัข หมู ม้า วัว ควาย แกะ หรือแพะก็ได้ โดยเฉพาะการสัมผัสกับเชื้อบริเวณผิวหนังที่มีแผลเปิดนั้นเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อสูง ได้รับเชื้อจากการสูดหายใจเอาฝุ่นผงเข้าไป ทั้งการได้รับละอองน้ำเล็ก ๆ หรือการรับประทานน้ำที่มีเชื้อแบคทีเรียนี้เจือปนอยู่ ยิ่งในฤดูฝนจะเป็นช่วงที่เชื้อแพร่กระจายได้ง่ายที่สุด แพร่กระจายระหว่างมนุษย์กับมนุษย์นั้นมีการรายงานว่าพบได้น้อย
ผู้ที่ป่วยด้วยโรคหรือมีภาวะต่อไปนี้จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงกว่าปกติ
วัยกลางคนหรือผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานและภาวะไตวาย ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงมากที่สุด
โรคเบาหวาน,โรคโรคไต โรคตับ,ผู้ที่ติดสุรา,ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกัน
โรคโรคธาลัสซีเมีย โรคมะเร็ง หรือโรคทางภูมิคุ้มกันที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อเอชไอวี
โรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคซิสติก ไฟโบซิส (Cystic Fibrosis) โรคหลอดลมพอง
โรคหัวใจรูมาติก (Rheumatic heart disease) หรือภาวะหัวใจล้มเหลว
โรคที่ทำให้มีภูมิต้านทานต่ำจากการทำงานผิดปกติของเม็ดเลือดขาว
ผู้ที่มีภาวะธาตุเหล็กสะสมในปอด,ผู้ติดเชื้อวัณโรค
การวินิจฉัยโรคเมลิออยด์
แพทย์วินิจฉัยโรคเมลิออยด์ได้จากลักษณะอาการของผู้ป่วย แหล่งที่อยู่อาศัย ประวัติโรคประจำตัว การตรวจร่างกาย การตรวจรอยโรคที่ผิวหนัง การตรวจภาพเอกซเรย์ปอด การตรวจเชื้อและการตรวจเพาะเชื้อจากเลือดและสารคัดหลั่ง เช่น เสมหะ ปัสสาวะ หรือแผลที่ผิวหนังของผู้ป่วย ซึ่งเป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ รวมถึงการตรวจเลือดหาสารก่อภูมิต้านทานการติดเชื้อนี้ (Serologic Test) และการหาสารพันธุกรรมของเชื้อ โดยการตรวจเลือดนั้นเป็นวิธีที่มักใช้วินิจฉัยการติดเชื้อเมลิออยด์ที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน
การรักษาโรคเมลิออยด์
รักษาได้ด้วยการใช้ยาที่เหมาะสมกับตำแหน่งของการติดเชื้อและโรคประจำตัวของผู้ป่วย ซึ่งผลการรักษาระยะยาวจะขึ้นอยู่กับชนิดของการติดเชื้อและการรักษาที่เลือกใช้ โดยทั่วไปมักเริ่มรักษาด้วยการฉีดยาต้านจุลชีพเข้าเส้นเลือดนาน 10-14 วัน ตามด้วยการให้ยาต้านจุลชีพชนิดรับประทานต่อเนื่องนาน 3-6 เดือน สำหรับยาฉีดเข้าเส้นเลือดอาจให้เซฟตาซิดิม (Ceftazidime) ทุก 6-8 ชั่วโมง หรือให้เมอโรเพเนม (Meropenem) ทุก 8 ชั่วโมง ส่วนยาชนิดรับประทานนั้นอาจใช้ไตรเมโทพริม ซัลฟาเมธอกซาโซล (Trimethoprim-Sulfamethoxazole) หรือดอกซีไซคลีน (Doxycycline) โดยรับประทานทุก 12 ชั่วโมง ทั้งนี้การเลือกใช้ยาต้านจุลชีพนั้นขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
ยังต้องประคับประคองรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้เมื่อมีไข้ การให้ยาแก้ปวดเมื่อมีอาการปวด การให้ออกซิเจนช่วยหายใจ การใส่ท่อช่วยหายใจเมื่อมีปัญหาการหายใจ และการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเมื่อกินได้น้อย หรือในบางรายอาจต้องผ่าตัด เช่น การผ่าตัดระบายหนองในข้อ หนองในปอด หรือหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด เป็นต้นtext
โรคเมลิออยด์ที่ไม่ได้รับการรักษาจะมีความรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ และเมื่อรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแล้ว ผู้ป่วยโรคเมลิออยด์ชนิดรุนแรงที่มีภาวะแทรกซ้อนหรือเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดจะมีอัตราความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเมลิออยด์
กระดูกอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการติดเชื้อโรคเมลิออยด์ ได้แก่ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
เกิดฝีในสมอง ม้าม หรือตับ และหากติดเชื้อรุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้
การป้องกันโรคเมลิออยด์
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคเมลิออยด์ การควบคุมป้องกันโรคนี้จึงทำได้ยาก เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อผ่านการสัมผัสดินและน้ำขณะทำงาน รวมถึงผู้ป่วยโรคที่มีความเสี่ยงทั้งหลาย
การลดความเสี่ยงในการเผชิญกับเชื้อโรคดังกล่าว
ผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทางร่างกายบกพร่อง เช่น โรคเอดส์ มะเร็ง หรือต้องรับการรักษาด้วยการทำเคมีบำบัด
ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง หรือผู้ที่มีแผลเปิดบนผิวหนังควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับดินและน้ำที่อาจมีเชื้อแบคทีเรียเจือปน โดยเฉพาะบริเวณที่มีฟาร์มปศุสัตว์
ผู้ที่ทำการเกษตรควรสวมรองเท้าบูทเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการที่เท้าและขาสัมผัสกับดิน
ผู้ที่ทำงานใกล้ชิดผู้ป่วย เช่น แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการ ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันอย่างเหมาะสม ได้แก่ หน้ากากอนามัย ถุงมือ และเสื้อคลุม
นางสาวสุมิตตา ช่อมะลิ เลขที่81 รหัสนักศึกษา62126301084