Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
เด็กชายปกป้องอายุ3ปี ป่วยด้วยโรค Bronchitis และสงสัยPneumonia - Coggle…
เด็กชายปกป้องอายุ3ปี
ป่วยด้วยโรค Bronchitis และสงสัยPneumonia
กลไกการเกิดโรค
Bronchitis
เริ่มมีการติดเชื้อชองระบบทางเดินหายใจส่วนบนนำมาก่อน ได้แก่เยื่อบุจมูกอักเสบ คออักเสบและมีการแพร่กระจายของเชื้อทำให้เกิดการอักเสบร่วมกับมีการทำลายเยื่อบุทางเดินหายใจให้เกิดภาวะบวมมีเสมหะ ทำให้ทางเดินหายใจส่วนล่างเกิดภาวะอุดกั้น
Pneumonia
กลไกการเกิด ปอดบวมมีกลไกการเกิดได้ 4 ทาง คือ
สำลักเชื้อจากบริเวณช่องปากและคอ
จากเชื้อที่หายใจเข้าไป
เชื่อผ่านกระแสเลือดกระจายเข้าสู่ปอด
เชื้อแพร่กระจายจากอวัยวะข้างเคี้ยง
ประวัติครอบครัวปู่เป็นโรคหอบหืด
โรคหอบหืดเกิดได้จาก 2 ปัจจัยหลัก
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม ผู้ป่วยโรคหอบหืดอาจมีอาการกำเริบเมื่อถูกกระตุ้น
จากปัจจัยต่างๆที่กระตุ้น
ให้เกิดอาการทางระบบทางเดินหายใจ
ปัจจัยทางพันธุกรรม โรคหอบหืดเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ผู้ที่มีบิดา มารดา หรือญาติเป็น จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป
การป้องกันและควบคุมอาการของโรคหอบหืด
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยหอบหืด
•ตรวจสอบการหายใจ ผู้ป่วยควรสังเกตอาการ หรือสัญญาณเบื้องต้นก่อนที่อาการหอบจะกำเริบ เช่น การไอ หายใจมีเสียง หายใจสั้น
• รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันปอดบวม เพื่อป้องกันการเกิดโรคเหล่านี้ที่เป็นตัวกระตุ้นอาการของโรคหอบหืด
• หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นโรค หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ที่ได้กล่าวในข้างต้น เพื่อไม่ให้เกิดอาการ หรืออาการกำเริบ
• พบแพทย์และรับการตรวจอย่างสม่ำเสมอ อยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน
• ผู้ป่วยควรได้รับความรู้เบื้องต้น เช่น การใช้ยาให้ถูกต้องและสม่ำเสมอการใช้อุปกรณ์พ่นยา การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี
• รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างพอเหมาะ
โรคหอบหืด (Asthma)
เกิดจากการหดตัวหรือตีบตันของระบบทางเดินหายใจ เยื่อบุผนังหลอดลมอักเสบทำให้ไวต่อสิ่งกระตุ้น สิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย เกิดการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณหลอดลม ทำให้หายใจลำบากหายใจมีเสียงวี้ด อากาศเข้าสู่ปอดน้อยลง หายใจไม่อิ่ม มีอาการไอ เจ็บหน้าอก
ยาที่ใช้รักษาจากกรณีศึกษา
ได้รับยาพ่น Ventorin 0.5 ml
ข้อบ่งชี้
ของการใช้ยาซาลบูทามอล ข้อบ่งใช้สำหรับอาการหดของหลอดลมในผู้ป่วยโรคหืด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง หายใจลำบากเฉียบพลัน หืดเฉียบพลันชนิดรุนแรง
ผลข้างเคียงของยา
อาจทำให้มีอาการมือสั่น ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ชีพจรผิดปกติ รู้สึกกระวนกระวาย ปวดศีรษะเล็กน้อย เวียนศีรษะ เป็นตะคริว ผื่นคัน ลมพิษ (แพ้ยา) และความดันโลหิตต่ำ
กลไกการออกฤทธิ์
ตัวยาจะไปกระตุ้นตัวรับในระดับเซลล์ของผนังหลอดลมที่เรียกว่า เบต้า-2 รีเซปเตอร์ ทำให้หลอดลมคลายตัว และเมื่อยานี้เข้าสู่กระแสเลือดแล้ว ตัวยาจะถูกส่งไปเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีที่ตับ ร่างกายจะต้องใช้เวลาประมาณ 1-6 ชั่วโมง ในการกำจัดยาออกจากกระแสเลือดครึ่งหนึ่งโดยผ่านไปกับปัสสาวะ
ยาฉีด Cefotaxime 357mg IV q6 hr
คำเตือนในการใช้ยา Cefotaxime
-ผู้ที่แพ้ส่วนผสมที่อยู่ในยา Cefotaximeหรือยาในกลุ่มเชฟาโลสปอริน อื่น ๆ
-ผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ หรือผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร เพื่อไม่ส่งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกได้
-ผู้ที่เคยมีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง เช่น หายใจลำบาก วิงเวียนศีรษะ หรือผื่นคัน
-ผู้ที่มีปัญหาของกระเพาะอาหาร ลำไส้ ตับ ไต หรือผู้ที่ขาดสารอาหาร ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลือด
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Cefotaxime
การฉีดยา Cefotaxime เข้าทางหลอดเลือดดำ หากเกิดการรั่วหรือซึมอาจสร้างความเสียหายต่อเนื้อเยื่อในบริเวณรอบข้าง ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบหากเกิดอาการแดง แสบร้อน ปวด บวม เป็นแผลหรือสังเกตว่ายาเกิดการรั่วหรือซึมออก จากบริเวณที่ฉีดยา หรือมีอาการท้องเสีย
กลไกลการออกฤทธิ์ จัดเป็นยาปฏิชีวนะ
ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของแบคทีเรีย โดยจับกับ penicillin-binding protein (PBP) แล้วยับยั้ง transpeptidase
ใน PBP ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้ในการ cross-link สาย peptidoglycan เพื่อสร้างผนัง
-กระตุ้นเอนไซม์ autolysin ทำให้แบคทีเรียย่อยสลายตัวเองมากขึ้น
-ยามีฤทธิ์ bactericidal แต่อาจมีฤทธิ์bacteriostatic ขึ้นกับชนิดของแบคที่เรียและขนาดของยาที่ใช้
อาการของโรค
Bronchitis
ไข้ ไอ มีเสมหะ อาการไอจะเป็นอาการที่สำคัญ และถ้าเสมหะมีสีเหลืองขุนซึงเกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุทางเดินหายใจและเซลล์เม็ดเลือดขาว มีการหลั่ง เพอร์ออกวิเดสเอนไซม์ ทำให้เสมหะเป็นสีเหลืองขุน
Pneumonia
อาการที่สำคัญได้แก่ ไข้ ไอ และอาจมีอาการหอบในเด็กหรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอื่น อาจมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หายใจอกบุ๋ม จมูกบาน ริมฝีปากเขียวในรายที่เป็นมาก
ระยะเวลาการเกิดโรค
Bronchitis
ระยะที่ 1 (prodromal phase) ระยะเวลา 2-3 วัน เป็นช่วงที่มีอาการ ไข้ น้ำมูก ดัดจมูก ไอ
ระยะที่ 2 (tracheobronchial phase) ระยะเวลา 4-6 วัน เป็นช่วงที่มีอาการทางหลอดคอและหลอดลม เริ่มด้วยไอแห้ง ต่อมาไอมีเสมหะ อาจมีไข้ได้
ระยะที่ 3 (recovery phase) ระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ อาการไอและมีเสมหะจะค่อยๆ ลดลงและหายไป ในระยะนี้อาจมีภาวะติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้
Pneumonia
ระยะเวลาการเกิดโรคประมาณ 8 วัน มีอาการไอน้อยกว่า 3 สัปดาห์ ไอมีเสมหะ
เด็กอายุ3ปี
โรคทางเดินหายใจในเด็กที่พบบ่อย
1) โรคหวัด (Common cold) เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันที่พบได้บ่อยที่สุด สาเหตุมักเกิดจากเชื้อไวรัส ได้แก่ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม ไข้ต่ำ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตัว
2) โรคคออักเสบ(Pharyngitis)
3) โรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis) ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย มักจะมีอาการเหมือนเป็นหวัดแต่นานกว่าปกติ
4) โรคกล่องเสียงอักเสบ(viral croup) มักพบในเด็กอายุ 6 เดือน-3 ขวบ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยจะมีอาการเป็นหวัดมาก่อน 1-2 วัน ต่อมามีอาการ ไอเสียงก้อง เสียงแหบ หายใจเสียงดัง
5) โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) โดยทั่วไปโรคนี้มักเริ่มด้วยอาการของโรคหวัดนำมาก่อน เช่น มีไข้ น้ำมูกใส ต่อมามีอาการไอ เริ่มต้นมักจะไอแห้งๆ แล้วตามมาด้วยไอแบบมีเสมหะปริมาณมาก
6) โรคปอดอักเสบ(Pneumonia) หรือ ปอดบวม พบได้ในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ อาการที่พบจะประกอบด้วย มีไข้ ไอ หายใจหอบ หรือมีลักษณะหายใจลำบาก ในเด็กเล็กมักจะงอแงมากกว่าปกติ ไม่ยอมกินอาหารและน้ำ
7) ไวรัส RSV คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Respiratory Syncytial Virus เป็นเชื้อไวรัสเด่นของอาการคือ ร่างกายจะผลิตเสมหะออกมาจำนวนมาก
ทางเดินหายใจในเด็กกับผู้ใหญ่แตกต่างกันอย่างไร
1.ท่อทางเดินหายใจมีขนาดเล็กและสั้น เมื่อมีการติดเชื้อทางเดินหายใจทำให้เมื่อมีการบวมของเยื่อบุหลอดลมและมีเสมหะคั่งค้าง และเกิดการขาดออกซิเจนได้
2.ถุงลมมีจำนวนน้อย ทำให้พื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซมีน้อย
3.ผนังทรวงอกมีขนาดเล็ก เมื่อเด็กมีปัญหาการหายใจ ต้องใช้แรงในการหายใจเพิ่มขึ้น ทำ ให้ทรวงอกเกิดการดึงรั้ง (Retraction) ได้ง่าย
4.มีความต้องการออกซิเจนมากกว่าผู้ใหญ่ประมาณ 2 เท่า เนื่องจากมีอัตราการเผาผลาญมากกว่า
5.การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคและกลไกการป้องกันโรคยังไม่เจริญเต็มที่ ทำ ให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินหายใจได้ง่าย