Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ระบบสืบพันธุ์ Reproductive System - Coggle Diagram
ระบบสืบพันธุ์
Reproductive System
อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกเพศหญิงประกอบด้วย
หัวเหน่า (Mons pubis)
เป็นส่วนที่ใหญ่กว่าส่วนอื่นๆ ตั้งอยู่หน้ากระดูกหัวเหน่าได้บริเวณท้องน้อย
Labia majora
แคมใหญ่ ปกคลุมด้วยด้วยผิวหนังมีขน เป็นส่วนของผิวหนังที่มีก้อนไขมัน มีลักษณะนูนแยกเป็น 2 กลีบ
Labia minora
แคมเล็ก เป็นกลีบเล็กๆ ที่อ่อนนุ่ม ไม่มีขนปกคลุม อยู่ด้านในของแคมใหญ่
มีหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อจากภายนอกเข้าสู่ช่องคลอด
Clitoris
1 more item...
อวัยวะสืบพันธุ์ภายในเพศหญิงประกอบด้วย
Vagina(ช่องคลอด)
เป็นช่องอวัยวะภายในที่ตั้งอยู่ระหว่างช่องปัสสาวะกับช่องทวารหนัก เป็นช่องสำหรับผ่านของตัวอสุจิเพื่อเข้าไปปฏิสนธิกับไข่
Cervix(ปากมดลูก)
ปากมดลูกเป็นส่วนที่อยู่ปลายสุดของมดลูกตอนที่ต่อกับช่องคลอด ระยะทางจากปากมดลูกจนถึงปลายสุดของช่องคลอดที่เปิดออกสู่ภายนอกร่างกาย
มดลูก (Uterus)
มีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ระหว่างกระเพาะปัสสาวะซึ่งอยู่ด้านหน้า และทวารหนักซึ่งอยู่ด้านหลัง มีความแข็งแรง มีเส้นเลือดมาเลี้ยงจำนวนมาก และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดทุกรอบเดือน
Uterine tube เป็นทางเชื่อมต่อระหว่างรังไข่ทั้งสองข้างกับ มดลูก
Ovary (รังไข่) ต่อมบ่งเพศหญิง
เป็นอวัยวะขนาดเล็ก มีรูปร่างรีแบน มี 2 ข้าง อยู่บริเวณ ปีกมดลูกซ้าย-ขวา ทั้งสองข้าง เชื่อมติดกับมดลูกด้วยปีกมดลูก
1 more item...
รอบเดือน (menstrual cycle)
หญิงวัยเจริญพันธุ์ การตกไข่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แน่นอน การร่วมเพศอาจเกิดขึ้นในวลาใด ๆ ก็ได้ของรอบเดือน แต่การปฏิสนธิจะเกิดขึ้นได้เฉพาะหลังการตกไข่เท่านั้น
รอบเดือนครั้งแรกเกิดขึ้นในวัยรุ่น อายุประมาณ 13 ปี เลือดที่ออกมาครั้งแรกเรียก menache
รอบเดือนแบ่งออกเป็น 4 ระยะ
Menstrual phase เป็นระยะที่มีเลือดระดูออก (วันที่ 0 ถึง 5)
Follicular phase (วันที่ 6 ถึง 13) เป็นระยะพัฒนาถุงไข่
Ovulatory phase อย่างน้อย 24-48 ชม.
Luteal phase อย่างน้อย 14 วัน ระยะนี้มีการผลิตโพรเจสเทอโรน เยื่อบุมดลูกหลั่งโปรตีนจำนวนมาก
วัยหมดประจำเดือน menopause
ก่อนถึงวัยหมดประจำเดือนระยะแรกประจำเดือนจะไม่สม่ำเสมอ แล้วจึงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ถือเป็นจุดสำคัญของชีวิต (climacteric)
ซึ่งจะไม่สามารถสืบพันธุ์ได้อีก
อาการของสตรีวัยหมดประจำเดือน
เต้านมฝ่อและเหี่ยว และมีอาการเหี่ยวของรังไข่ ปีกมดลูก มดลูก ช่องคลอด อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก มีเกลือแร่ของกระดูกลดลง กระดูกผุได้ง่าย อาจมีอาการปวดศีรษะ ขนร่วง ปวดตามกล้ามเนื้อ ช่องคลอดแห้ง นอนไม่หลับ ซึมเศร้า น้ำหนักเพิ่ม อารมณ์แกว่ง
การเปลี่ยนแปลงที่มดลูก
มี 3 ระยะคือ
proliferative phase
secretory phase
menstrual phase
อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกประกอบด้วย
Scrotum (ถุงอัณฑะ) เป็นส่วนของผิวหนังที่ไม่มีไขมันใต้ผิวหนัง ยื่นลงมาจากหน้าท้อง
อวัยวะสืบพันธุ์เพศชายภายใน
Testis (ลูกอัณฑะ) เป็นอวัยวะสำคัญที่สุดในระบบสืบพันธุ์เพศชาย ทำหน้าที่สร้างอสุจิ และฮอร์โมนเพศชาย
Epididymis(หลอดเก็บอสุจิ)มีลักษณะเป็นหลอดหรือท่อเล็กๆที่ขดไปมาอยู่ในลูกอัณฑะ
Vas deferens(ท่อนำอสุจิ)มี 2 ท่อเป็นหลอดอยู่ถัดจากหลอดอสุจิ ท่อนำอสุจินี้จะผ่านเข้าสู่ช่องท้องแล้วออกมารวมกับถุงเก็บน้ำอสุจิ
Seminal vesicle(ถุงเก็บน้ำอสุจิ) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่เก็บตัวอสุจิและสร้างน้ำกาม
Prostate glands(ต่อมลูกหมาก)หน้าที่สำคัญคือขับน้ำซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆ
Cowper’s glands (ต่อมคาวเปอร์) อยู่ใต้ต่อมลูกหมากลงไปเป็นกระเปาะเล็กๆ ทำหน้าที่หลั่งสารไปหล่อลื่นท่อปัสสาวะในขณะที่เกิดการกระตุ้นทางเพศ
Penis(อัณทะ) เป็นอวัยวะสำหรับร่วมเพศ มีลักษณะรูปร่างทรงกระบอก เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่นำพาตัวอสุจิผ่านเข้าปากมดลูก
เพศหญิงขณะร่วมเพศ
การปฏิสนธิ(Fertilization)
การปฏิสนธิมี 2 แบบ คือ
การปฏิสนธิภายนอก(External Fertilization) เช่น การผสมเทียมเด็กหลอดแก้ว
การปฏิสนธิภายใน(Internal Fertilization) เช่น การฝังตัวอ่อนที่ผนังมดลูก
การตั้งครรภ์
คือ ช่วงระยะเวลาเริ่มหลังจากการปฏิสนธิ โดยที่ตัวอสุจิ (sperm) ผสม (conceive) กับ ไข่ (egg)ในสภาวะและเวลาที่เหมาะสม จนถึงการคลอด โดยในมนุษย์ใช้เวลาในการตั้งครรภ์ 36 สัปดาห์ หรือ 9 เดือน
รก (placenta)
คือ โครงสร้างที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนสารอาหาร และออกซิเจนจากมารดาเข้าสู่ทารก และแลกเปลี่ยนของเสียจากทารกออกมาสู่มารดา
รวมถึงทำหน้าเป็นต่อมไร้ที่ในการผลิตฮอร์โมนที่ใช้ทำงานร่วมกับฮอร์โมนเพศชนิดอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์
ความผิดปกติของการตั้งครรภ์
1.) การตั้งครรภ์นอกมดลูก(ectopic pregnancy)
พบบ่อยคือการตั้งครรภ์ในปีกมดลูกเนื่องจากบลาสโทซิสไม่สามารถเดินทางไปถึงโพรงมดลูกตามเวลาจึงฝังตัวที่ปีกมดลูก เมื่อตัวอ่อนโตขึ้น ปีกมดลูกขยายตัวไม่ได้จึงแตก ทำให้เกิดการตกเลือดภายใน คุกครามชีวิตมารดาจนตายได้
2.)การแท้งบุตร(miscarriage)
เป็นผลจากการตายของทารก 24 สัปดาห์ ของการตั้งครรภ์ สาเหตุที่แท้จริงของการแท้งยังไม่ทราบ แต่พบบ่อยคือ รกเกาะต่ำ (placenta previa) พบว่าบางครั้งบลาสโทซิสไปฝังตัวที่ ผนังมดลูกใกล้ปากมดลูก
3.)การตั้งครรภ์ทำให้ความดันโลหิตสูง (pregnancy induced hypertension, PIH)
ความดันโลหิตสูงอย่างแยบพลัน มีโปรตีนในปัสสาวะและบวมหลังการตั้งครรภ์ 24 สัปดาห์
การคลอด
ระยะของการคลอด (Stage of labour)
ขบวนการคลอดทั้งหมดสามารถแบ่งได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 ของการคลอด (First stage of labour)
เป็นระยะที่กินเวลายาวนานที่สุด เมื่อเทียบกับระยะอื่นๆทั้งหมด
และเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อทำการประเมินว่าสตรีตั้งครรภ์รายดังกล่าวจะสามารถคลอดทางช่องคลอดได้หรือไม่ มีการคลอดติดขัดเกิดขึ้นที่ต้องการการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องหรือไม่ เป็นต้น
ระยะที่ 2 ของการคลอด (Second stage of labour)
เป็นช่วงที่ปากมดลูกเปิดหมดแล้ว (Fully dilatation) และทารกพร้อมที่จะคลอด
ระยะที่ 3 ของการคลอด (Third stage of labour)
เป็นช่วงเวลาของการเกิดรกลอกตัวและการคลอดรก ซึ่งในทางปฏิบัตินั้น แม้ว่าระยะนี้ผู้ทำคลอดต้องใช้เวลาในการดูแลทารกแรกเกิดเบื้องต้นร่วมไปด้วย
ระยะที่ 4 ของการคลอด (Fourth stage of labour)
เป็นช่วงเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ภายหลังจากการคลอดรกแล้ว ในทางปฏิบัติจะเป็นช่วงเวลาของการตรวจสอบรกว่าคลอดออกมาครบถ้วนสมบูรณ์ดี ไม่มีส่วนใดตกค้างในโพรงมดลูก
การหลั่งน้ำนม(lactation)
เต้านมมีอยู่สองข้างตั้งอยู่บนกล้ามเนื้อ pectoralis muscle มีเนื้อที่ตั้งแต่ซี่โครงที่สองและจากข้างๆ ของกระดูกอก กระดูกรักแร้
เต้านมเป็นต่อมรวมกันอยู่เป็นกลุ่มจำนวน15-20 กลีบ แต่ละกลีบจะมีเซลล์ที่หลั่งน้ำนม(alveolar) จัดเรียงตัวเป็นกลุ่มคล้ายพวงองุ่นจะหลั่งน้ำนมเข้าสู่ภายในกลีบเล็ก แล้วเปิดเข้าสู่ท่อระหว่างกลีบและท่อน้ำนมตามลำดับ
บริเวณใกล้หัวนมจะพองออก (ampulla)เป็นที่เก็บน้ำนมไว้จะหลั่งออกมา
เมื่อมีการกระตุ้น
และต่ออยู่กับ lactoferons duct แต่ละท่อจะระบายน้ำนมออกจากต่อมน้ำนมหนึ่งกลีบออกสู่ภายนอก ต่อมน้ำนมมีเลือดมาเลี้ยงเป็นแขนงของ subclavian และ intercostals arteries
มีเส้นประสาท thoracic nerve ของระบบประสาทอัตโนมัติ แขนงที่4,5 และ
วิธีการคุมกำเนิด
แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ
การคุมกำเนิดแบบถาวรคือ การทำหมันชาย และการทำหมันหญิงการทำหมัน
การคุมกำเนิดชั่วคราวได้แก่ การรับประทานยาคุมกำเนิด ฉีดยาคุมกำเนิด ใส่ห่วงทองแดงคุมกำเนิด ฝังยาคุมกำเนิด แปะแผ่นยาคุมกำเนิด ถุงยางอนามัย การนับวัน การหลั่งภายนอก
ยารับประทานคุมกำเนิดจะมีอยู่ 3 ชนิด
ยารับประทานคุมกำเนิดหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือยารับประทานคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน
ยารับประทานคุมกำเนิด ชนิดแบบที่มีฮอร์โมนเดี่ยว
ยารับประทานคุมกำเนิด ชนิดแบบที่มีฮอร์โมนรวม ซึ่งเป็นแบบที่ใช้กันมากที่สุด
การฉีดยาคุมกำเนิด
สามารถฉีดได้ตั้งแต่ระยะหลังคลอดใหม่ ๆ ไม่มีผลต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันและปริมาณน้ำนม แพทย์จะนัดฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อทุก 3 เดือน ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดดี เหมาะสำหรับการคุมกำเนิดระยะยาว ไม่ต้องรับประทานยาทุกวัน
การใส่ห่วงทองแดงคุมกำเนิด
กลไกการคุมกำเนิดคือห่วงจะไปขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อนในโพรงมดลูก แพทย์จะใส่ห่วงคุมกำเนิดเข้าไปในโพรงมดลูก แล้วเหลือสายห่วงออกมาจากปากมดลูกยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ดังนั้นจะต้องตรวจสายห่วงเป็นระยะ อายุการใช้งานของห่วงคุมกำเนิด คือ 3-5 ปีแล้วแต่ชนิดของห่วงคุมกำเนิด
การตรวจเพื่อวินิจฉัยก่อนคลอด (Prenatal diagnostic test)
การทดสอบก่อนคลอดหลายอย่างที่จะใช้ค้นหาความผิดปกติของทารก เช่น การทำอัลทราซาวด์ การเจาะน้ำคร่ำ และการตรวจเยื่อคอเรียน
การเจาะน้ำคร่ำ (amniocentesis)
คือการใช้เข็มเจาะผ่านหนังหน้าท้องเอาน้ำคร่ำจำนวน 5 มล. และนำเอาเซลล์ไฟโบรบลาสท์ที่พบไป เพาะเลี้ยงประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วนำไปตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซม
จำนวนและรูปร่างความผิดปกติทางโครโมโซมกว่า 20 ชนิด สามารถตรวจพบได้เช่น กลุ่มอาการดาวน์ โรคฮีโมฟีเลีย sickle cell disease โรคกล้ามเนื้อฝ่อ ลีบ
การอยู่รอดของทารก และตรวจระดับสารบางอย่างซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคเช่น alphafeto protein (AFB) จะตรวจสอบช่วงหลัง 14 สัปดาห์ ของการตั้งครรภ์
การเจาะน้ำคร่ำมีความเสี่ยงที่จะแท้งร้อยละ 0.5
อัลทราซาวด์ (Ultrasound)
คือ การที่คลื่นเสียงสะท้อนจากทารกถูกเปลี่ยนให้เป็นภาพ เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด วัตถุประสงค์เพื่อกำหนดอายุที่แท้จริง ยืนยันการตั้งครรภ์
ความเหมาะสมที่จะเจริญเติบโตต่อไป กำหนดท่าของทารกระบุความผิดปกติของมารดาทารก ครรภ์แฝด และเป็นการตรวจนำร่องการตรวจพิเศษอื่น ๆ
การเตรียมตรวจ ให้ผู้ถูกตรวจดื่มน้ำก่อนส่งห้ามปัสสาวะทิ้ง โดยแพทย์จะวางเครื่องแปลงอัลทราซาวด์ลงบนหน้าท้องจะปรากฏภาพบนจอจะตรวจในสัปดาห์ที่ 14-18 ของการตั้งครรภ์
การตรวจเนื้อเยื่อคอเรียน
(ChorionicViti sampling, CVS)
เป็นการตรวจลักษณะโครโมโซมทั้งจำนวนและรูปร่างของโครโมโซมของเยื่อคอเรีย
มีความคล้ายคลึงทางพันธุกรรมกับเซลล์ทารกเนื่องจากมาจากไข่ที่ถูกปฏิสนธิใบเดียวกัน จะตรวจในสัปดาห์ที่ 8 ของการตั้งครรภ์
ตรวจอัลทราซาวด์นำก่อน แล้วสอดสายยางเข้าทางช่องคลอดสู่มดลูกค่อยๆรุกไปข้างหน้าจนถึง chorionic villi แล้วดูดเอาเนื้อเยื่อออกมา 30 กรัม และเตรียมการวิเคราะห์โครโมโซมต่อไป
ทางเลือกอื่นคือใช้เข็มเจาะเข้าทางหน้าท้องเช่นเดียวกับการเจาะน้ำคร่ำก็ได้ ผลการตรวจจะรู้ผลได้ในเวลา 2-3 วัน จึงมีประโยชน์มากกว่าการเจาะน้ำคร่ำ