Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
melioidosis - Coggle Diagram
melioidosis
อาการ/อาการแสดง
-
การติดเชื้อในกระแสเลือด
ผู้ป่วยด้วยโรคที่มีความเสี่ยงต่อเชื้อเมลิออยด์ เช่น โรคเบาหวาน ภาวะไตวาย หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะติดเชื้อลักษณะนี้มากที่สุด มักทำให้เกิดอาการช็อก และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง ทั้งนี้ หากเชื้อแบคทีเรียเมลิออยด์เข้าสู่กระแสเลือด อาจส่งผลให้มีอาการปวดศีรษะ มีไข้ หายใจลำบาก รู้สึกไม่สบายท้อง ปวดข้อต่อ และมีภาวะสูญเสียการรับรู้ด้านสถานที่ เวลา และบุคคลได้ ปกติการติดเชื้อในลักษณะนี้จะแสดงอาการอย่างรวดเร็ว และอาจพบฝีทั่วร่างกาย โดยเฉพาะในตับ ม้าม หรือต่อมลูกหมาก
การติดเชื้อที่ปอด
เกิดจากการสูดดมเชื้อเข้าไป ซึ่งเป็นรูปแบบการติดเชื้อที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคนี้ โดยการติดเชื้อที่ปอดนั้นอาจจะทำให้เกิดการอักเสบและทำให้มีฝีหนองในปอดตามมา อาการที่ปรากฏให้เห็นมีได้ตั้งแต่หลอดลมอักเสบชนิดไม่รุนแรงไปจนถึงอาการของโรคปอดบวมชนิดรุนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีไข้ ปวดศีรษะ ไอ ไม่อยากอาหาร หายใจหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อโดยทั่วไป รวมถึงอาจไอเป็นเลือด บางครั้งอาการเหล่านี้อาจทำให้สับสนกับวัณโรคหรือโรคปอด ซึ่งมีอาการคล้ายกัน
เชื้อกระจายทั่วร่างกาย
เชื้อเมลิออยด์สามารถแพร่กระจายจากผิวหนังผ่านเลือดไปสู่อวัยวะอื่น ๆ จนกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังที่อาจส่งผลต่อหัวใจ สมอง ตับ ไต ม้าม ต่อมลูกหมาก ข้อต่อ ต่อมน้ำเหลือง กระดูก และดวงตา ซึ่งการติดเชื้อเหล่านี้อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลันหรือเรื้อรังก็ได้ สังเกตจากอาการของผู้ป่วยที่อาจมีไข้ น้ำหนักลด ปวดท้อง เจ็บหน้าอก ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ ปวดศีรษะ หรือเกิดอาการชัก
สาเหตุ
การติดเชื้อโรคเมลิออยด์มีสาเหตุจากแบคทีเรีย Burkholderia Pseudomallei ซึ่งพบได้ในน้ำ ดิน หรือตามพืชพันธ์ุต่าง ๆ แบคทีเรียชนิดนี้อาจติดต่อสู่มนุษย์โดยตรงผ่านการสัมผัสหรือแพร่ผ่านสัตว์เลี้ยงทีมีเชื้อนี้อยู่ในร่างกายอย่างแมว สุนัข หมู ม้า วัว ควาย แกะ หรือแพะก็ได้ โดยเฉพาะการสัมผัสกับเชื้อบริเวณผิวหนังที่มีแผลเปิดนั้นเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อสูง :
ระยะการฟักตัวของโรค (incubation period) เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 9 วัน (1-21 วัน) แต่บางครั้งก็อาจนานกว่านั้นได้ ผู้ป่วยสามารถมีอาการของโรคได้หลังออกจาก Endemic area ไปแล้วนานหลายเดือน หรือหลายปี ซึ่งเท่าที่มีการบันทึกไว้ ระยะฟักตัวที่นานที่สุดคือ 62 ปี
นอกจากนี้ ทั้งคนและสัตว์ต่างเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อจากการสูดหายใจเอาฝุ่นผงเข้าไป ทั้งการได้รับละอองน้ำเล็ก ๆ หรือการรับประทานน้ำที่มีเชื้อแบคทีเรียนี้เจือปนอยู่ ยิ่งในฤดูฝนจะเป็นช่วงที่เชื้อแพร่กระจายได้ง่ายที่สุด ส่วนการแพร่กระจายระหว่างมนุษย์กับมนุษย์นั้นมีการรายงานว่าพบได้น้อย
-
ความหมาย
โรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย Burkholderia pseudomellei ที่ปนเปื้อนได้ในน้ำและดิน แพร่กระจายสู่คนผ่านการสัมผัสเชื้อโดยตรงหรือโดยการติดต่อจากสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น สุนัข แมว หมู ม้า วัว ควาย แกะ แพะ เป็นต้น พบอัตราการป่วยมากที่สุดในช่วงฤดูฝน โดยในประเทศไทยจะพบมากในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ ยังถือว่าเป็นโรคที่มีอัตราการป่วยตายสูง
การป้องกัน
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคเมลิออยด์ การควบคุมป้องกันโรคนี้จึงทำได้ยาก เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อผ่านการสัมผัสดินและน้ำขณะทำงาน รวมถึงผู้ป่วยโรคที่มีความเสี่ยงทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม การลดความเสี่ยงในการเผชิญกับเชื้อโรคดังกล่าว ทำได้ดังนี้
-
ผู้ที่ทำงานใกล้ชิดผู้ป่วย เช่น แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการ ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันอย่างเหมาะสม ได้แก่ หน้ากากอนามัย ถุงมือ และเสื้อคลุม
ผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทางร่างกายบกพร่อง เช่น โรคเอดส์ มะเร็ง หรือต้องรับการรักษาด้วยการทำเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง หรือผู้ที่มีแผลเปิดบนผิวหนังควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับดินและน้ำที่อาจมีเชื้อแบคทีเรียเจือปน โดยเฉพาะบริเวณที่มีฟาร์มปศุสัตว์
การรักษา
การรักษาการรักษาโรคเมลิออยโดสิสแบ่งออกเป็นการรักษาแบบประคับประครองตามอาการและภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นและการให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมรวมถึงการเจาะดูดหรือผ่าตัดเพื่อระบายฝีหนองหรือตัดเนื้อเยี่อที่ติดเชื้อและเกิดการตายของเนื้อเยื่อออกไปในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมี sepsis ควรเริ่มให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแบบฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำก่อนเสมอโดยทั่วไปจะให้ยาไปจนกว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นเป็นเวลาอย่างนี้อย 2-3 วันหรืออย่างน้อย 10-14 วันจึงเปลี่ยนเป็นยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานต่อจนครบระยะเวลาการรักษาอย่างน้อย 20 สัปดาห์เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำภาวะ
- Cefoperazone-subactam ขนาดยาที่ใช้ในการรักษาคือ cefoperazone 25 มก. / กก. / วันหรือ 3 กรัม / วันในผู้ใหญ่อัตราส่วนของยา cefoperazone-subactam ที่ใช้คือ 1: 1 โดยให้ร่วมกับยา co-trimoxazole ในขนาด 8 มก. /กก. / วันของยา trimethoprim โดยแบ่งให้ยาทั้ง 2 ชนิดทางหลอดเลือดดำทุก 8 ชั่วโมงจากการศึกษาพบว่าประสิทธิภาพในการรักษาด้วยยา cefoperazone-Sulpactam ร่วมกับยา co-trimoxazole ไม่แตกต่างจากการใช้ยา ceftazidime ร่วมกับยา co-trimoxazole
- Imipenem ขนาดยาที่ใช้ในการรักษาคือ 50 มก. / กก. / วันหรือ 3 กรัม / วันในผู้ใหญ่โดยแบ่งให้ยาทางหลอดเลือดดำทุก 8 ชั่วโมงจากการศึกษาวิจัยพบว่าอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยา imipenem ไม่แตกต่างจากการรักษาด้วยยา ceftazidime แต่พบอัตราการรักษาล้มเหลวมากกว่าในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยา ceftazidime อย่างไรก็ตามเนื่องจากยามีราคาแพงจึงควรพิจารณาใช้ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา ceftazidime หรือมีข้อห้ามในการใช้ยา ceftazidime
- Meropenem ขนาดยาที่ใช้ในการรักษาคือ 75 มก. / กก. / วันหรือ 3 กรัม / วันในผู้ใหญ่โดยแบ่งให้ยาทางหลอดเลือดดำทุก 8 ชม
- Ceftazidime เป็นยามาตรฐานที่ใช้ในการรักษาโรคนี้ขนาดของยาที่ใช้คือ 100-120 มก. / กก. / วันหรือ 6 กรัม / วันในผู้ใหญ่อาจให้ยา co-trimoxazole (Sulfamethoxazole-trimethoprim: 400/80 มก.) ในขนาด 8 มก. 1 กก. / วันของยา trimethoprim ร่วมด้วยโดยแบ่งให้ยาทั้ง 2 ชนิดทางหลอดเลือดดำทุกชั่วโมง
- Amoxicillin-clavulanic acid (co-amoxiclav) ควรพิจารณาใช้เป็นยาทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยเนื่องจากต้องใช้ยาในขนาดที่สูงกว่าขนาดยาที่ใช้ตามปกติและต้องบริหารยาบ่อยนอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยร้อยละ 23 ที่ได้รับการรักษาด้วยยา Co-amoxiclay จำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้ยา ceftazidime ในการรักษาแทนเนื่องจากการตอบสนองต่อยา co-amoxiclay ไม่ดีหลังจากให้การรักษาไปแล้วนานกว่า 72 ชั่วโมงและยังพบการดื้อยาเกิดขึ้นระหว่างการรักษาในช่วง 8-10 วันแรกของการรักษาถึงร้อยละ 7 ขนาดยาที่ใช้ในการรักษาคือ 160 มก. /กก. / วันในผู้ใหญ่ให้ยาในขนาด 2.4 กรัมฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำในครั้งแรกและตามด้วยขนาด 1.2 กรัมฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำทุก 4 ชั่วโมงอัตราตายในโรงพยาบาลของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยา co-amoxiclay ไม่แตกต่างจากผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยา ceftazidime