ระบบสืบพันธุ์Reproductive System
พัฒนาการแยกเพศ
มนุษย์ มีจำนวนโครโมโซม46แท่ง จัดเป็นคู่จะได้23คู่ซึ่งจะมี22คู่ที่เหมือนกันในเพศชายและเพศหญิงเราจะเรียกคู่โครโมโซมเหล่านี้ว่า โครโมโซมร่างกาย
โครโมโซมที่เหลือ1คู่จากทั้งหมด23คู่จะเป็นโครโมโซมที่ทำหน้าที่ กำหนดเพศเรียกว่าโครโมโซมเพศ(Sex chromosome)
การจับคู่กันของโครโมโซม 2 ตัวที่มีลักษณะต่างกันคือ โครโมโซม X เป็น ตัวกำหนดเพศหญิงและโครโมโซมYเป็นตัวกำหนดเพศชาย
อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน
click to edit
Labia minora
Clitoris
Labia majora
Urethral opening
Mons pubis
หัวเหน่า เป็นส่วนที่ใหญ่กว่าส่วนอื่นๆ ตั้งอยู่หน้ากระดูกหัวเหน่าได้บริเวณท้องน้อยส่วนนอกเป็นผิวหนังภายในเป็นไขมันมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยมีฐานอยู่บนและยอดอยู่ข้างล่าง ในเด็กหญิงเมื่อเข้าสู่วัยสาว จะมีขนขึ้นบริเวณนี้
แคมใหญ่ ปกคลุมด้วยด้วยผิวหนังมีขน เป็นส่วนของผิวหนังที่มีก้อนไขมัน มีลักษณะนูนแยกเป็น 2 กลีบลงไปบรรจบกันทางด้านหลังที่บริเวณผีเย็บ ปิดช่องคลอดและอวัยวะภายใน
แคมเล็ก เป็นกลีบเล็กๆ ที่อ่อนนุ่ม ไม่มีขนปกคลุม อยู่ด้านในของแคมใหญ่
มีหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อจากภายนอกเข้าสู่ช่องคลอด
คลิตอริส เป็นอวัยวะที่เทียบกับอวัยวะเพศชาย คือ องคชาต ตั้งอยู่เหนือรูเปิดท่อปัสสาวะ มีลักษณะเป็นตุ่มเนื้อขนาดเล็ก มีปลายประสาทมาสิ้นสุดมากจึงรับความรู้สึกต่างๆ ได้เร็ว ความไวต่อการสัมผัส และทำให้เกิดความรู้สึกทางเพศ
click to edit
click to edit
Uterine tube (ท่อนำไข่) เป็นทางเชื่อมต่อระหว่างรังไข่ทั้งสองข้างกับ มดลูก ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของไข่ที่ออกจากรังไข่เข้าสู่มดลูก ท่อนำไข่เป็น บริเวณที่อสุจิจะเข้าปฏิสนธิกับไข่
click to edit
รังไข่ ovary
click to edit
Vagina(ช่องคลอด)
เป็นช่องอวัยวะภายในที่ตั้งอยู่ระหว่างช่องปัสสาวะกับช่องทวารหนัก เป็นช่องสำหรับผ่านของตัวอสุจิเพื่อเข้าไปปฏิสนธิกับไข่บริเวณปีกมดลูกหรือท่อนำไข่ รวมถึงเป็นทางออกของทารกในขณะคลอด
Cervix(ปากมดลูก)
ปากมดลูกเป็นส่วนที่อยู่ปลายสุดของมดลูกตอนที่ต่อกับช่องคลอด ระยะทางจากปากมดลูกจนถึงปลายสุดของช่องคลอดที่เปิดออกสู่ภายนอกร่างกายยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร ทั้งปากมดลูกและช่องคลอดทำหน้าที่เป็นทางผ่านของน้ำอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก เป็นทางผ่านของเลือดประจำเดือนและเป็นทางที่ทารกคลอดออกมา
มดลูก (Uterus)
มีขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ระหว่างกระเพาะปัสสาวะซึ่งอยู่ด้านหน้า และทวารหนักซึ่งอยู่ด้านหลัง มีความแข็งแรง มีเส้นเลือดมาเลี้ยงจำนวนมาก และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดทุกรอบเดือนจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศเอสโตรเจน และโปรเจสเตอร์โรน
click to edit
ต่อมบ่งเพศหญิง
เป็นอวัยวะขนาดเล็ก มีรูปร่างรีแบน มี 2 ข้าง อยู่บริเวณ ปีกมดลูกซ้าย-ขวา ทั้งสองข้าง เชื่อมติดกับมดลูกด้วยปีกมดลูกหรือ
ท่อนำไข่ หน้าที่ใน การสร้างเซลล์สืบพันธุ์และฮอร์โมนเพศ รังไข่มีรูปร่างคล้ายเมล็ดมะม่วงอยู่บริเวณปีก มดลูกทั้งสองข้างมีหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศและเซลล์สืบพันธ์
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง
click to edit
1.ฮอร์โมนเพศหญิง
2.ฮอร์โมนเพศชำย
click to edit
click to edit
-ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)
-โพรเจสเทอโรน (Progesterone)
-ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen)
เทสทอสเทอรอล(Testosterone)
อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน
Penis(อัณทะ) เป็นอวัยวะสำหรับร่วมเพศ มีลักษณะรูปร่างทรงกระบอก เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่นำพาตัวอสุจิผ่านเข้าปากมดลูกเพศหญิงขณะร่วมเพศ
Scrotum (ถุงอัณฑะ) เป็นส่วนของผิวหนังที่ไม่มีไขมันใต้ผิวหนัง ยื่นลงมาจากหน้าท้องมีกล้ามเนื้อเรียบปรากฏอยู่ (Dartus muscle) เป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยปรับอุณหภูมิของอัณฑะ ให้ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย ประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส
Testis (ลูกอัณฑะ) เป็นอวัยวะสำคัญที่สุดในระบบสืบพันธุ์เพศชาย ทำหน้าที่สร้างอสุจิ และฮอร์โมนเพศชาย อัณฑะมีลักษณะรูปไข่อยู่ในถุงอัณฑะ ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศชาย คือ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) โดยมีท่อนำอสุจิออกสู่ภายนอก คือ อีพิดิไดมิส (Epididymis)
Epididymis(หลอดเก็บอสุจิ) มีลักษณะเป็นหลอดหรือท่อเล็กๆที่ขดไปมาอยู่ในลูกอัณฑะมีอยู่ประมาณ 300 ท่อถ้านำท่อเหล่านี้มายืดออกจะได้ความยาวประมาณ 20 ฟุตมีหน้าที่สำคัญคือเป็นที่พักชั่วคราวของเชื้ออสุจิที่เจริญเต็มที่ซึ่งผลิตจากอัณฑะก่อนที่จะส่งผ่านไปยังท่อนำอสุจิ (Vas deferens)
การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพสชาย
2) primary spermatocyte แต่ละเซลล์ใช้เวลาหลายสัปดาห์แบ่งตัวแบบ meiosis
3) spermiogenesis เป็นช่วงที่ spermatid เจริญขึ้นมาก
ไซโทพลาซึมน้อยลง นิวเคลียสเล็กลง
1)เซลล์ spermatogonium 1 เซลล์แบ่งตัวแบบ mitosis
Maturation ของเชื้ออสุจิ
click to edit
- ส่วนกลาง (Middle) : มีลักษณะเป็นแท่ง มีไมโทคอนเดรียผลิตพลังงานไว้ส าหรับการเคลื่อนที่ของอสุจิ
- ส่วนหาง (Tail) : มีไมโครทูบูล ท าหน้าที่ โบกพัดได้เพื่อว่ายไปหาเซลล์ไข่
- ส่วนหัว (Head) : บรรจุสารพันธุกรรม มีนิวเคลียส โดยด้านหน้าเป็นส่วนของอะโครโซม (Acrosome) มีลักษณะเป็นถุงบรรจุเอนไซม์เพื่อสลายเยื่อหุ้มเซลล์ไข่ ซึ่งโครงสร้างนี้เปลี่ยนแปลงมาจาก Golgi Apparatus
click to edit
มีตัวอสุจิเฉลี่ยประมาณ 350-500 ล้านตัว
ปริมาณน้ำอสุจิและตัวอสุจิ แตกต่างกันได้ตามความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกาย
การหลั่งน้ำอสุจิแต่ละครั้งจะมีของเหลวประมาณ 3-4 ลูกบาศก์เซนติเมตร
อสุจิที่มีรูปร่างผิดปกติมากกว่าร้อยละ 25 จะมีลูกได้ยากหรือเป็นหมัน
เพศชายจะเริ่มสร้างตัวอสุจิเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น คือ อายุประมาณ 12-13 ปี และจะสร้างไปจนตลอดชีวิต
น้ำอสุจิจะถูกขับออกทางท่อปัสสาวะ
ตัวอสุจิจะเคลื่อนที่ได้ประมาณ 1-3 มิลลิเมตรต่อนาที
ตัวอสุจิเมื่อออกสู่ภายนอกจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2-3 ชั่วโมง
ถ้าอยู่ในมดลูกของหญิงจะอยู่ได้นานประมาณ 24- 48 ชั่วโมง
การเกิดการตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์คือการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิแล้วในมดลูกจนกระทั่งถึงคลอดระยะของการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะกินเวลาประมาณ 280 วัน หรือ 40 สัปดาห์
การตั้งครรภ์แฝดการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มีทารกในครรภ์เพียงคนเดียว แต่บางครั้งมีทารก 2 คนหรือมากกว่า เติบโตในมดลูกของแม่พร้อมกัน ทำให้เกิดคู่แฝด เกิดจากไข่คนละใบผสมกับอสุจิคนละตัวทำให้เกิดแฝดเทียมหรือแฝดต่างไข่
พัฒนาการของทารกในครรภ์
สัปดาห์ท้ายๆของการตั้งครรภ์ กระดูกพัฒนาอย่างรวดเร็วผิวหนังหนาขึ้น ศีรษะสมส่วนโดยยาวราว ¼ ของร่างกาย หูแยกจากกระโหลกศีรษะ จมูกนูนเป็นสัน สีตาชัดเจน อวัยวะเพศภายนอกมีลักษณะตามเพศ ทารกเพศชาย อัณฑะเคลื่อนจากช่องท้องลงสู่ถุงอัณฑะ ทารกเพศหญิง แคมใหญ่ปิดแคมเล็กและคลุมอวัยวะเพศภายนอกมิด รีเฟล็กซ์ต่างๆพัฒนาอย่างสมบูรณ์
รอบเดือน
Follicular phase (วันที่ 6 ถึง 13) เป็นระยะพัฒนาถุงไข่หลั่งเอสทราไดออลเพิ่มขึ้น เยื่อบุมดลูกเพิ่มจำนวนเซลล์ เพื่อตอบสนองต่อเอสโทรเจนที่สูงขึ้น
Ovulatory phase อย่างน้อย 24-48 ชม.
- Menstrual phase เป็นระยะที่มีเลือดระดูออก (วันที่ 0 ถึง 5)
Luteal phase อย่างน้อย 14 วัน ระยะนี้มีการผลิตโพรเจสเทอโรน เยื่อบุมดลูกหลั่งโปรตีนจำนวนมาก เตรียมรับการฝังตัวของเอ็มบริโอ
- ระหว่างการมีประจำเดือน จะพบว่าฮอร์โมนที่เคยกระตุ้น เช่น เอสโทรเจน โพรเจสเตอโรน และ อินฮิบินจะอยู่ในระดับต่ำ
- เนื่องจากคอร์พัสลูเทียมถดถอยส่วนเอสโทรเจนต่ำ
- ให้หลั่ง LH และ FSH ไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่ ถุงไข่
- เนื่องจากเซลล์ถุไข่ยังไม่สมบูรณ์ที่จะผลิตฮอร์โมนได้ระดับ FSH ในพลาสมาสูงในขณะที่ LH อยู่ในระดับต่ำ
- อาศัยการทำงานร่วมกันของฮอร์โมนไฮโพทาลามัสหลั่งฮอร์โมน GnRH ไปกระตุ้น เซลล์โคนาโคโทรพของต่อมใต้สมองส่วนหน้า
- ระยะแรกไข่จะโตมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า
granulosa cellเป็นเซลล์ชั้นเดียวล้อมรอบอยู่เจริญเป็นเซลล์แบน เรียกว่า primary follicle
- การพัฒนาไข่
เซลล์แกรนูโลซา จะแบ่งตัวและหลั่งสารไกลโคโปรตีน (zona pellucida) ออกมาหุ้มไข่ไว้ในระยะวันแรก ๆ
ในแต่ละเดือน เซลล์แกรนูโลซาจะแบ่งอย่างรวดเร็วเกิดเป็นเซลล์หลายชั้นและมีเซลล์รูปกระสวยรวมเป็นกลุ่มล้อมรอบเซลล์ แกรนูโลซาอยู่เรียกว่า theca cell
- หลังจากนั้นเกิดมีโพรงหรือช่องว่าง (antrum)ล้อมรอบไข่
เรียกถุงไข่ระยะนี้ว่าVesicular follicleในโพรงจะมีของเหลว (follicular fluid) บรรจุอยู่เป็นสารที่ถูกสร้างมาจากเซลล์แกรนูโลซา และเซลล์ธีคา
- ไข่ที่ผสมกับอสุจิแล้ว (zygote) จะถูกพามาฝังตัวและเจริญเติบโตในโพรงมดลูกต่อไป แต่ถ้าไม่ได้รับการผสม ไข่ก็จะฝ่อไปและหลุดออกมาทางช่องคลอดพร้อมกับประจำเดือนหลังตกไข่ ไข่จะมีอายุประมาณ 24 ชั่วโมง
- ความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนต่างๆในเลือด
- ที่ปลายท่อนำไข่ และจะผสมกับตัวอสุจิที่ส่วนกลางของท่อ (ampulla of uterine tube
- ลักษณะที่พบคือช่วงแรกของ follicular phase
ระดับฮอร์โมนFSH จะสูงกว่า LH
- มีเยื่อหุ้ม zonapellucida ติดออกมาสู่ช่องท้องไข่จะถูกพัดโบกเข้ามาในท่อนำไข่ โดยอาศัยปลายเปิดที่มีลักษณะคล้ายนิ้ว(fimbria)
- ขณะที่ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนจะมีระดับต่ำแต่ระดับ
ของเอสทราไดออลจะค่อย ๆสูงขึ้นประมาณวันที่ 8 และ 10
- ก่อนถึงวันตกไข่ โพรงที่ล้อมไข่ของ mature follicle จะโตมาก ดันผนังนอกของถุงไข่ทอ่อนแอให้ยื่น (stigma) และแตกออกปล่อยไข่ที่โตเต็มที่(secondary oocyte)
click to edit
- การตกไข่จะเกิดขึ้นในวันกึ่งกลางของรอบเดือนคือวันที่ 14 ในรอบเดือน 28 วัน
ระดับเอสทราไดออลในเลือดจะเพิ่มขึ้นอย่างเฉียบพลันเหนือ
200 พิโคกรัม/มล.ในวันที่ 12ซึ่งจะออกฤทธิ์ป้อนกลับเชิงบวก
ไปกระตุ้นไฮโพทาลามัสให้หลั่ง GnRHออกสู่หลอดเลือดพอร์ทัลไปกระตุ้นเซลล์โกนาโดโทรพินของต่อมใต้เสมองส่วนหน้าให้หลั่ง LHเพิ่มขึ้นสูงสุด (LH surge) หลังจากเกิด LH Surgeประมาณ 12 ชั่วโมง จึงเกิดการตกไข่
- เรียกระบวนการนี้ว่า Luteinization เซลล์เหล่านี้จะรวมกันเป็นอย่างรวดเร็วกลายเป็น luteal celเรียกกระบวนการCorpus luteum
- ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนเพิ่มขึ้น สร้างเอสโทรเจนน้อยลง
- เซลล์แกรนูโลซาที่เหลืออยู่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น 2-3 เท่า ก้อนเลือดจะถูกแทนที่ด้วยไขมันสีเหลืองอย่างรวดเร็วกลายเป็น uteal cell
- หากไม่มีการปฏิสนธิ คอร์พัส ลูเทียมจะอายุขัยประมาณ 2 สัปดาห์ จึงเริ่มสลายไป
- หลังการตกไข่รังไข่บริเวณนั้นจะมีเลือดออกจำนวนเล็กน้อย และเกิดเป็นก้อนเลือด เห็นเป็นสีแดง เรียกว่า Corpus hemorhagicum
- เซลล์บริเวณดังกล่าวจะตายมีลักษณะเป็นแผลสีขาว (Corpus albican)เหลือค้างอยู่เรียก luteolysis
การเปลี่ยนแปลงที่มดลูก
- secretory phase
- menstrual phase
- proliferative phase
- หลังจากนั้นระหว่างวันที่ 5-14 ของรอบเดือน เป็นช่วงที่เยื่อบุมดลูกจะเริ่มมีการเจริญเติบโต
- หลังจากตกไข่ การเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนโพรเจสทอโรนและฮอร์โมนเอสโทรเจนจากคอร์พัสลูเทียม จะทำให้เส้นเลือดแดงที่เยื่อบุมดลูกมีมากขึ้น
- ทำให้ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนและเอสโทรเจน ลดลงอย่างรวดเร็ว
- จะกระตุ้นการปล่อย PGF24 ซึ่งจะไปทำให้เกิดการตีบตัวของหลอดเลือดเล็กชนิดขด(uterine spiral arteriole)
- stromal cell ที่อยู่ในผนังชั้นลึกของเยื่อบุมดลูกจะเริ่มแบ่งเซลล์สร้างเซลล์ขึ้นใหม่ทดแทนเซลล์เก่าที่หลุดออกไป
- ระหว่างวันที่ 1-5 ของรอบเดือนนั้นเป็นช่วงที่มีการหลุดลอกของผนังชั้นตื้นๆ ของเยื่อบุมดลูกเป็นประจำเดือน
- การเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุมดลูกในระยะนี้ จะตรงกับระยะ follicular phase ของการเปลี่ยนแปลงในรังไข่
- เซลล์ต่อมจะหลั่งเมือกซึ่งมีแป้งมากออกมารวมทั้งการสะสมไขมันและไกลโคเจนภายในไซโทพลาสซึม และ stromal cell มากขึ้น
- เป็นระยะที่มีการเตรียมเยื่อบุมดลูกสำหรับการฝังตัวของไช่ที่ผสมกับอสุจิแล้ว
- จนทำให้เยื่อบุมดลูกมีความหนาประมาณ 5-6 มิลลิเมตรเป็นระยะที่เตรียมไว้เพื่อการฝังตัวของตัวอ่อนหลังการปฏิสนธิ
- หลังการตกไข่ราว 7 วัน ถ้าไม่มีการปฏิสนธิของไข่กับอสุจิ คอร์พัสลูเทียมจะสลายตัว
- ผลก็คือทำให้เซลล์ที่บุมดลูกขาดเลือดและอาหารไปเลี้ยงจึงตายและหลุดลอกปนกับเลือดออกมาเป็นประจำเดือน (menstruation, Mense)
Vas deferens(ท่อนำอสุจิ)มี 2 ท่อเป็นหลอดอยู่ถัดจากหลอดอสุจิ ท่อนำอสุจินี้จะผ่านเข้าสู่ช่องท้องแล้วออกมารวมกับถุงเก็บน้ำอสุจิ (Seminal vesicle)
ผ่านต่อมลูกหมากออกไปต่อกับท่อปัสสาวะสำหรับนำตัวอสุจิออกไปสู่ภายนอก
Seminal vesicle (ถุงเก็บน้ำอสุจิ)
- มีลักษณะคล้ายหลอดผสมกับถุงมีอยู่ 2 ถุงอยู่ระหว่างกระเพาะปัสสาวะและทวารหนัก (Rectum) เป็นส่วนที่ทำหน้าที่เก็บตัวอสุจิและสร้างน้ำกาม (Semen)ซึ่งมีลักษณะเป็นเมือกสีขาวขุ่นและข้นน้ำกามที่สร้างขึ้นนี้จะทำให้ตัวอสุจิสามารถเคลื่อนไหวได้
Prostate glands (ต่อมลูกหมาก)- เป็นต่อมโตขนาดลูกหมากอยู่ใต้รูเปิดค้านใน (Internal orifice)
ของท่อปัสสาวะ (Urethra) หน้าที่สำคัญคือขับน้ำซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆ
ต่อมขับเมือก (Cowper 's glands)
อยู่ใต้ต่อมลูกหมากลงไปเป็นกระเปาะเล็กๆ ทำหน้าที่หลั่งสารไปหล่อลื่นท่อปัสสาวะในขณะที่เกิดการกระตุ้นทางเพศ
การคลอด
- ระยะที่ 2 ของการคลอด (Second stage of labour) เป็นช่วงที่ปากมดลูกเปิดหมดแล้ว (Fully dilatation) และทารกพร้อมที่จะคลอด ดังนั้นอาจเรียกได้ว่าระยะนี้คือระยะของการเบ่งคลอด
click to edit
- ระยะที่ 1 ของการคลอด (First stage of labour)
เป็นระยะที่กินเวลายาวนานที่สุด เมื่อเทียบกับระยะอื่นๆทั้งหมด และเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อทำการประเมินว่าสตรีตั้งครรภ์รายดังกล่าวจะสามารถคลอดทางช่องคลอดได้หรือไม่ มีการคลอดติดขัดเกิดขึ้นที่ต้องการการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งจากที่ได้กล่าวไปแล้วว่าระยะนี้เริ่มตั้งแต่การที่สตรีตั้งครรภ์เริ่มเข้าสู่การเจ็บครรภ์คลอดอย่างแท้จริง (True labour pain)
- ระยะที่ 4 ของการคลอด (Fourth stage of labour)
เป็นช่วงเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ภายหลังจากการคลอดรกแล้ว ในทางปฏิบัติจะเป็นช่วงเวลาของการตรวจสอบรกว่าคลอดออกมาครบถ้วนสมบูรณ์ดี ไม่มีส่วนใดตกค้างในโพรงมดลูก และตรวจสอบแผลฝีเย็บรวมถึงการฉีกขาดของช่องทางคลอด และทำการเย็บซ่อมแซม ซึ่งระยะนี้มีความสำคัญเนื่องจากเป็นช่วงที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะการตกเลือดหลังคลอด (Postpartume hemorrhage) จากสาเหตุต่างๆ แต่ที่พบบ่อยคือจากการที่มดลูกหดรัดตัวได้ไม่ดี (Uterine atony)
click to edit
- ระยะที่ 3 ของการคลอด (Third stage of labour)เป็นช่วงเวลาของการเกิดรกลอกตัวและการคลอดรก
ซึ่งในทางปฏิบัตินั้น แม้ว่าระยะนี้ผู้ทำคลอดต้องใช้เวลาในการดูแลทารกแรกเกิดเบื้องต้นร่วมไปด้วย แต่ไม่ควรละเลยการดูแลมารดาร่วมไปด้วย เรียกได้ว่าสายตาของผู้ทำคลอดนอกจากดูแลเด็กแล้วควรต้องเหลือบมาเฝ้าดูมารดาเป็นระยะๆ เพราะในบางกรณีอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้ในช่วงนี้
ยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน
ถุงยางอนามัย
ห่วงอนามัย
กาารทำหมันหญิง
ยาคุมแบบฝัง
การทำหมันชาย
ยาคุมชนิดเม็ด
-ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมแผงละ 21 เม็ด ทุกเม็ดจะมีตัวยา ไม่มีเม็ดแป้ง รับประทานเวลาเดียวกันเป็นประจำทุกวัน วันละ 1เม็ดจนหมดแผง แล้วหยุด 7 วัน ก่อนเริ่มแผงใหม่ หลังหยุดยาประมาณ 1-3 วัน จะเริ่มมีประจำเดือน
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมแผงละ 21 เม็ด 8 เม็ด มีตัวยาฮอร์โมน 21 เม็ด และไม่มีตัวยา 7 เม็ด เรียกว่า เม็ดแป้ง รับประทานเวลาเดียวกันเป็นประจำทุกวัน วันละ 1เม็ดจนหมดแผงแล้วเริ่มทานแผงใหม่ต่อเนื่อง หลังรับประทานเม็ดแป้งประมาณ 1-3 วัน จะเริ่มมีประจำเดือน
- ชนิดหลอดไม่สลายตัว ยาฝังคุมกำเนิดชนิดนี้จะมีฮอร์โมนสังเคราะห์บรรจุอยู่ในหลอดที่ไม่สลายตัว ซึ่งเมื่อครบกำหนดอายุของการคุมกำเนิดแล้วต้องเอาออก ในปัจจุบันยาฝังคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะเป็นชนิดนี้และมีใช้อยู่หลายชนิดด้วยกัน
- ชนิดหลอดสลายตัวยาฝังคุมกำเนิดชนิดนี้จะมีฮอร์โมนสังเคราะห์บรรจุอยู่ในหลอด และกระจายออกสู่กระแสเลือดหลอดที่ฝังอยู่จะสลายตัวไปโดยไม่ต้องถอดออก ในปัจจุบันมีที่ทำการศึกษาวิจัยอยู่
click to edit
click to edit
- ห่วงอนามัยธรรมดา (inert IUDS) เป็นห่วงอนามัยที่ไม่มีสารที่ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด
เคยเป็นห่วงอนามัยที่นิยมใช้กันในอดีต
click to edit
- ห่วงอนามัยที่มีสารทองแดง (copper IUDs)ห่วงอนามัยชนิดนี้จะมีสารทองแดงช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด ห่วงอนามัยชนิดนี้เป็นที่นิยมใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน
click to edit
ห่วงอนามัยที่มีฮอร์โมน (hormone releasing IUDS) เป็นห่วงอนามัยที่มีฮอร์โมนเป็นสารช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด ฮอร์โมนที่ใช้ในห่วงอนามัยชนิดนี้เป็นฮอร์โมนprogestogen ที่นิยมใช้กันคือ levonorgestrel
การคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน (emergency contraception) เป็นวิธีการคุมกำเนิดชนิดหนึ่งที่สตรีใช้ภายหลังการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้มีการเตรียมการป้องกันการปฏิสนธิ หรือไม่ได้ใช้วิธีคุมกำเนิดมาก่อน มีแบบ 2เม็ดและ1เม็ด
ถุงยางอนามัย เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นถุงสำหรับสวมใส่คลุมอวัยวะเพศ ขณะที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อขวางกั้นมิให้มีการสัมผัสโดยตรงของอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งเพศชายและเพศหญิง และป้องกันการหลั่งน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด
click to edit
click to edit
-การทำหมันหญิงหลังคลอด
เป็นการทำหมันระหว่างการผ่าตัดท้องคลอด หรือภายหลังการคลอดทางช่องคลอดก็ได้ โดยทั่วไปการทำหมันพอหลังคลอดจะทำได้ง่าย เนื่องจากมดลูกอยู่ที่ระดับสะดือ ทำให้สะดวกในการหาหลอดมดลูกไม่จำเป็นต้องใช้ยาสลบในการทำหมันหญิงหลังคลอด
(การทำหมันแห้ง)
-การทำหมันหญิงในช่วงเวลาที่ไม่ตั้งครรภ์การที่สตรีไทยมีบุตรน้อยลงทำให้การตัดสินใจที่จะทำหมันหลังคลอดลดน้อยลงและสตรีบางส่วนจะรอให้ บุตรโตเสียก่อนจึงค่อยตัดสินใจจะทำหมัน เพื่อให้แน่ใจว่าบุตรมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ เนื่องจากว่าถ้าทำหมันทันทีหลังคลอด และต่อมาภายหลังบุตรของตนมีปัญหาทางด้านสุขภาพหรือเสียชีวิต สตรีนั้นถ้าต้องการมีบุตรอีกก็อาจจะต้องผ่าตัดต่อหมันซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควร ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้การทำหมันหญิงในช่วงเวลาที่ไม่ตั้งครรภ์ หรือการทำหมันแห้งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
-การทำหมันโดยกล้อง laparoscope
การทำหมันหญิงโดยกล้อง laparoscope นับว่ามีความสะดวกและรวดเร็ว แต่ต้องการทักษะและการฝึกในการผ่าตัดเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นจากการผ่าตัด
การทำหมันชายนับว่าเป็นวิธีคุมกำเนิดถาวรที่ทำได้ง่าย และปลอดภัย มีประสิทธิภาพสูงและค่าใช้จ่ายน้อยมีกลไกในการป้องกันการตั้งครรภ์โดยการไปขวางกั้นท่อน้ำอสุจิ (vas deferens)ไม่ให้เชื้ออสุจิที่สร้างในลูกอัณฑะหลั่งออกมาพร้อมกับน้ำอสุจิ ทำให้เชื้ออสุจิไม่สามารถเข้าไปผสมกับไข่ในสตรีเพื่อให้เกิดการปฏิสนธิได้
การตรวจเพื่อวินิจฉัยก่อนคลอด (Prenatal diagnostic test)
- การเจาะน้ำคร่ำ (amniocentesis)
- การตรวจเนื้อเยื่อคอเรียน
(ChorionicViti sampling, CVS)
- อัลทราซาวด์ (Ultrasound)